หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 36 ร่องรอยของโจรยามค่ำคืน
มู่เชินมองไปที่มู่หลิง จากนั้นก็มองไปยังมู่ชิงอีและพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ตามนี้ ที่จริงแล้วข้าเองก็เสียดายอยู่เหมือนกัน”
มู่ชิงอีพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านค่อยกลับมาใหม่ตอนที่ว่างก็ได้เจ้าค่ะ”
มู่หลิงหัวเราะเบาๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับมู่ชิงอี “น้องหญิงสี่พูดถูกแล้ว” จากสายตาของคนนอก พวกเขาทั้งสามหัวเราะหยอกล้อกันราวกับพี่น้องที่สนิทสนมกันยิ่งนัก
หลังจากกล่าวคำอำลากับมู่หลิงและมู่เชินแล้ว มู่ชิงอีก็กลับไปยังเรือนพำนักของนางพร้อมกับจูเอ๋อร์ ทันทีที่เดินเข้าไปก็เห็นใครบางคนกำลังนั่งเอนกายอยู่ในโถงพลางกำลังจิบชา แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่วันเดียว แต่จูเอ๋อร์ก็รู้สึกคุ้นเคยกับองค์ชายหรงจิ่นผู้มีเสน่ห์ไม่น้อย หลังจากลอบสังเกตท่าทีของคุณหนูแล้ว ก็ปลีกตัวไปจัดข้าวของที่เพิ่งนำกลับมา
“มู่เชินและมู่หลิงมาเช่นนั้นหรือ” หรงจิ่นถามขึ้นด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลาย
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อย “องค์ชายเก้าช่างได้ข่าวรวดเร็วเสียจริง”
“ชิงชิงชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงสนใจชิงชิง หากพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้ซุนกับชิงชิงแล้ว ดูเหมือนว่ามู่หลิงจะไม่ได้มาแค่เพื่อมอบของให้เจ้ากระมัง”
มู่ชิงอีกล่าวว่า “มู่หลิงมาหาเจ้าอาวาสฉือเอินเพคะ”
ดวงตาของหรงจิ่นเป็นประกาย ยิ้มให้มู่ชิงอีแล้วพูดว่า “ข้าเกรงว่ามู่หลิงคงจะไม่ได้พบเจ้าอาวาสฉือเอินแล้วล่ะ ชิงชิงข้าเพิ่งจะได้ข่าวใหญ่ว่าเจ้าอาวาสฉือเอินเพิ่งจะปิดตนบำเพ็ญภาวนา ไม่รับแขกใด”
“บำเพ็ญภาวานา?” มู่ชิงอีตกใจ หลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนบางอย่างในแววตา เอ่ยขึ้นว่า “ช่างน่าเสียดายที่เป็นเช่นนั้น” หรงจิ่นบิดตัวอย่างเกียจคร้าน ท้าวคางมองไปที่มู่ชิงอีด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม ชิงชิงต้องระวังมู่หลิงเอาไว้ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้มาดี”
มู่ชิงอียิ้มเฉยเมย “ทำให้องค์ชายเป็นห่วงแล้ว”
ดวงตาของหรงจิ่นเป็นประกาย “เป็นข้าที่วุ่นวายเอง เช่นนี้ก็ดี! ข้าเองก็อยากจะเห็นแผนรับมือของชิงชิงเหมือนกัน”
หลังจากส่งหรงจิ่นออกไปแล้ว มู่ชิงอีก็เข้าไปที่ห้องด้านใน มองดูจูเอ๋อร์ที่กำลังจัดข้าวของให้นาง เลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “สะใภ้ซุนส่งสิ่งใดมาบ้าง”
จูเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ล้วนเป็นของที่คุณหนูใช้ปกติทุกวัน มีเสื้อผ้าอยู่เล็กน้อย” นางมักจะตรวจสอบสิ่งที่สะใภ้ซุนส่งมาเป็นประจำอยู่แล้วแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดแปลก ทำให้จูเอ๋อร์อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีแผนร้ายอะไรหรือไม่
มู่ชิงอีโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องตรวจสอบแล้วหากข้าวของพวกนี้มีปัญหา สะใภ้ซุนคงไม่สามารถกำจัดหลักฐานได้ แม้ว่านางต้องการจะทำอะไรก็ตาม…คงจะไม่เกี่ยวกับข้าวของพวกนี้”
“คุณหนู…ซุนฮูหยินคงไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้ชีวิตคุณหนูไม่ราบรื่นใช่หรือไม่เจ้าคะ” จูเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง พวกนางอยู่ในแสงสว่างส่วนสะใภ้ซุนก็อยู่ในเงามืด พวกนางไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลยหากนางนั้นลงมือขึ้นมาจริงๆ
มู่ชิงอีเคาะโต๊ะเบาๆ ใบหน้าเฉยเมย “สะใภ้ซุนเริ่มลงมือแล้ว…ถึงกระนั้น ก็คงเป็นแค่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ในเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ไม่สู้…ชิงลงมือก่อน!”
