หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 48 อำนาจสิทธิ์ขาด ความจริงของมรดก (2)
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เถ้าแก่เฝิงก็คิดว่านางกำลังผิดหวัง บันทึกเล่มนี้คงไม่มีประโยชน์สำหรับหญิงสาวจริงๆ เขายิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า หากคุณหนูสี่ตระกูลมู่ไม่ถูกใจ…
ไม่ มู่ชิงอีดึงสติกลับมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า ต้องขอบคุณเถ้าแก่ ชิงอีชอบมาก ในเมื่อได้รับของแล้ว ชิงอีขอตัวลาเจ้าค่ะ
ช้าก่อนคุณหนูสี่ตระกูลมู่ เถ้าแก่เฝิงตกตะลึง เอ่ยถามขึ้น ท่านจะไม่ถามว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้ถูกจัดการอย่างไรหรือขอรับ ตอนนี้ท่านก็น่าจะรู้ว่าถึงแม้ตระกูลกู้จะถูกรื้อค้นแต่ทรัพย์สินของตระกูลกู้ไม่ได้ถูกทำลายไปทั้งหมด ตระกูลกู้เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาหลายร้อยปีแล้ว ทั้งวงศ์ตระกูลมีอัครเสนาบดีถึงสามคนและราชเลขาอีกเจ็ดคน แม้กระทั่งแม่ทัพหรือฮองเฮาก็เคยมี ตระกูลเช่นนี้จะไม่นึกเผื่อถึงความยากลำบากและอันตรายในช่วงระยะเวลายามสงบได้อย่างไร เพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นหวานั้นลงมือโหดเหี้ยมเกินไป ตระกูลกู้คาดไม่ถึง รับมือไม่ทัน ไม่เช่นนั้นคนตระกูลกู้จะพเนจรกระจัดกระจายเช่นนี้หรือ
มู่ชิงอียกยิ้มแล้วกล่าวว่า ในเมื่อชิงอีเลือกแล้ว ย่อมไม่เสียใจภายหลัง เรื่องที่เหลือไว้กู้เซียงน่าจะมอบหมายให้เถ้าแก่เฝิงเป็นผู้รับผิดชอบตามที่เขาปรารถนาไว้ใช่หรือไม่
เถ้าแก่เฝิงมองไปที่มู่ชิงอีอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวว่า คุณหนูสี่ตระกูลมู่คงจะรู้ได้ว่า ทรัพย์สินนั้นมหาศาลอย่างมาก
มู่ชิงอียิ้มและส่ายหัวอย่างไม่ประหลาดใจ แม้ว่านางจะไม่ได้คำนวณอย่างละเอียดแต่มู่ชิงอีก็รู้ว่ามันต้องเป็นมากมายล้นโพ้นอย่างแน่นอน ที่ว่าตระกูลกู้มีสมบัติล้ำค่าเก็บไว้จึงไม่ใช่เพียงแค่ข่าวลือแล้ว ความมั่งคั่งของตระกูลกู้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับคนทั่วไป ไม่มีขุนนางที่ทุจริตในตระกูลกู้มานานหลายชั่วอายุคน หนึ่งคงเป็นเพราะการสั่งสอนที่เข้มงวดของตระกูลกู้ และสองคือตระกูลกู้นั้นร่ำรวยมั่งคั่งอยู่แล้ว ตระกูลกู้เดิมเป็นตระกูลขุนนางปัญญาชน ประวัติของตระกูลนั้นยาวนานกว่าแคว้นหวาหลายร้อยปี ความมั่งคั่งที่สะสมตลอดหลายศตวรรษนั้นช่างเป็นที่น่าตกใจ
สามปีก่อน ตระกูลกู้ถูกขโมยภาพเขียนโบราณทั้งหมดที่สะสมไว้ มีมูลค่าถึงสามแสนตำลึงทอง ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าเป็นเงินเพียงเล็กน้อยสำหรับตระกูลกู้ที่สั่งสมความมั่งคั่งมาเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่คนนอกยากที่เชื่อว่าถูกขโมย มู่ชิงอีเองก็ไม่เชื่อ
นี่คงเป็นแผนการโยกย้ายเก็บซ่อนทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่ชิงอีก็มีคำถามอยู่ในหัว หากแม้แต่ตนยังไม่เชื่อ เช่นนั้น…ฮ่องเต้แคว้นหวาและมู่หรงอวี้ก็คงไม่เชื่อว่าตระกูลกู้มีเพียงทรัพย์สินแค่นั้นที่เหลืออยู่ ถ้าขนาดแม้แต่พวกเขาเองก็ไม่เชื่อ เช่นนั้น…พี่ใหญ่…
ข้าน้อยเฝิงจื่อสุ่ย คำนับคุณหนูขอรับ ขณะที่มู่ชิงอีกำลังครุ่นคิด เสียงของเถ้าแก่เฝิงก็ดังขึ้นที่ข้างหูของนาง มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ แต่ตอนนี้กลับเรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ อีกทั้ง ก่อนหน้านั้นยังเรียกว่านาง ‘คุณหนูสี่ตระกูลมู่’ แต่ในตอนนี้เฝิงจื่อสุ่ยกลับเรียกนางว่า ‘คุณหนู’ เพียงเท่านั้น เขาตั้งใจที่จะยกให้นางเป็นนาย
เมื่อเห็นเถ้าแก่เฝิงก้มคำนับลงกับพื้น มู่ชิงอีก็ยื่นมือออกไปพยุงตัวเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า เถ้าแก่เฝิงหมายความว่าอย่างไร
เถ้าแก่เฝิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม ในปีนั้นนายท่านบอกว่าหากมีคนมาที่ศาลาชิงอานและนำจดหมายตระกูลกู้ไป ผู้นั้นจะได้รับมรดกทุกอย่างจากตระกูลกู้
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่มีผู้ใดมาเล่า
สิบปีต่อจากนี้ ทุกสิ่งที่ตระกูลกู้มีก็ให้กระจัดกระจายแจกจ่ายไปยังประชาชนโดยทั่วไป เถ้าแก่เฝิงตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
มู่ชิงอีนิ่งเงียบ นี่เป็นสิ่งที่ท่านปู่จะกระทำจริงๆ ยอมที่จะกระจายสมบัติของตระกูลดีกว่ามอบให้กับคนที่จิตใจไม่อาจคาดคะเนได้
เถ้าแก่ไม่กังวลหรือว่าจะมอบให้กับคนที่ไร้มนุษยธรรม
เถ้าแก่เฝิงยิ้มจางๆ พร้อมพูดว่า แม้ว่าข้าน้อยจะไม่ทราบว่านายท่านวางแผนไว้อย่างไร แต่การที่จะหาศาลาชิงอานพบนั้นก็ไม่ง่ายเลย มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม ท่านปู่คิดได้รอบคอบจริงๆ แม้ว่าจะมีคนลวงหลอกและพยายามขโมยหยกแขวนจากลูกพี่ลูกน้องชาย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถโน้มน้าวเจ้าอาวาสฉือเอินได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว นางเป็นคนที่ได้รับสาส์นลับที่ท่านปู่ฝากฝังไว้กับเจ้าอาวาสฉือเอิน แต่มู่ชิงอีก็ต้องใช้เวลาอย่างมากกว่าจะเข้าใจข้อความปริศนาลับในจดหมายนั้นได้ ตอนที่นางยังเป็นเด็กท่านปู่มักสอนวิธีไขปริศนาลับนั้นให้กับพี่ใหญ่และนาง ในโลกนี้คงมีเพียงนางและพี่ใหญ่เท่านั้นที่แก้ปริศนาลับของท่านปู่ได้ ดังนั้นหากคนอื่นสามารถบังเอิญพบจดหมายลับเหล่านี้แต่ไขข้อความในนั้นไม่ได้ก็นับว่าเสียแรงเปล่า สุดท้ายแล้วก็คงต้องยอมแพ้ท้อถอย
เถ้าแก่เฝิงรู้เรื่องพี่ชายใหญ่? มู่ชิงอีจ้องเขม็งไปที่เถ้าแก่เฝิงพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น เถ้าแก่เฝิงพลันสะดุ้งตกใจ ร่องรอยของความแค้นปนละอายได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสง่างามของเขา พูดอย่างเคร่งขรึม รู้ขอรับ
แล้วเหตุใดถึงไม่ลงมือช่วยพี่ใหญ่ มู่ชิงอีถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง
หากทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลกู้ยังคงอยู่ หากสหายเก่าของตระกูลกู้ยังคงภักดีต่อท่านปู่ เหตุใดจึงไม่มีใครช่วยพี่ใหญ่เล่า
เถ้าแก่เฝิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางมองไปที่มู่ชิงอีแล้วพูดบอก คุณหนูคิดว่า…พวกเราไม่ได้ช่วยอย่า
