หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 38 พระภิกษุหลานอวี้
“พ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าตอบรับ โบกมือส่งสัญญาณให้คนเข้าไปพาพวกเขาออกมา
องค์หญิงใหญ่พามู่ชิงอีไปที่โถงรับรอง เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจจะอยู่ไต่สวนมู่หลิง กลุ่มคนนั่งลงภายในห้องโถงอย่างสงบเสงี่ยม มู่ชิงอียืนอยู่ด้านข้างองค์หญิงใหญ่อย่างสงบนิ่ง องค์หญิงใหญ่เหลือบมองนางแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า นั่งลงเถิด”
“ชิงอีไม่กล้าเพคะ” บอกอย่างนอบน้อม
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ากำลังรอไต่สวนคนของจวนซู่เฉิงโหวไม่ใช่เจ้า บอกให้นั่งลงก็นั่งลงเถิด”
ชิงอีลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะนั่งลงอยู่ข้างๆ องค์หญิงใหญ่ เมื่อเห็นกิริยามารยาทที่รู้ความของนาง องค์หญิงใหญ่ก็แอบพยักหน้า
สมกับเป็นบุตรีของภรรยาเอก ไม่เหมือนกับมู่เฟยหลวนและมู่อวิ๋นหรง
เมื่อมู่หลิงถูกนำตัวมา องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงพรึงเพริด แม้จะพอคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่นางไม่ได้คาดเดาถึงเรื่องเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นมู่หลิงกับหญิงสาวจากเรือนพำนักด้านข้าง หรือไม่ก็เป็นหญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นบุรุษสองคนที่ถูกองครักษ์หามเข้ามาอย่างคาดไม่ถึง!
ชายทั้งสองคนที่ถูกองครักษ์หามเข้ามาแล้วกดให้คุกเข่าลงนั้นเสื้อผ้าหลุดรุ่ย องค์หญิงใหญ่ชี้นิ้วอย่างพูดไม่ออกไปที่ชายสองคนนั้นอยู่เป็นเวลานาน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นคือคุณชายรองของจวนซู่เฉิงโหว มู่หลิง ผมเผ้ากระจัดกระจาย เสื้อผ้าหลุดรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ ขณะที่อีกคนนั้นเป็นพระภิกษุหนุ่มรูปงาม ศรีษะเกลี้ยงเกลา เพียงแต่ผ้าจีวรที่พาดอยู่บนตัวของเขานั้นเอียงกะเท่เร่ ทำให้ทุกคนเห็นรอยข่วนที่คอของเขา
“อึก…” ทุกคนในที่นี้ ล้วนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจพลางกลืนน้ำลาย ยิ่งมองไปยังใบหน้าของมู่หลิงก็ยิ่งแปลกใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายรองตระกูลมู่ที่ภายนอกนั้นดูสุภาพอ่อนโยนแต่ภายในกลับดุร้ายอย่างมาก
“บังอาจนัก” องค์หญิงมีท่าทีเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก มองดูชายสองคนที่อยู่ตรงหน้า นางรู้สึกราวกับว่ากำลังเห็นมูลวัวที่ถูกตอมด้วยแมลงวันก็ไม่ปาน ชี้นิ้วไปที่ทั้งสองคน พูดอย่างเดือดดาล “ลากพวกมันออกไปโบย! โบยอย่างหนักคนละสามสิบไม้!”