“ชิงลงมือก่อน?” จูเอ๋อร์มึนงงเล็กน้อย “ลงมืออะไรหรือเจ้าคะ” พูดให้ชัดๆ คือลงมือกับใคร
มู่ชิงอีมองจูเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้น จูเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้า ไม่รู้ว่าตนควรจะตกใจหรือตื่นเต้น
คนที่คุณหนูกำลังพูดถึง คงไม่ใช่…คุณชายรองหรอกกระมัง
กลางดึก มีเสียงอุทานดังขึ้นจากเรือนบนเขาด้านหลังวัดเป้ากั๋ว “จับขโมย!”
ในเวลาเพียงครู่เดียว เรือนพำนักก็สว่างไสวไปทั่ว วัดเป้ากั๋วมีเรือนพำนักทั้งหมดสิบแปดแห่ง เรือนเล็กๆ เหล่านี้ล้วนเชื่อมต่อถึงกัน ช่วงนี้ มีแขกไม่มากนักในเรือนพำนัก รวมเรือนของมู่ชิงอีแล้วก็มีเพียงห้าเรือนเท่านั้น เสียงร้องตะโกนดังมาจากเรือนหลังเล็กของมู่ชิงอี ในไม่ช้า คนไม่น้อยก็รีบตรงไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทันที
“คุณหนูตระกูลมู่! คุณหนูตระกูลมู่!” พระที่ดูแลเรือนเคาะประตูห้องของมู่ชิงอีอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าจะมีแสงเทียนส่องสว่างไสวข้างใน แต่กลับไม่มีใครมาเปิดประตูอยู่เป็นเวลานาน
“ขโมยนั่นคงไม่ได้เข้าลอบไปในห้องคุณหนูของพวกเราใช่หรือไม่ รีบเปิดประตูไปช่วยคุณหนูเร็วเข้า” หญิงรับใช้วัยกลางคนจากจวนซู่เฉิงโหวร้องตะโกนออกมาอย่างกังวล คนที่วิ่งมาจากด้านหลังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมองหญิงคนนั้นอย่างแปลกใจ
แม้ว่าโจรนั่นจะเข้ามาในห้องคุณหนูของตัวเองจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตะโกนดังขนาดนี้ ราวกับต้องการทำลายความบริสุทธ์ของคุณหนูตัวเอง บ่าวรับใช้ของจวนซู่เฉิงโหวช่างโง่เขลาเสียจริง
“เกิดอะไรขึ้น” หญิงงามวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชน ขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
หญิงสาวที่ตะโกนก่อนหน้านี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร อีกทั้งยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของคนตรงหน้า สาวใช้ที่เดินตามหญิงงามพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “บังอาจ! องค์หญิงถาม เหตุใดจึงไม่ตอบ”
นางหน้าซีดด้วยความตกใจ นางเป็นแค่หญิงรับใช้ในจวนซู่เฉิงโหวจะเคยได้พบเจอองค์หญิงที่ไหนกัน นางไม่รู้แต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้จักดี องค์หญิงผู้นี้เป็นพระธิดาองค์โตของฮ่องเต้แคว้นหวา มารดาผู้ให้กำเนิดของนางคือพระสนมคนโปรด พระสนมหลานเฟยผู้ล่วงลับไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แคว้นหวาตั้งแต่ยังเยาว์ อายุสิบแปดปีได้อภิเษกสมรสกับนายพลเวยหย่วน น่าเสียดายที่เมื่ออายุได้เพียงยี่สิบสามปี นายพลเวยหย่วนก็เสียชีวิตในสนามรบ ฮ่องเต้แคว้นหวาจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นเวยหย่วนโหว องค์หญิงพำนักอยู่ในวัดเป้ากั๋วเพื่อไว้อาลัยให้นายพลเวยหย่วนเป็นเวลาสิบปีแล้ว
