หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 31 อาการเจ็บป่วยขององค์ชาย
ข่าวถูกส่งไปถึงมู่ฮูหยินผู้เฒ่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะสร้างความโมโหในนาง ตามกฎแล้วคนที่มีอายุน้อยกว่าเมื่อจะออกจากจวนจะต้องกล่าวลาผู้อาวุโสก่อน ถึงแม้ว่าจะโดนลงโทษให้ออกจากเมืองก็ตาม ท่าทีแบบนี้ของมู่ชิงอี เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ
เด็กคนนี้ช่างน่าผิดหวัง คิดว่านางจะฉลาดและมีเหตุผลกว่าเมื่อก่อน แต่ความจริงแล้วกลับยิ่งทำให้คนเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมาก ในฐานะที่นางเป็นท่านย่า จึงเกลียดหลานตัวเองที่ทำให้ตกใจในเรื่องเล็กๆ เช่นนี้เป็นอย่างมาก แถมยังไม่เคยมีหัวใจที่คิดเคารพรักต่อนางในฐานะท่านย่าแม้แต่น้อย
สะใภ้ซุนและมู่อวิ๋นหรงอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสนี้สุมไฟใส่มู่ชิงอี แม้แต่มู่หลิงก็ปรากฏรอยยิ้มชื่นมื่นขึ้นที่มุมปาก มีเพียงแต่มู่เชินที่ยืนอยู่ข้างๆ มารดาผู้ให้กำเนิดของตน คิ้วขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด
ตามที่ตนเข้าใจ หลังจากที่ได้สัมผัสกับน้องหญิงสี่ผู้นี้ถึงสองครั้งสองครา นางไม่ใช่คนมุทะลุโง่เขลาเช่นนี้ แต่ท่าทางของนางในวันนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
เหลือบมองสีหน้ามีความสุขของสะใภ้ซุนสามแม่ลูก มู่เชินก็ก้มหน้าหลบซ่อนสายตาที่ตัดไมตรีอย่างเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น
ทันทีที่มู่ชิงอีก้าวเท้าออกจากประตูจวนซู่เฉิงโหว ก็พบกับมู่ฉังหมิงที่กลับมาถึงจวนพอดี เมื่อมองเห็นมู่ชิงอี มู่ฉังหมิงก็ตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนจะเปิดปากเอ่ยถาม “ชิงอี นี่คือ….”
มู่ชิงอีกระซิบเบาๆ “ชิงอีได้รับคำสั่งจากท่านย่า ให้ไปพักผ่อนนอกเมืองเจ้าค่ะ”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว หันไปถามผู้ดูเเลที่อยู่ข้างๆ มู่ชิงอี “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าจะส่งคุณหนูสี่ไปที่ใดกัน” ผู้ดูแลตอบกลับด้วยความเคารพ “ท่านโหว ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ส่งคุณหนูสี่ไปที่เขาอวิ๋นอู้ขอรับ”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว ส่ายหน้าพลางตอบ “ไกลไปแล้ว จวนที่ชานเมืองของพวกเราไม่ใช่ว่าก็มีที่อื่นหรอกหรือ” เขาอวิ๋นอู้ห่างจากเมืองหลวงสองร้อยกว่าลี้ เช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการขับไล่มู่ชิงอีเลย ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดก็คงกลับมาเมืองหลวงไม่ทัน
ผู้ดูแลคิดไม่ถึงว่านายท่านโหวที่กตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่ามาโดยตลอดจะกล้าขัดคำสั่งของนางเพื่อคนอื่นนอกจากซุนฮูหยิน จึงตอบกลับอย่างลำบากใจ “ท่านโหวขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าที่ใกล้ๆ เมืองหลวงไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปีแล้ว และที่เหล่านั้นก็ค่อนข้างวุ่นวายเป็นอย่างมากจึงเกรงว่าจะรบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณหนูสี่”