งนั้นหรือ กงอ๋องเก็บคุณหนูใหญ่และคุณชายใหญ่ไว้เดิมทีคิดว่าเป็นเพราะ…ทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้ ข้าน้อยเคยส่งคนไปช่วยเหลือ แต่คนทั้งหมดล้วนถูกโจมตีและไม่ได้กลับมา แม้ว่าตระกูลกู้…จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ก็ยังเป็นเพียงนักปราชญ์…
มู่ชิงอีนิ่งงัน นางเข้าใจความหมายของเถ้าแก่เฝิง ไม่ว่าตระกูลกู้จะมีเงินทองสักเท่าไร แต่พวกเขาก็เป็นเพียงตระกูลขุนนางร่ำรวยธรรมดา ในแง่ของกำลังคนคงเทียบอะไรกับผู้มากฝีมือของราชวงศ์ไม่ได้ และแม้ว่ามู่ชิงอีจะใช้เงินทองทั้งหมดของตระกูลกู้เพื่อขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือทั่วทั้งดินแดน แต่นางก็ยังคงไม่สามารถประมือกับมู่หรงอวี้ได้
เป็นข้าเองที่ผิด กล่าวโทษเถ้าแก่เฝิงอย่างเข้าใจผิดแล้ว
ไม่กล้าๆ เป็นเพราะข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่สามารถช่วยคุณชายใหญ่ได้ เถ้าแก่เฝิงกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อมองไปที่มู่ชิงอี เถ้าแก่เฝิงก็มีความลังเล คุณหนู…มีแผนที่จะช่วยเหลือคุณชายใหญ่หรือขอรับ
มู่ชิงอีกล่าวอย่างมุ่งมั่น นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ ชิงอีที่อยู่ในโลกนี้…เหลือเพียงแต่พี่ใหญ่ที่เป็นญาติสนิทเท่านั้นแล้ว
ญาติทางสายเลือดของคุณหนูสี่ตระกูลมู่ไม่ได้มีเพียงคุณชายใหญ่ตระกูลกู้เพียงผู้เดียวไม่ใช่หรือ ตระกูลของจวนซู่เฉิงโหวทั้งใหญ่และเล็กก็ล้วนใช่
แต่เมื่อคิดมาถึงเรื่องของซู่เฉิงโหวฮูหยิน จู่ๆ เถ้าแก่เฝิงก็รู้สึกว่าเขานั้นสามารถเข้าใจความคิดของหญิงสาวตรงหน้าได้
คุณหนู ซู่เฉิงโหวฮูหยิน… หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เถ้าแก่เฝิงก็ลังเลเล็กน้อยว่าจะพูดดีหรือไม่
มู่ชิงอีมองไปที่เขาอย่างสงบ เถ้าแก่เฝิงถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า ฮูหยินซูเฉิงโห่วนั้นตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนก่อนที่นางจะจากไป นอกจากนี้…ซู่เฉิงโหวฮูหยินน่าจะ…ถูกป้อนยาทำให้แท้งบุตร จากนั้นจึงถูกคนรัดคอตายในภายหลัง
ท่านรู้ได้อย่างไร
ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว หลังจากที่ซู่เฉิงโหวฮูหยินจากไป ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบร่างกายของนาง หรงจิ่นได้ตรวจสอบหลังจากนั้นเป็นเวลานาน แน่นอนว่าข่าวที่ได้มาย่อมมีเพียงคร่าวๆ แต่เถ้าแก่เฝิงส่งคนไปตรวจสอบศพทันทีหลังจากที่สะใภ้จังเพิ่งจากไป เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเป็นเพราะเรื่องของตระกูลกู้ กู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิงก็ทำให้ยุ่งจนหัวหมุนพอแล้ว ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสนใจจวนซู่เฉิงโหวได้ กว่าจะได้รู้ข่าวว่าซู่เฉิงโหวฮูหยินได้จากไปก็เนิ่นนานพอสมควร
เถ้าแก่เฝิงเลือกที่จะบอกมู่ชิงอีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นในเวลานี้ เพื่อที่จะทดสอบนาง เขาเป็นผู้จงรักภักดีต่อตระกูลกู้เพียงตระกูลเดียว แต่สุดท้ายผู้ที่รับช่วงต่อทุกอย่างจากตระกูลกู้กลับเป็นคนจากตระกูลมู่ ที่ตระกูลกู้ล่มสลายมู่ฉังหมิงเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง แท้จริงแล้วเถ้าแก่เฝิงก็หวังว่า การที่มู่ชิงอีไม่แสดงไมตรีจิตต่อตระกูลมู่คงจะเป็นการดีกว่า