หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 6 การโต้กลับของสะใภ้ซุน
มู่ชิงอีหลุบตาลง พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ตอบกลับ “เจ้าค่ะ ลูกขอบพระคุณในความห่วงใยของท่านพ่อ” มู่ชิงอีเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าความพอดี การที่ตนตบมู่อวิ๋นหรงไปฉาดเดียวนั้นกลับทำให้มู่ฉังหมิงลงโทษนางด้วยการให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนได้ หากค่อยๆ บีบบังคับก็ยิ่งง่ายต่อการทำให้มู่ฉังหมิงไม่พอใจนาง
เห็นท่าทีของมู่ชิงอีที่รู้ว่าจะไปต่อหรือล่าถอยเช่นนี้ มู่ฉังหมิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มองไปที่มู่อวิ๋นหรงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สองสามวันต่อจากนี้ เจ้าจงทบทวนตัวเองให้ดี ต่อไปนี้หากข้าได้ยินว่าเจ้าไม่เคารพต่อท่านแม่ใหญ่อีก เจ้าจะไม่ได้คุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนแค่สามวันแล้วนะ”
มู่อวิ๋นหรงมีท่าทีไม่พอใจต้องการจะโต้แย้งกลับ สะใภ้ซุนจึงรีบหันไปหานางพร้อมกับขยิบตาให้มู่อวิ๋นหรงที่กำลังขบมุมปากตัวเองไปมา สายตาจับจ้องไปที่มู่ชิงอีอย่างเคียดแค้น แล้วจึงตอบรับด้วยเสียงต่ำแทน
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ฉังหมิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “รู้ก็ดีแล้ว หลิงเอ๋อร์ เชินเอ๋อร์ ไปกันเถิด”
“ขอรับท่านพ่อ” มู่หลิงและมู่เชินตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง เดินทางกลับดีๆ นะเจ้าคะ” มู่ชิงอีทำความเคารพด้วยท่าทางที่อ่อนช้อย พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ มู่เชินที่เดินรั้งท้ายหันกลับมามองหญิงสาวในชุดขาวธรรมดาที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล ด้วยความที่นางก้มหน้าจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าบนใบหน้าของนางได้ แต่การยืนทำความเคารพอย่างนอบน้อมแบบนั้น ทำให้รู้สึกถึงท่าทางที่ทั้งสง่างามและน่างดงามจนยากจะบรรยายขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ดูต่างจากปกติไปมากโข มู่เชินได้แต่เลิกคิ้วสงสัย ก่อนที่จะหันกลับไปเหมือนเดิม
รอจนขบวนคนของมู่ฉังหมิงห่างออกไป มู่ชิงอีจึงได้หมุนตัวกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “อนุซุน ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
สะใภ้ซุนกัดฟันแน่น “คุณหนูสี่ เดินทางกลับดีๆ เจ้าค่ะ!” ตั้งแต่ที่ฮูหยินคนเก่าของจวนซู่เฉิงโหวได้จากโลกนี้ไป นางก็ไม่เคยได้ยินมู่ชิงอีเรียกนางว่าอนุซุนเช่นนี้อีกเลย วันนี้มู่ชิงอีเหมือนกลับมาตบหน้านางอีกครั้ง จะให้นางไม่รู้สึกโกรธได้อย่างไร
มู่ชิงอีไม่คิดใส่ใจความรู้สึกของอนุซุน หมุนตัวกลับไปหาจูเอ๋อร์และเดินจากไปด้วยท่าทางสบายๆ ตนเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว เป็นถึงบุตรสาวของฉินกั๋วฮูหยิน ในจวนนี้นอกจากมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและซู่เฉิงโหวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก และ…ถึงแม้ว่าจะเป็นสองคนนั้น มันก็แค่ชั่วคราว
“ท่านแม่! ท่านดู ท่านดูนังสารเลวนั่น” มองตามหลังมู่ชิงอีที่ไกลออกไป มู่อวิ๋นหรงร้องโวยวายขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด “นังสารเลวนั่นกล้าเย้ยหยันข้าถึงเพียงนี้ ท่านพ่อทำไมยังช่วยมันอีก ซ้ำยังลงโทษให้ข้าคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชน ท่านแม่ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม! ข้าจะเข้าวังไปพบพี่หญิงใหญ่ ให้พี่หญิงใหญ่ตัดสิน”
“พอเถิด!” สะใภ้ซุนขมวดคิ้วมุ่น มองไปยังบุตรสาวของตนด้วยความไม่พอใจ “เจ้าดูสิ ว่าเจ้าเหมือนหรือไม่เหมือนบุตรสาวของจวนนี้ อย่าลืมว่าอีกไม่นานเจ้าก็ต้องแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องแล้ว ตำแหน่งพระชายาของหนิงอ๋องของเจ้า เจ้าไม่รู้หรือว่าได้มันมาได้อย่างไร ก่อนที่เจ้าจะแต่งออกไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปหาเรื่องมู่ชิงอีอีก หากเจ้าเข้าวังไปตอนนี้ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็ไม่สามารถเข้าข้างเจ้าได้” เดิมทีผู้ที่ต้องหมั้นหมายกับหนิงอ๋องคือมู่ชิงอี แต่เนื่องจากนิสัยขี้ขลาดและสภาพร่างกายที่อ่อนแอปวกเปียกจึงไม่สามารถทำหน้าที่พระชายาของหนิงอ๋องได้ จึงถูกจวนซู่เฉิงโหวสับเปลี่ยนตัวเป็นมู่อวิ๋นหรงแทน แต่ยังไม่ทันได้ตกแต่งก็มาทำตัวกดขี่อดีตคู่หมั้นเสียแล้ว หากเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงไม่ใช่เรื่องดีต่อชื่อเสียงมู่อวิ๋นหรงเป็นแน่
มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้วมุ่น ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “เป็นเพราะนาง นางเอ่ยแช่งหนิงอ๋อง… ข้าถึงได้… “
“เอาล่ะ ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ก่อน” สะใภ้ซุนขมวดคิ้วตอบ “หนิงอ๋อง ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เจ้าเป็นคู่หมั้นควรจะไปแสดงตัวบ้าง อย่ามัวมาพัวพันกับเรื่องเล็กๆ พวกนี้เลย รอให้เจ้าได้เป็นพระชายาของหนิงอ๋องเมื่อใด เจ้าคอยดูว่ามันจะมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวเย่อหยิ่งใส่เจ้า”
ฟังคำกล่าวของมารดาแล้ว สีหน้าของมู่อวิ๋นหรงค่อยดูดีขึ้นมาบ้าง หนิงอ๋องรูปลักษณ์งดงามหาที่เปรียบไม่ได้ และยังเป็นหนึ่งในพระโอรสคนโปรดของฮ่องเต้ เมื่อตนได้เป็นพระชายาหนิงแล้ว หากมู่ชิงอีนังสารเลวนั่นยังไม่ยอมเชื่อฟังแล้วล่ะก็ ตนต้องจับคู่ชายที่สุดแสนจะอัปลักษณ์ให้นางเป็นแน่
“ท่านแม่ มู่ชิงอีเหยียดหยามท่านถึงเพียงนี้ ท่านไม่รู้สึกเคียดแค้นมันบ้างหรือเจ้าคะ” มู่อวิ๋นหรงกลอกตาไปมา เขย่าแขนสะใภ้ซุนพลางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
สะใภ้ซุนกัดฟันแน่น ตอบเสียงทุ้มต่ำ “แล้วข้าจะทำอย่างไรได้บ้างเล่า นางเป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอก ส่วนข้าแม้แต่ยศสักยศยังไม่มี! “
ริมฝีปากมู่อวิ๋นหรงปรากฏรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย รับรู้ว่าในใจของมารดาตนนั้นก็เกลียดชังมู่ชิงอีอยู่ไม่น้อย ก็ยิ่งจับแขนสะใภ้ซุนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนกว่าเดิม “ท่านแม่ รอข้าได้เป็นพระชายาหนิงเสียก่อน ข้าจะขอให้หนิงอ๋องทูลฝ่าบาทให้ทรงแต่งตั้งยศให้ท่านแม่ “
สะใภ้ซุนมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่ “เด็กดี แม่รู้ว่าเจ้ากตัญญูที่สุด”
เมื่อกลับไปยังบริเวณเขตที่พักของตัวเอง มู่ชิงอีถึงได้มีเวลาสังเกตเรือนเล็กๆ หลังนี้ หากจะบอกว่ามู่ฉังหมิงและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่ามู่ชิงอีตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ก็เกรงว่าเด็กสามขวบจะไม่เชื่อ ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก นางก็เคยมาที่จวนซู่เฉิงโหวอยู่หลายครา นางยังคงจำได้ชัดเจน ในตอนนั้น ที่ตั้งของเรือนหลังเล็กๆ อยู่ในมุมที่ลึกและเปลี่ยวที่สุดของจวนซู่เฉิงโหวเช่นนี้ เดิมทีมันควรจะเป็นที่อยู่ของอนุภรรยาโดยไม่ชอบนั่น
