หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 34 การลงโทษเช่นนั้นหรือ (1)
มู่ชิงอีจ้องมองคนที่อยู่ทางด้านข้าง
หรงจิ่นเอ่ยบอก “ชิงชิงรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเกอซูฮั่นถึงมาที่นี่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ นอกจากนี้ก็คงเป็น…เรื่องการอภิเษกสมรส?”
ความประหลาดใจผุดขึ้นในดวงตาของหรงจิ่น ข่าวคราวนี้อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องลับสำหรับพวกชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่หรงจิ่นรู้ดีว่าตำแหน่งของมู่ชิงอีในจวนซู่เฉิงโหวนั้นเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้รับข่าวนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะนางมีแหล่งข่าวอื่น ก็แสดงว่านางมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง หรงจิ่นนั้นคิดว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่า
“แน่นอนว่านี่หาใช่ข่าวลับสูงสุดแต่อย่างใด แต่ชิงชิงอยากรู้หรือไม่ว่าเกอซูฮั่นนั้นต้องการสมรสกับผู้ใด” หรงจิ่นยิ้มอย่างลึกลับให้นาง มู่ชิงอีกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องนี้มีสิ่งใดเกี่ยวกับหม่อมฉันอย่างนั้นหรือเพคะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นแล้วยกยิ้ม สีหน้าดูราวกับหม่นหมองลง “เกอซูฮั่นต้องการสมรสกับ…ผู้ที่มีแซ่มู่ นามว่าชิงอี ชิงชิงเจ้าว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่เล่า”
เมื่อได้เห็นท่าทางตกใจของนาง หรงจิ่นก็ยิ้มจางๆ แล้วกล่าวว่า “เกอซูฮั่นเป็นอ๋องที่ดุร้ายของราชวงศ์เป่ยฮั่น เขานั้นหยิ่งผยอง ชิงชิงรู้หรือไม่ว่า เหตุใดเขาถึงเลือกหญิงสาวที่เขาหาได้รู้จักไม่”
ข่าวที่กะทันหันเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงอีรู้สึกอึกอัดขึ้นมา นางมั่นใจว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางผู้ที่ไม่ค่อยออกจากเมืองหลวงนั้นไม่เคยพบเกอซูฮั่นมาก่อน
เช่นนั้น…เหตุใดเกอซูฮั่นถึงอยากสมรสกับนางกัน หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องหญิงของนาง?
“ชิงชิงคิดว่าข้าโกหกเจ้าหรือไม่” หรงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีหลับตาลง พูดเสียงเบา “องค์ชายเก้าคงไม่ทำวิธีน่าเบื่อเช่นนี้หรอกกระมัง”
หรงจิ่นถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้อยากบอกเล่าข่าวนี้กับชิงชิง ถ้าชิงชิงรู้ข่าวนี้ ก็จะต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเกอซูฮั่น เช่นนั้น คงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของข้า แต่…ข้าผู้นี้ยังไม่อยากเห็นชิงชิงสมรสกับเกอซูฮั่น ชิงชิง เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง”
ขณะที่หรงจิ่นบอกกล่าว อารมณ์ของมู่ชิงอีก็ได้สงบลงแล้ว กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อข้อตกลงระหว่างหม่อมฉันกับองค์ชายเก้า ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นเพคะ”
ท้ายที่สุด ชิงอีก็ลุกขึ้นยืน ยกม่านแล้วเดินลงจากรถม้าไป ด้านนอกรถม้าชายหนุ่มและสาวน้อยในชุดฟ้าครามยังคงยืนตรงอย่างนอบน้อม เมื่อชิงอีเดินลงมา ชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีอันใด แต่ดวงตาของสาวน้อยกลับปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย
จูเอ๋อร์กล่าวขึ้นด้วยความกังวลว่า “คุณหนู ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “ข้ามีอะไรให้กังวลกัน กลับกันเถิด” จูเอ๋อร์มองไปยังชายหญิงที่อยู่ข้างหน้านางอย่างระมัดระวัง นางรู้สึกเสมอว่าพวกเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดา จึงรีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วและติดตามชิงอีกลับไป
ทางด้านหลัง เสียงของหรงจิ่นค่อยๆ ดังออกมาจากรถม้า “สั่งการลงไป ข้าจะเข้ารับการรักษาที่วัดเป้ากั๋วอีกสองสามวันต่อจากนี้”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ณ จวนซู่เฉิงโหวในเมืองหลวง
เรือนอวิ๋นหวาที่มู่อวิ๋นหรงอาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยข้าวของกระจัดกระจาย มู่อวิ๋นหรงแทบจะทุบเครื่องเรือนทั้งหมดในห้องทิ้ง
ในที่สุดท่านย่าก็เกลียดชังนังหญิงสารเลวอย่างมู่ชิงอีแล้วไล่นางออกจากจวนไป แต่คาดไม่ถึงว่าท่านพ่อกลับส่งนางไปที่วัดเป้ากั๋วเพื่อสวดมนต์อ้อนวอนให้สตรีที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น นี่ไม่ได้เป็นการลงโทษในแบบที่ถูกส่งออกไปข้างนอกไปยังสถานที่ห่างไกลที่จะทำให้ชื่อเสียงของมู่ชิงอีเสียหาย แต่การไปที่วัดเพื่อสวดมนต์นั้นจะทำให้มู่ชิงอีมีชื่อเสียงในด้านของบุตรีที่มีความกตัญญูมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้มู่อวิ๋นหรงต้องกัดฟันอดทนต่อความเกลียดชังเป็นอย่างมากก็คือ ท่านพ่อของนางเพิ่งกลับมาถึงก็เข้ามาดุด่านางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ทันที ช่วงนี้นางถูกท่านพ่อดุด่าอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มู่อวิ๋นหรงที่เป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอดไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“หรงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป” อนุซุนและมู่หลิง ทันทีที่ก้าวเข้าห้องมาก็พบกับข้าวของที่แตกกระจัดกระจาย มู่อวิ๋นหรงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สะอาดเพียงตัวเดียวภายในห้องท่าทีเคียดแค้น
เมื่อเห็นอนุซุน มู่อวิ๋นหรงก็กัดฟันพร้อมกล่าวว่า “ท่านแม่! ข้าต้องการให้มู่ชิงอีตกต่ำราวกับตายก็ไม่ปาน!”
อนุซุนถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เด็กดี แม่ทำผิดต่อเจ้าแล้ว”
มู่อวิ๋นหรงดวงตาพลันแดงก่ำ พูดอย่างตัดพ้อ “ข้าไม่รู้ว่ามู่ชิงอีทำอย่างไร ท่านพ่อถึงพออกพอใจนางขนาดนั้น กระทั่งทำให้ท่านพ่อช่วยนาง!” มู่หลิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “น้องหญิงสาม เหตุใดเจ้าถึงต้องสนใจเรื่องของน้องหญิงสี่ด้วย ในเมื่อหากเจ้าสมรสเข้าจวนหนิงอ๋องและกลายเป็นพระชายาหนิงแล้ว เจ้าจะจัดการนางเช่นไรก็ได้ จะไปสนใจนางตอนนี้ทำไมกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่ากงอ๋องไม่พอใจเจ้าอยู่ไม่น้อย ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก…”