“ทูลองค์หญิง กระหม่อมรีบมาตรวจดูเมื่อได้ยินว่ามีโจรบุกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่า…คุณหนูสี่ของจวนซู่เฉิงโหวไม่ปรากฏตัว บ่าวรับใช้ของจวนซู่เฉิงโหวจึงกังวลใจ…” แต่กลับพูดออกไปไม่ได้ว่ากังวลเรื่องใด หากชื่อเสียงบุตรีของจวนซู่เฉิงโหวเสียหาย ซู่เฉิงโหวคงจะขุ่นเคืองอย่างมาก
“จวนซู่เฉิงโหวมีแม่นางเพียงคนเดียวหรือ” องค์หญิงเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
หญิงคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้นด้วยขาที่อ่อนแรง ตอบอย่างขลาดเขลาว่า “ทูล…ทูลองค์หญิง ยังมีคุณชายรอง…” เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณชายรองถึงยังไม่ปรากฏตัว ยิ่งทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณชายรองจวนซู่เฉิงโหว เหตุใดถึงไม่อยู่ที่นี่เล่า” องค์หญิงถามอย่างไม่พอใจ
มีเรื่องเกิดขึ้นกับน้องสาวของตัวเอง แต่คนเป็นพี่ชายกลับไม่ปรากฏตัว คนจวนซู่เฉิงโหวนี่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
“คือว่า…” นางก็แค่ทำตามคำสั่ง เรื่องพวกนี้จะไปรู้ได้อย่างไรกัน
องค์หญิงใหญ่เหลือบมองฝูงชนก่อนที่จะกระซิบสั่ง “ขึ้นไปตรวจดูสักหน่อย”
องครักษ์ที่ติดตามองค์หญิงใหญ่รับคำสั่ง เดินไปด้านหน้าประตูห้องเพื่อปลดกลอนประตู พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “องค์หญิงหมิงเวยเชิญคุณหนูสี่ตระกูลมู่เข้าพบ รบกวนคุณหนูสี่เปิดประตูด้วย”
ผ่านไปสักพัก ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างเบามือ หญิงสาวงดงามในชุดสีม่วงปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน หลังจากเหลือบมองผู้คนแล้ว ก็ค่อยๆ เดินเข้าหาและย่อตัวคำนับองค์หญิง “มู่ชิงอี บุตรีคนที่สี่ของจวนซู่เฉิงโหว ขอถวายพระพรองค์หญิงเพคะ”
องค์หญิงใหญ่มองไปที่มู่ชิงอีแล้วถามว่า “เหตุใดคุณหนูตระกูลมู่จึงได้เปิดประตูเอาตอนนี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นข้างนอกทำให้บ่าวรับใช้ของเจ้าเป็นกังวล”
มู่ชิงอียิ้มอย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า “องค์หญิง โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ ชิงอีมัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับการปรุงเครื่องหอม ตอนที่ได้ยินเสียงจากด้านนอก เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดพอดี ดังนั้นจึง…”