หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 49 เกิดมาไร้สมอง
มู่ชิงอีสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวว่า ขอบคุณเถ้าแก่อย่างมาก
เถ้าแก่เฝิงกำลังจะเอ่ยตอบก็มีเสียงดังมาจากชั้นล่าง ทั้งสองคนพลันขมวดคิ้ว มู่ชิงอีพูดขึ้น เถ้าแก่เฝิง เราลงไปกันก่อนเถิด
ขอรับ เถ้าแก่เฝิงตอบรับอย่างเชื่อฟัง มองไปยังมู่ชิงอีที่กำลังจะเดินลงไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า เหตุใดคุณหนูถึงไว้วางใจข้าน้อยล่ะขอรับ
หลังจากตระกูลกู้ล่มสลาย ตนก็ถือครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลกู้เพียงผู้เดียว คงไม่แปลกหากคนตระกูลกู้จะคิดสงสัยว่าเขาต้องลอบขโมยทรัพย์สินเข้ากระเป๋าของตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะลงมือหักหลักตระกูลกู้
มู่ชิงอีหันหน้ากลับไป กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า หากไม่เชื่อท่านเฟิ่งจังแล้วชิงอีจะเชื่อผู้ใดได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น ชิงอีเชื่อในสายตาของกู้เซียง
มองแผ่นหลังของมู่ชิงอีที่เดินจากไป เถ้าแก่เฝิงผู้ซึ่งสงบอยู่เสมอก็ตกตะลึง
ท่านเฟิ่งจัง…ไม่มีใครเรียกขานนามนี้มาอย่างน้อยสิบปีแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลมู่ผู้นี้พึ่งจะอายุสิบหกปี เหตุใดจึงทราบได้
เมื่อเดินลงจากชั้นสาม ใบหน้าที่งดงามของมู่ชิงอีก็แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา แม้ว่าความจำของตนจะดีมาก แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จำเฝิงจื่อสุ่ยได้ คนผู้นี้สมญานามเฝิงจื่อสุ่ย เดิมแซ่เฝิง นามเฟิ่งจัง เมื่อตอนที่เขายังเยาว์วัย นับว่าเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ในเจียงหนาน หากเขาได้เข้ารับราชการมีชีวิตที่ปกติ หากเป็นไปด้วยดี ยามนี้ก็คงจะไต่เต้าไปถึงขุนนางระดับหนึ่งหรือสองแล้ว
แต่น่าเสียดายที่คนผู้นี้โชคร้าย ยามเมื่อเขาอายุได้สิบแปดปีได้ไปสอบวัดความรู้ แต่กลับเจอการทุจริตในห้องสอบ กระดาษข้อสอบของเขาถูกสับเปลี่ยนกับบุตรชายของขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก เขาจึงเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้ว่าในที่สุดความจริงจะถูกค้นพบ แต่เฝิงจื่อสุ่ยก็ประสบความยากลำบากตั้งมากมาย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นขุนนางมาเกือบสามสิบปีแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีผู้ใดจำได้ว่าเถ้าแก่ของศาลาชิงอานผู้นี้คือชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์เมื่อสามสิบปีก่อน
มู่ชิงอีจดจำเขาได้เพราะนางเคยพบเฝิงจื่อสุ่ย ตอนที่ติดตามกับท่านปู่เมื่อเจ็ดปีก่อน หลังจากนั้นเฝิงจื่อสุ่ยก็จากเมืองหลวงไป ท่านปู่ของนางยังทอดถอนใจเสียดายอยู่นานสองนาน เพราะเฝิงจื่อสุ่ยนับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ในตอนแรกที่มู่ชิงอีพบหน้าเขา ตนก็ยังจดจำเขาไม่ได้ เพียงแต่เมื่อได้ยินฉายาของเขาสักพักจึงคุ้นเคยถึงค่อยๆ จดจำได้ขึ้นมา
เมื่อนางลงไปยังชั้นล่าง ก็พบจูเอ๋อร์ที่คอยอยู่ที่ประตูห้องโถง มู่ชิงอีเอ่ยถาม ด้านนอกเกิดเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ
จูเอ๋อร์ส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างคาดเดาว่า จูเอ๋อร์ไม่รู้แน่นชัด แต่ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นน้ำเสียงของคุณหนูสามเจ้าค่ะ
มู่อวิ๋นหรง? เหตุใดนางถึงอยู่ที่นี่ เราไปดูกันสักหน่อยเถิด มู่ชิงอีขมวดคิ้ว
ที่โถงรับรองชั้นสองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มู่อวิ๋นหรงกำลังจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวบอบบางในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน มีหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์หลายคนห้อมล้อมอยู่ข้างตัวมู่อวิ๋นหรง ท่าทีของพวกนางล้วนแตกต่างกันไป บางคนกำลังเอ่ยห้ามปรามมู่อวิ๋นหรง บางคนเพียงมองดูด้วยใจลุ้นระทึก บางคนก็ส่งเสริมยุแยงเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ แขกที่อยู่รายรอบต่างก็ชมเหตุการ์ณอย่างสนุกสนาน เสียงกระซิบกระซาบนินทาดังขึ้นไม่หยุดหย่อน สายตาจับจ้องไปที่มู่อวิ๋นหรงกับหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน
คุณหนู เราอย่าออกไปเลยเจ้าค่ะ จูเอ๋อร์กล่าวเบาๆ แอบอยู่ข้างหลังมู่ชิงอี
คุณหนูสามทำตัวขายหน้าจวนซู่เฉิงโหวยิ่งนัก หากคุณหนูของนางออกไปจะต้องติดบ่วงแหไปด้วยแน่นอน
แต่จูเอ๋อร์กลับไม่รู้ว่า ยิ่งผู้คนดูถูกเหยียดหยามจวนซู่เฉิงโหว มู่ชิงอีก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น
มู่ชิงอีตบมือจูเอ๋อร์เบาๆ อย่างเพลิดเพลิน เดินออกไปอย่างช้าๆ พูดขึ้น เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ
แม้ว่าจะได้เผยตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยพระชายากงในวันนั้นไปแล้ว แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงที่ไม่รู้จักนาง เมื่อเห็นหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนจึงงุนงง มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้ว กัดฟันกล่าวว่า มู่ชิงอี เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ศาลาชิงอานเป็นสถานที่ที่คนอย่างเจ้าคู่ควรงั้นหรือ
อ้อ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูสี่จวนซู่เฉิงโหว! แต่คำพูดของคุณหนูสามตระกูลมู่น่าสนใจไม่น้อย หากคุณหนูสี่ตระกูลมู่ไม่สามารถมาที่ศาลาชิงอานได้ แต่คุณหนูสามที่เป็นบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยานั้นกลับสามารถมาได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…นางมาในฐานะว่าที่พระชายาหนิง
มู่ชิงอีไม่ได้สนใจในคำยั่วยุของมู่อวิ๋นหรง นางเดินเข้าไปหาหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า แม่นางมีแซ่ว่าอะไรหรือ
หญิงสาวผู้นั้นมองไปที่มู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง เห็นได้ชัดว่านางมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อจวนซู่เฉิงโหว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ ข้าแซ่หลี่
มู่ชิงอีเข้าใจแล้ว คาดไม่ถึงว่ามู่อวิ๋นหรงและคุณหนูตระกูลหลี่จะมายังศาลาชิงอานแห่งนี้ หลังจากที่คนตระกูลหลี่ถอนหมั้นแล้ว มู่หลิงก็กลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงทันที เมื่อมู่อวิ๋นหรงได้พบนางที่นี่ก็คงเป็นธรรมดาที่นางจะระบายอารมณ์ฉุนเฉียวแทนพี่ชายของนาง
ก่อนหน้านี้ มู่ชิงอีได้ยินคุณหนูหลี่โต้เถียงกับมู่อวิ๋นหรง จึงรู้ว่านางไม่ได้อ่อนแอบอบบางเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก
พี่หญิงสามอารมณ์ไม่ค่อยดี หากพูดหยาบคายไปบ้าง คุณหนูตระกูลหลี่โปรดอภัยให้นางด้วย มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัย คุณหนูตระกูลหลี่มองมู่ชิงอีด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ตระกูลหลี่ถอนหมั้นในยามนี้ แม้ว่าจวนซู่เฉิงโหวจะมีความผิดก่อน แต่จวนซู่เฉิงโหวย่อมต้องโกรธเคืองอยู่บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีนั้นท่าทีสงบเป็นมิตรต่างกับที่คาดคิดไว้ นางจึงไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
คุณหนูสี่สุภาพเกินไปแล้ว คุณหนูตระกูลหลี่เม้มริมฝีปากกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ นางรู้สึกได้ว่าคุณหนูสี่ที่อยู่ด้านหน้าของตนนั้นแตกต่างจากคุณหนูสามที่หยิ่งผยอง ในฐานะบุตรีของตระกูลหลี่ คุณหนูตระกูลหลี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับมารดาและน้องสาวแท้ๆ ของอดีตคู่หมั้น แต่อย่างไรก็ตาม มู่อวิ๋นหรงก็เป็นถึงว่าที่พระชายาหนิง อีกทั้งยังมีกงอ๋องหนุนหลัง จึงต้องยอมหลีกทางให้นางอยู่บ้าง
มู่ชิงอี ใครให้เจ้าเข้ามาสอดเรื่องนี้! มู่อวิ๋นหรงพูดอย่างหยาบคาย
มู่ชิงอีหมุนตัวกลับมา เหลือบมองมู่อวิ๋นหรงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า การกระทำของพี่หญิงสามในวันนี้ ทันทีที่กลับถึงจวน คงต้องไปอธิบายให้ท่านพ่อฟังแล้ว ทั้งกงอ๋องและซู่เฉิงโหวต่างก็ใช้ความพยายามอย่างมากคิดแผนรับมือตระกูลหลี่ จะเกิดอะไรขึ้นหากมู่อวิ๋นหรงพลาดพลั้งทำให้คุณหนูตระกูลหลี่เสื่อมเสียขึ้นมา ก็คงจะไม่ใช่เพียงมู่ฉังหมิงที่จะเดือดดาล
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นหรงก็ราวกับหายใจไม่ออก นางเพียงบังเอิญเจอคุณหนูตระกูลหลี่ในศาลาชิงอานโดยบังเอิญ ก็พลันนึกถึงพี่รองของตนที่ยังคงนอนบาดเจ็บหนักอยู่บนเตียง อีกทั้งผู้คนทั่วเมืองหลวงต่างก็ซุบซิบนินทาจวนซู่เฉิงโหว จึงฉุนเฉียวขาดสติขึ้นมาเข้าไปหาเรื่องคุณหนูตระกูลหลี่ ลืมไปว่าบิดาได้กำชับไม่ให้นางสร้างปัญหาในยามนี้ แต่อยู่ต่อหน้ามู่ชิงอี มู่อวิ๋นหรงจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร นางระงับความวิตกกังวลในใจ พูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ที่ข้าทำก็เพื่อพี่รองทั้งนั้น ท่านพ่อจะดุด่าข้าได้อย่างไร! เจ้าระวังตัวเอาไว้เถอะ รอข้ากลายเป็นพระชายาหนิง…
หุบปาก! อย่าทำให้ตัวเองน่าอับอาย มู่ชิงอีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
คนอย่างมู่อวิ๋นหรงนี่โง่งมยิ่งนัก ช่างต่างกับมู่เฟยหลวนที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาด ในตอนที่อนุซุนให้กำเนิดบุตรทั้งสามนั้น นางได้มอบมันสมองแก่มู่เฟยหลวนเพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ
มู่ชิงอี! มู่อวิ๋นหรงกรีดร้อง
พวกเจ้า พาคุณหนูสามกลับไป! มู่ชิงอีเหลือบมองบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังมู่อวิ๋นหรงแล้วสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ เดิมทีบ่าวรับใช้ของมู่อวิ๋นหรงล้วนไม่เห็นมู่ชิงอีที่เป็นบุตรีของซู่เฉิงโหวฮูหยินอยู่ในสายตา แต่ในยามนี้ที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบของมู่ชิงอี ร่างกายของพวกนางก็พลันนิ่งแข็ง รีบเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของมู่อวิ๋นหรงอย่างกล้ำกลืนฝืนทน