“ข้าไม่สน! ข้าจะทำให้มู่ชิงอีเจอดี!” มู่อวิ๋นหรงพูดอย่างเย่อหยิ่ง เหลือบมองมู่หลิงแล้วกล่าวว่า “พี่สองอย่ามัวแต่เกลี้ยกล่อมข้าอยู่เลย ข้าได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่กับมู่ชิงอีสนิทสนมกันยิ่งนัก ซ้ำท่านพ่อยังปฏิบัติต่อพี่ใหญ่ดีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
ใบหน้าของมู่หลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
มู่อวิ๋นหรงสูดหายใจเข้า อนุซุนพยักหน้าแล้วตอบแทนว่า “ทุกวันนี้ มู่เชินมีความสัมพันธ์อันดีกับมู่ชิงอีจริงๆ และในช่วงนี้ท่านพ่อของเจ้าก็ยัง…”
ใบหน้าของมู่หลิงพลันบิดเบี้ยว “ช่วงนี้ท่านพ่อก็มักเอ่ยชมพี่ใหญ่ให้ข้าฟัง อีกทั้งยังบอกให้พี่ใหญ่กลับมาช่วยงานเขาบางอย่าง ฐานของพี่ใหญ่กำลังแข็งแกร่งขึ้น”
ใบหน้าที่อ่อนโยนมีเสน่ห์ของอนุซุนพลันมืดครึ้ม นางกัดฟันกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ข้ารู้ดีว่าแท้จริงแล้วมู่เชินไม่ได้สงบเสงี่ยม เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขายังคงต้องการต่อสู้กับเจ้าเพื่อแย่งชิงจวนซู่เฉิงโหว แต่ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะมีความสามารถแย่งชิงหรือไม่ เจ้าอย่ากลัวไปเลยหลิงเอ๋อร์ เมื่อเจ้ากลับเข้าวัง ก็ส่งสารบอกให้เฟยหลวนช่วยเกลี้ยกล่อมท่านพ่อของเจ้า”
เมื่อเอ่ยถึงมู่เฟยหลวนซึ่งเป็นพระสนมในวัง ใบหน้าของสามแม่ลูกก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างมีชัย มู่เฟยหลวนเป็นหญิงสาวที่ทำประโยชน์ให้กับตระกูลมู่มากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นหลักประกันว่าลมฝนจะไม่สามารถกร่ำกรายตระกูลมู่ได้ มู่ฉังหมิงจึงรับฟังคำกล่าวของบุตรีผู้นี้มากกว่าบุตรชายทั้งสองของเขาเสียอีก
หลังจากพูดจบ อนุซุนก็ครุ่นคิดขึ้นมา คิ้วขมวดแน่น “หรือว่าตอนนี้มู่เชินกำลังร่วมมือกับมู่ชิงอี หึ ช่างเลือกฝ่ายได้โง่เง่าเสียจริง”
มู่หลิงเยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าคงเป็นเช่นนั้น…ดูเหมือนว่าน้องหญิงสี่กำลังวางแผนล่อลวงให้พวกเราตกหลุมพรางลำบากเช่นนี้”
มู่อวิ๋นหรงกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ต้องใช่แน่ มู่ชิงอีนั้นเจ้าเล่ห์เสียจนพวกเราถูกนางล่อหลอก!”
อนุซุนเอ่ยเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ดี ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าจวนซู่เฉิงโหวนี้จะอยู่ในความดูแลของข้าหรือนังเด็กนั่น นางคิดว่าตัวเองที่ไปวัดเป้ากั๋วแล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นหรงก็ดีใจ เอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ท่านมีความคิดอะไรหรือเจ้าคะ”
อนุซุนยิ้มขึ้นอย่างลึกลับ “เจ้าจะรู้เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ต้องกังวลไป ท่านแม่ของเจ้าจะต้องทำลายนังเด็กนั่นแน่นอน!”
มู่ชิงอีซึ่งอยู่ไกลถึงวัดเป้ากั๋ว ไม่ได้รู้เลยว่าสามแม่ลูกที่อยู่ในจวนซู่เฉิงโหวกำลังคิดหาทางทำร้ายนางอยู่ การเดินทางมายังวัดเป้ากั๋วที่น่าจะเงียบสงบก็เริ่มกระสับกระส่ายเพราะการเพิ่มเข้ามาของหรงจิ่น แม้ว่านางอยากจะค่อยๆ ลงมือปรุงเครื่องหอมอย่างสบายใจ แต่สุดท้ายกลับถูกกดดันอย่างอ้อมๆ จากเวลาเส้นตายในการส่งมอบเครื่องหอมโยวหัน ยิ่งไปกว่านั้น หรงจิ่นยังถูกไล่ตะเพิดให้กลับไปพักผ่อนยังที่พักของตัวเองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง