หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 39 องค์หญิงพิโรธ
เมื่อเปรียบเทียบกับมู่หลิงที่ถูกองค์หญิงรังเกียจแล้ว นางนั้นประทับใจมู่ชิงอีกว่ามาก เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องนี้จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดโดยข้าและหลวงจีนฉืออานอย่างแน่นอน”
หลวงจีนฉืออานลุกขึ้น ประสานมือคำนับองค์หญิง จากนั้นก็มองดูพระภิกษุหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับถามขึ้นว่า “ท่านเป็นสาวกของผู้ใด มีนามว่าอะไร”
“ข้า…ข้า…” พระรูปนี้อ้ำอึ้งอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หลวงจีนฉืออานขมวดคิ้วพูดเสียงเข้ม “ท่านไม่ใช่ลูกศิษย์วัดของข้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่! ข้า…ข้าเป็น!” พระภิกษุหนุ่มพูดด้วยความตื่นตระหนก
“เช่นนั้นก็เอ่ยนามของท่านมาเถิด เรื่องนี้ก็จบแล้ว ปกปิดไปก็ไร้ประโยชน์” หลวงจีนฉืออานขมวดคิ้วเล็กน้อย ในฐานะผู้อาวุโสของวัดเป้ากั๋วเขาอาจจะจำศิษย์ทุกคนในวัดไม่ได้ แต่ยังคงพอคุ้นเคยไม่มากก็น้อย แต่คนตรงหน้านี้ไม่คุ้นตาเป็นอย่างมาก “ดูจากชุดของพระภิกษุ คงเป็นศิษย์รุ่นที่สี่ของวัดนี้ใช่หรือไม่”
“ในเมื่อไม่ยอมพูด! ข้าจะโบยจนกว่าเจ้าจะเปิดปากพูด!” องค์หญิงใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน มองดูพระภิกษุหนุ่มที่ยังมีท่าทีลังเล
“ไม่…ไม่ ข้าพูดแล้ว!” ที่ถูกโบยถึงสามสิบทีเมื่อครู่ รสชาติความเจ็บปวดนั้นเกินบรรยาย เมื่อได้ยินว่าเขาจะถูกโบยอีกจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
“เจ้าอย่าได้พูดจาอะไรไร้สาระ!” มู่หลิงตกใจพลางกระซิบเตือนเสียงเบา
พระภิกษุหนุ่มไม่ใส่ใจคำพูดของเขา เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ใช่พระภิกษุจากวัดเป้ากั๋ว ข้าน้อยมาจากหอชิงเฟิงในเมืองหลวง มีนามว่าหลานอวี้!”
“หอชิงเฟิง คือสถานที่แบบใดกัน” องค์หญิงใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย นางอาศัยอยู่ในวัดเป้ากั๋วมาเป็นเวลานานถึงสิบปี แม้ว่านางจะกลับไปยังเมืองหลวงบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็อยู่แต่ในวัง แน่นอนว่าต้องไม่รู้จักสถานที่เหล่านี้อย่างแน่นอน
จ้าวถิ่งจือที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าพลันกระอักกระอ่วน เขารู้ดีว่าหอชิงเฟิงนั้นคือสถานที่แบบใด แต่จะกล้าพูดเรื่องสกปรกระคายหูต่อหน้าองค์หญิงได้อย่างไร มู่ชิงอีเองก็รู้เช่นกันแต่นางไม่สามารถพูดได้
บุตรีตระกูลโหวที่อยู่แต่ในจวนจะรู้จักสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร
รีบก้มหน้าลงหลบซ่อนความเยือกเย็นที่ปรากฏขึ้นในดวงตา นางคาดเดาได้ถึงแผนการของอนุซุน แต่คิดไม่ถึงว่าอนุซุนจะกล้าหาคนที่มาจากสถานที่ต่ำช้าเช่นนี้
“มัวแต่อึกอักไม่พูดไม่จาอยู่ทำไมกัน!” องค์หญิงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
จ้าวถิ่งจือถอนหายใจ เดินเข้าไปหาองค์หญิงแล้วก้มลงกระซิบข้างหู “ทูลองค์หญิง หอชิงเฟิงในเมืองหลวงโด่งดังในเรื่อง…หอนายโลมพ่ะย่ะค่ะ”
อาจจะเป็นเพราะว่าองค์หญิงใหญ่เดือดดาลมากพอแล้วในคืนนี้ ยามนี้จึงได้มีท่าทีที่สงบเยือกเย็น เพียงจ้องมองไปยังหลานอวี้ ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ในวัดเป้ากั๋วได้ บอกความจริงมา! หากกล้าที่จะหลอกลวงข้า ยิ่งในสถานที่พระพุทธศาสนาเช่นนี้ ข้าจะหั่นศพข้องเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น คอยดู!”