มู่ฉังหมิงใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย พูดกับมู่ชิงอี “ชิงอีเจ้ากลับเรือนตัวเองไปก่อน ไว้ให้พ่อไปคุยกับท่านย่าของเจ้าอีกครั้งว่าเพราะเหตุใดถึงให้บุตรีเชื้อสายหลักของตระกูลไปอยู่ตัวคนเดียวเสียไกลขนาดนั้น”
มู่ชิงอีตาเป็นประกาย ก้มหัวแล้วพูดเบาๆ “ท่านพ่ออย่าได้ยั่วโมโหท่านย่าเพื่อชิงอีเลยเจ้าค่ะ ชิงอีเพิ่งจะ…ทำให้ท่านย่าโมโหมา หากท่านพ่อไปทำให้ท่านย่าโกรธอีก…” มู่ฉังหมิงจ้องมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถาม “เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมา”
ชิงอีก้มหัวต่ำตอบด้วยความอับอาย “ชิงอีเผลอทำตามอำเภอใจ ออกมาโดยที่ไม่ได้กล่าวลาท่านย่า…” ได้ยินเช่นนั้น มู่ฉังหมิงก็ถอนหายใจ
จากที่เขาดูแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่หญิงสาวของตระกูลดื้อดึงนิดหน่อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีสติปัญญาก็คงจะมองออกว่าเรื่องเมื่อวานความผิดไม่ได้อยู่ที่มู่ชิงอี แต่สุดท้ายบทลงโทษกลับมาตกอยู่ที่นาง ไม่แปลกที่นางจะไม่พอใจอยู่บ้าง
เอ่ยด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “เจ้าสำนึกผิดก็ดีแล้ว เพียงแค่หลังจากกลับมาค่อยไปกล่าวขอโทษท่านย่าของเจ้าอย่างจริงใจ นางก็น่าจะเข้าใจได้”
มู่ชิงอีพยักหน้า พูดด้วยใบหน้าจริงใจ “ชิงอีสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ฉังหมิงครุ่นคิดแล้วก็พูดขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องไปที่เขาอวิ๋นอู้แล้ว วันครบรอบวันตายของท่านแม่ของเจ้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไปวัดเป้ากั๋วสวดมนต์ให้ท่านแม่ของเจ้าแทนเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้า ยิ้มแล้วตอบ “ชิงอีทราบแล้ว ชิงอีขอบพระคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ”
มู่ฉังหมิงพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ไปเถิด พ่อจะส่งคนไปทักทายเจ้าอาวาสที่วัดเป้ากั๋ว นำน้ำมันหอมและเงินบางส่วนไปด้วย” มองรอยยิ้มกว้างของบุตรสาว มู่ฉังหมิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสะใภ้จังที่ล่วงลับไปแล้ว แม้ว่าเขาไม่ค่อยมีความรักให้กับนาง แต่ต้องยอมรับว่าสะใภ้จังนั้นเป็นภรรยาและนายหญิงที่ดีของจวน นับตั้งแต่นางเข้ามา เขาไม่เคยจะต้องเป็นห่วงเรื่องเล็กใหญ่ในจวน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกละอายใจต่อภรรยาคนนี้อยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อก่อนชิงอีเคยเป็นบุตรีของภรรยาเอกที่ไม่โดดเด่นเท่าเฟยหลวนกับอวิ๋นหรง นั่นจึงทำมู่ฉังหมิงมักจะลืมเลือนนาง แต่หลังจากที่กู้อวิ๋นเกอเสียชีวิตไป บุตรสาวคนนี้กลับยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าค่ะ ลูกขอตัวลาก่อน” มู่ชิงอีมีความสุขไม่น้อย จูงมือจูเอ๋อร์ คอยฟังเสียงรถม้าที่หน้าประตู
มองดูรถม้าจากไปไกลแล้ว ใบหน้าของมู่ฉังหมิงและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและเมตตาก็ค่อยๆ จางหายไป ครุ่นคิด
เขาพึ่งกลับมาจากการทำความเคารพในวัง เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานตนทราบเป็นอย่างดี บุตรสาวผู้นี้…ตอนนี้ไม่สามารถละเลยได้แล้ว บุตรีที่ทำให้เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นสนใจได้…
ณ เรือนพักสถานทูตแคว้นเย่ว์ ภายในห้องดูสะดวกสบาย ตกแต่งอย่างงดงามประณีต ชายหนุ่มรูปงามในชุดดำนอนตะแคงอยู่บนเตียงนุ่ม นัยน์ตาดำคู่นั้นกึ่งปิดกึ่งเปิดมองไปยังนอกหน้าต่างที่มีกลีบดอกไม้ปลิวว่อน ลมเย็นสบายพัดผ่าน กลีบดอกไม้ลอยเข้ามาจากนอกหน้าต่างอย่างบางเบา ปลิวตกใส่ผมและบนชุดดำของชายหนุ่ม ทำให้สีดำเข้มและสีทองสง่าถูกเติมแต่งด้วยสีแดงของกลีบดอกไม้ยิ่งชวนให้คนหลงใหล ราวกับทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาหยุดมองทิวทัศน์สวยงามตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
“มีอะไร” หรงจิ่นลืมตา ดวงตาเย็นชาแอบซ่อนความไม่พอใจ
“ทูลองค์ชาย คุณหนูสี่ออกจากเมืองไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าองครักษ์พลันซีดขาว รีบก้มหน้ารายงานน้ำเสียงหนักแน่น
“เขาอวิ๋นอู้?” หรงจิ่นขมวดคิ้ว ดูแล้วหญิงผู้นั้นไม่เหมือนคนที่จะยอมถูกส่งไปยังเขาอวิ๋นอู้ที่ห่างไกลอย่างง่ายดายเป็นแน่ เป็นไปได้หรือไม่ที่นางคิดหนีไปเอง
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ดูจากทิศทางรถม้าแล้ว ไปทางวัดเป้ากั๋ว” ได้ยินคำพูดไม่สบอารมณ์ขององค์ชาย องครักษ์ก็รีบร้อนเอ่ยบอก
“วัดเป้ากั๋ว?” หรงจิ่นลุกขึ้นนั่ง สะบัดแขนเสื้อเบาๆ กลีบดอกไม้สีแดงก็ปลิวออกไปนอกหน้าต่าง ก้มหน้าครุ่นคิดแล้วยกยิ้ม ก่อนที่จะลุกยืน “ไป พวกเราก็จะไปวัดเป้ากั๋ว”
ชิงชิงอยู่ในวัดคนเดียวจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแน่นอน เขาจะเมตตาใจดีไปอยู่เป็นเพื่อนนางเอง
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
“องค์ชายเก้ากำลังจะไปที่ใด”
หรงจิ่นกำลังเดินถึงประตู ก็พบปะกับหรงเหยี่ยน องค์ชายสี่แห่งแคว้นเย่ว์และองค์หญิงไหวหยาง พระโอรสและพระธิดาของแคว้นเย่ว์นี้ล้วนไม่มีความคล้ายคลึงกันเลย องค์หญิงไหวหยางใบหน้าราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ทว่าอ่อนแอและไม่ค่อยเด็ดเดี่ยว ส่วนหรงเหยี่ยนนั้นดูสง่าผ่าเผยสุขุม ตรงกันข้ามกับหรงจิ่นในชุดดำ ใบหน้ารูปงามกว่าชายใด เสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป ถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บป่วยมานาน ใบหน้านั้นทั้งซีดขาวและซูบผอม แต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลานี้
มองเห็นหรงเหยี่ยนและองค์หญิงไหวหยาง หรงจิ่นก็เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น “องค์ชายอย่างข้าจะไปไหน จำเป็นจะต้องรายงานพี่สี่ด้วยหรือ”
“พี่เก้า…” องค์หญิงไหวหยางมองหรงจิ่นอย่างไม่พอใจ “พี่เก้า พวกเราถูกส่งมาที่แคว้นหวาตามคำสั่งของเสด็จพ่อ ในฐานะที่พี่ชายสี่เป็นพระเชษฐา พวกเราควรทำตามแผนของพี่สี่นะเพคะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะอย่างไม่ปกปิดใบหน้าเย้ยหยัน “ตอนที่ออกมาจากแคว้นเย่ว์ ข้าไม่เคยได้ยินเสด็จพ่อบอกให้ฟังพี่สี่ ข้าแค่มาพักผ่อนบรรเทาความเบื่อหน่าย หากมีเรื่องอันใด พี่สี่ก็จัดการด้วยตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”