เมื่อถูกจับให้คุกเข่าต่อหน้าองค์หญิง มู่หลิงก็อกสั่นขวัญหายอย่างไร้สติ แต่ทันทีที่ได้ยินองค์หญิงสั่งโบยจึงฟื้นคืนสติได้ทันที รีบร้องขอความยุติธรรม “องค์หญิงหมิงเวย! องค์หญิง…กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องการที่จะฟังคำแก้ตัวของเขา กล่าวอย่างเย็นชา “ลากมันออกไป โบยเสร็จแล้วค่อยว่ากัน!” ไม่ว่าจะผิดหรือไม่ก็ตาม แต่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าพระพุทธศาสนานั้นสมควรโดนแล้ว
องครักษ์ที่อยู่ข้างหน้าองค์หญิงย่อมไม่ขัดรับสั่ง คนสี่คนก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับทั้งสองคน มู่หลิงที่ส่งเสียงดังโหวกเหวกก็ถูกผ้ามัดปิดปากแล้วลากตัวออกไป ครู่หนึ่ง เสียงไม้กระดานกระทบเสียงดัง ก็ดังขึ้นจากนอกประตู
“องค์หญิง โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ” มู่ชิงอีรีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงเอ่ยขอร้องอ้อนวอนต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ที่กำลังเดือดดาล คนที่ยืนอยู่ด้านข้างรวมทั้งหลวงจีนฉืออานที่เพิ่งเร่งรุดมาถึงก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิง โปรดระงับโทสะด้วย” หลวงจีนฉืออานกำลังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
วัดเป้ากั๋วสร้างมาร้อยปีแล้ว แต่หาเคยมีพระภิกษุที่ทำเรื่องอื้อฉาวเสื่อมเสียเช่นนี้ไม่ อีกทั้งเรือนพำนักรับรองยังไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของวัดเป้ากั๋ว มีคนกำลังปลอมตัวให้เหมือนเป็นพระภิกษุจากวัดเป้ากั๋ว? ศิษย์พี่ก็เพิ่งจะปิดตนบำเพ็ญภาวนา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวเช่นนี้…
หลวงจีนฉืออานหวังเพียงว่าศิษย์พี่จะออกจากการบำเพ็ญภาวนาก่อนเวลา เพราะยามนี้เขาก็ต้องการปิดตนบำเพ็ญภาวนาด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ช่างยุ่งเหยิงยิ่งนัก
องค์หญิงใหญ่หลับตาลง อดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะอาเจียนเอาไว้ เอ่ยเสียงเบา “หลวงจีนฉืออานเชิญนั่งลงก่อน เรื่องในวันนี้ต้องตรวจสอบกันให้ชัดเจน!”
หลวงจีนฉืออานเอ่ยขอบพระทัย พยักหน้าเห็นด้วย “สิ่งที่องค์หญิงพูดมานั้นถูกต้อง พระภิกษุรูปนี้ต้องให้คำอธิบายแก่องค์หญิงอย่างกระจ่างชัดเจน” แม้องค์หญิงจะไม่ต้องการซักถามคนผู้นั้น แต่หลวงจีนฉืออานไม่ยอมปล่อยไปแน่ ในวัดเป้ากั๋วมีพระหลายร้อยรูป หากเรื่องนี้หลุดออกไป ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรนั้น…ไม่กล้าคาดคิด
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นก่อนเถิด นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า”
“ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
นอกจากองครักษ์ขององค์หญิงแล้วก็มีคนนอกไม่มากนัก มีคนหนึ่งที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนนอกนั้นคือชายวัยกลางคนที่เคยหยุดมู่ชิงอีเอาไว้ก่อนหน้านี้ คนผู้นี้คือจ้าวถิ่งจือ ขุนนางกรมการคลัง เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาล้มป่วยจึงมาที่วัดเป้ากั๋วเพื่อพักฟื้นรักษาตัว แต่กลับต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้ จ้าวถิ่งจือจึงอดไม่ได้ที่จะโอดครวญต่อความความโชคร้ายของตัวเองอยู่ในใจ แม้เขาเป็นถึงข้าราชการระดับสามของกรมการคลัง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถล่วงเกินจวนซู่เฉิงโหวได้
การโบยสามสิบไม้นั้นต้องใช้เวลาอยู่สักพัก แต่ในไม่ช้าองครักษ์ก็ลากตัวมู่หลิงที่ดูราวกับกำลังจะตายและพระภิกษุหนุ่มเข้ามา หลังจากถูกโยนลงบนพื้นแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่สามารถแม้แต่จะคุกเข่าได้แต่นอนขดตัวอยู่กับพื้น แม้ว่ามู่ฉังหมิงเป็นถึงผู้บัญชาการทหาร แต่มู่หลิงนั้นเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอเท่านั้น การโบยสามสิบไม้จึงหนักหนาจนแทบจะพรากชีวิตครึ่งหนึ่งของเขา
องค์หญิงใหญ่จ้องมองไปยังมู่หลิงอย่างดูถูก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มู่หลิง เจ้ารู้ความผิดของตัวเองหรือไม่”
มู่หลิงเอ่ยคร่ำครวญ “องค์หญิง มู่หลิงถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหัวเราะอย่างเย็นชา “ถูกใส่ความ? เมื่อตอนที่พวกเขาเข้าไปพวกเจ้ากำลังกระทำสิ่งใดกันอยู่ ขุนนางจ้าว เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าของจ้าวถิ่งจือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะล่วงเกินจวนซู่เฉิงโหวแต่เขาก็ไม่กล้าพูดปดต่อหน้าองค์หญิง ทำได้เพียงกัดฟันตอบ “ทูลองค์หญิง…กระหม่อมและคนอื่นๆ เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณชายรองตระกูลมู่จึงได้รีบเร่งเปิดประตูเข้าไปดู ตอนที่เข้าไปพวกเขาทั้งสองคนกำลัง กำลัง…กระทำการมั่วโลกีย์ องครักษ์ขององค์หญิงและพระภิกษุในวัดล้วนแต่…เห็นกันอย่างชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกใส่ความ?” องค์หญิงใหญ่คว้าถ้วยชาบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงออกไป “ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ เห็นวัดเป้ากั๋วเป็นสถานที่แบบใดกัน หรือเจ้าคุ้นชินกับการกระทำต่ำช้าเช่นนี้? มู่ฉังหมิงสั่งสอนบุตรชายได้ดีเสียจริง!”
ใบหน้าของมู่หลิงซีดเผือด ร่างกายสั่นสะท้าน “องค์หญิงหมิงเวย! ต้องมีคน…มีคนวางแผนให้ร้ายกระหม่อม! เป็น…เป็นนาง! ต้องเป็นนางแน่! มู่ชิงอี เจ้าใส่ร้ายข้า!”
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่มู่ชิงอีในทันใด มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาที่มองมู่หลิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “พี่รอง ท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ”
เมื่อเห็นหญิงสาวท่าทางใสซื่อบอบบางที่นั่งอยู่ข้างองค์หญิง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
หญิงสาวผู้นี้จะคิดแผนการชั่วร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เกิดเรื่องคุณหนูสี่ก็อยู่กับองค์หญิงใหญ่ตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า มีใครบ้างที่ไม่รู้ล่ะว่าคุณหนูสี่จวนซู่เฉิงโหวผู้นี้นั้นไม่เป็นที่โปรดปรานของคนในตระกูล หลุมพรางนี้ต้องใช้ทั้งเงินและกำลังคน นางจะทำได้อย่างไร
“เจ้าไม่ต้องมาตีหน้าเสแสร้ง! นอกจากเจ้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก เจ้าต้องเป็นคนเลวที่ใส่ร้ายข้าเป็นแน่!” แต่ไหนแต่ไรมา มู่หลิงไม่เคยรู้สึกอับอายถึงเพียงนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เกิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องน่าอับอายทั่วไป แต่หากใครล้มเหลวพลาดพลั้งก็จะถูกทำลาย
เหตุใดตนถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ไม่นานมานี้เขายังเฝ้ารอดูความทะเยอทะยานของมู่ชิงอีถูกทำลายพินาศลงอยู่เลย ใครเล่าจะรู้ว่า คนที่ถูกทำลายก่อนนั้นกลับกลายเป็นตัวเขาเอง?
มู่ชิงอีไม่ได้โต้เถียงกับเขา เพียงเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่ที่กำลังจ้องมาที่ตน พูดด้วยแววตาหนักแน่น “องค์หญิง ชิงอีขอให้องค์หญิงตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียดด้วยเพคะ หากพี่รองกำลังถูกใส่ร้ายจริงๆ ไม่เพียงแต่คืนความบริสุทธิ์ให้เขา แต่ยังคืนความบริสุทธิ์ให้กับชิงอีด้วยเพคะ”