หลานอวี้นั้นเป็นเพียงชายหนุ่มที่อยู่แต่ในหอนายโลม จะเคยเห็นท่าทางอันน่าเกรงขามขององค์หญิงจากราชวงศ์ที่ไหนกัน แต่เขาก็ไม่กล้าบอกความจริงว่าคุณชายรองของตระกูลมู่ต้องการให้เขาทำลายความบริสุทธ์ของคุณหนูสี่
หากพูดอย่างนั้นออกไปจริงๆ…ไม่เพียงแต่องค์หญิงจะไม่ละเว้นเขา แม้แต่ซู่เฉิงโหว มู่หลิงและสะใภ้ซุนก็คงไม่ละเว้นเขา เช่นนั้น ก็ต้องพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
“ใช่…ใช่แล้ว คุณชายรองพากระหม่อมเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นความจริงที่หลานอวี้ถูกมู่หลิงพาเข้ามา เขาพูดเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการโกหก แต่เพียงแค่ปกปิดเป้าหมายที่มู่หลิงต้องการให้ทำ หลานอวี้เองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดิมทีเขาควรจะไปที่เรือนของคุณหนูสี่ตระกูลมู่ แต่กลับสับสนมาที่เรือนของคุณชายรองได้ ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาสามารถแยกชายหญิงได้อย่างชัดเจน แต่ความเป็นจริงคือเขาและมู่หลิงถูกขังอยู่บนเตียง
คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน ผ่านไปสักพัก องค์หญิงใหญ่ก็พูดขึ้น “ข้าไม่ต้องการเห็นชายสองคนนี้อีกต่อไป…ลากพวกมันออกไป ส่วนมู่หลิงโบยอีกสามสิบไม้แล้วโยนกลับไปที่จวนซู่เฉิงโหว บอกมู่ฉังหมิงสั่งสอนบุตรชายของตนให้ดี ข้าจะกราบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบด้วยตัวเอง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ทั้งหมดของมู่หลิง ปลดออกให้หมด!” แม้แต่ชื่อของหลานอวี้ องค์หญิงก็รู้สึกขยะแขยงเกินกว่าจะเอ่ยเรียก
“องค์หญิง…หากโบยอีกเกรงว่า…” องครักษ์กระซิบกระซาบ มู่หลิงเป็นเพียงบัณฑิตเรี่ยวแรงน้อย หากโบยอีกสามสิบไม้เกรงว่าถึงจะไม่ตายก็อาจจะพิการได้ แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะเป็นที่เคารพนับถือ แต่มู่ฉังหมิงมีอำนาจไม่น้อยในช่วงสองปีที่ผ่านมา จึงไม่ควรทำให้เขาขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้
“โบย!” องค์หญิงยืนกราน “หากตายข้าจะรับผิดชอบเอง!”
“องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วย! องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วย!” มู่หลิงเองก็ตกใจมากเช่นกัน สามสิบไม้ที่เพิ่งจะได้รับไปนั้นก็แทบจะไม่สามารถทนได้แล้ว หากยังต้องรับอีกสามสิบไม้ เกรงว่าคงจะไม่มีชีวิตอยู่เสียแล้ว
องค์หญิงใหญ่สูดลมหายใจแล้วพูดอย่างแผ่วเบา “ลากมันออกไป”
“องค์หญิงทรงเมตตาด้วย!” เสียงพูดของมู่ฉังหมิงดังมาจากนอกประตู
มู่ฉังหมิงรีบนำสะใภ้ซุนและมู่เชินเข้ามา ทันทีที่สะใภ้ซุนเห็นมู่หลิงที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นก็กรีดร้อง “หลิงเอ๋อร์…หลิงเอ๋อร์! ใครกัน! ใครกันที่กล้าตีเจ้า หลิงเอ๋อร์…”
“ท่านแม่…ท่านพ่อ ช่วยลูกด้วย! ลูกถูกใส่ความ…” เมื่อเห็นมู่ฉังหมิงและสะใภ้ซุน มู่หลิงก็ดูราวกับเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย รีบคว้าแขนเสื้อของสะใภ้ซุนไว้แน่น ตะโกนโอดครวญ
มู่ฉังหมิงท่าทางเคร่งขรึม จ้องมองใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ขององค์หญิงใหญ่แล้วพูดขึ้น “องค์หญิงโปรดเมตตา กระหม่อมไม่ทราบว่าเด็กคนนั้นทำให้องค์หญิงทรงขุ่นเคืองพระทัยด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์หญิงใหญ่โปรดอภัยให้ด้วย”
องค์หญิงใหญ่พูดอย่างไม่ไว้หน้ามู่ฉังหมิงด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน “ซู่เฉิงโหวช่างมาได้รวดเร็วเสียจริง เช่นนั้น มู่หลิงผู้นี้ก็มอบให้กับซู่เฉิงโหวเป็นคนสั่งสอนก็แล้วกัน ข้าอยากจะรู้ ดูหมิ่นดินแดนอันบริสุทธ์แห่งพระพุทธศาสนา…ทำเรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ ควรจะได้รับการลงโทษอย่างไร!”
มู่ฉังหมิงเหลือบมองชายสองคนบนพื้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป คนที่มีความรู้มากมายเช่นเขา ไหนเลยจะคาดเดาไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ตนรู้จักบุตรชายผู้นี้ดี ไม่เชื่อว่าเขาจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องพวกนี้ในวัดเป้ากั๋ว ยิ่งไปกว่านั้น มู่หลิงไม่ใช่ชายรักชาย
“องค์หญิง กระหม่อมเกรงว่าจะมีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น” มู่ฉังหมิงพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ไม่เชื่อ
องค์หญิงใหญ่ยิ้มเย็นชา ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ช่างเถิด มู่หลิงเป็นน้องชายแท้ๆ ของโหรวเฟย เป็นบุตรชายของซู่เฉิงโหว เป็นพี่ชายแท้ๆ ของว่าที่พระชายาหนิง เรื่องที่เขาดูหมิ่นศาสนาพุทธเกรงว่าจะทำให้ในวังเกิดความวุ่นวายไม่มากก็น้อย ข้าเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก ขอตัวออกไปก่อนก็แล้วกัน หวังเพียงว่าซู่เฉิงโหว…จะสามารถให้คำอธิบายที่แท้จริงแก่ข้าได้ มิฉะนั้น…ก็อย่าโทษข้าที่เข้าวังเพื่อทูลขอให้เสด็จพ่อทรงช่วยตัดสินเลย!” หลังจากพูดจบ องค์หญิงก็ลุกขึ้นจากไป ก่อนจากไปก็ได้เหลือบมองมายังมู่ชิงอีพร้อมรอยยิ้มจางๆ “หากคุณหนูสี่ไม่มีอะไรทำ เหตุใดไม่มาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าในวันพรุ่งนี้เล่า”
“ชิงอีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง น้อมส่งองค์หญิงเพคะ”
“น้อมส่งองค์หญิงเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่พาเหล่าผู้ติดตามออกไป จ้าวถิ่งจือที่ไม่ต้องการอยู่ล่วงเกินมู่ฉังหมิงจึงรีบตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลานอวี้ไม่ใช่พระภิกษุ ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลวงจีนฉืออาน หลวงจีนฉืออานจึงนำผู้คนออกไปด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เหลือเพียงคนของจวนซู่เฉิงโหวเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ในห้องโถง
“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!?” มู่ฉังหมิงตบโต๊ะดังลั่นอย่างเดือดดาล ทุกคนรวมทั้งสะใภ้ซุนล้วนสะดุ้งตกใจ