มู่ฉังหมิงกล้าดีอย่างไรมาทำให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางต้องเสียเกียรติ! มู่ชิงอีกำมือแน่นจนกระทั่งรู้สึกเจ็บแสบกลางฝ่ามือถึงได้สติคืนกลับมา
เหลือบสายตามองไปด้านข้าง ท่าทีอึกอักของจูเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างตนนั้น มู่ชิงอีจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ “มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเถิด”
จูเอ๋อร์มองนางด้วยสายตาเป็นกังวล “คุณหนูเจ้าคะ…คุณหนูเหมือนต่างออกไปจากเดิม” จูเอ๋อร์รู้สึกได้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมจริงๆ เมื่อก่อนคุณหนูไม่ได้ช่างพูดช่างเจรจาขนาดนี้ จะทำอะไรก็ชอบคิดเงียบๆ คนเดียว ยิ่งในตอนที่คุณหนูสามมารังแกคุณหนู คุณหนูก็ไม่กล้าแม้แต่จะโต้กลับ ที่จริงคุณหนูในวันนี้ก็ไม่ได้ช่างพูดอะไรนัก ทว่าคำพูดแค่คำสองคำกลับกดคุณหนูสามกับคุณชายรองจนพูดไม่ออก และยังทำให้นายท่านโหวลงโทษคุณหนูสามได้อีก เมื่อก่อนคุณหนูงดงามมาก แต่ตอนนี้คุณหนูนั้นยิ่งดูงดงามเพิ่มขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์เหมือนเดิม แต่เหมือนกับว่าคนผู้นี้มีรัศมีจางๆ ล้อมรอบ ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
ดวงตาของมู่ชิงอีกระตุกยิ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ “แล้วตอนนี้ไม่ดีหรือ”
“ดีเจ้าค่ะ!” จูเอ๋อร์ตอบขึ้นโดยเร็ว “หากคุณหนูเป็นเช่นนี้ตลอดไป ก็จะไม่ถูกพวกคุณหนูสามรังแกได้อีกเจ้าค่ะ” แม้ว่านางจะรับใช้คุณหนูมาได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็ได้ยินคนเก่าในจวนพูดกันว่าเมื่อก่อนลักษณะนิสัยของคุณหนูไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่ตระกูลกู้ถูกยึดทรัพย์สินและฮูหยินได้จากไป จากนั้นคุณหนูก็ได้กลายเป็นคนเงียบขรึมไปเลย
มู่ชิงอียกยิ้มจางๆ “ข้าก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ดีแล้ว ตอนนี้แม้เพียงใครสักคน…ก็ไม่อยู่แล้ว หากข้ายังทำตัวไร้ค่าเฉกเช่นเมื่อก่อน ต่อไปข้าจะไปพบหน้าพวกญาติฝั่งท่านแม่ได้อย่างไร “
จูเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ ถึงแม้ว่าคุณหนูจะไม่เคยเอ่ยมันออกมา แต่นางก็เข้าใจแล้วว่าคุณหนูต้องการพูดอะไร สิ่งที่อยู่ในใจของคุณหนู คนตระกูลมู่พวกนี้…ก็ไม่นับว่าเป็นญาติมิตรของคุณหนูหรอกหรือ พอดูจวนเรียบง่ายหลังนี้แล้ว ความสงสารเวทนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจูเอ๋อร์ คนตระกูลมู่พวกนี้ ตั้งแต่ที่ฮูหยินจากไปก็ไม่มีใครคิดว่าคุณหนูเป็นคนในครอบครัวด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ท่านพี่หญิงของคุณหนูก็ไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นคุณหนูควรที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้แล้ว
“จูเอ๋อร์จะดูแลคุณหนูตลอดไปเจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์พูดอย่างหนักแน่น เดิมทีนางเป็นเพียงสาวรับใช้ฐานะต่ำต้อยในจวนซู่เฉิงโหวเท่านั้น ครั้งหนึ่งไม่ทันระวังไปล่วงเกินอนุภรรยาคนโปรดของนายท่านโหวเข้า ถ้าไม่ได้คุณหนูที่บังเอิญเดินผ่านมาช่วยไว้พอดี เกรงว่านางคงจะถูกตีตายไปตั้งนานแล้ว
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา “เข้าไปเถิด ข้ามีเรื่องบางเรื่องอยากถามเจ้า”
เข้าไปข้างในโถง มู่ชิงอีกวาดตามองไปรอบๆ ข้างในห้องเรียกได้ว่าเป็นการตกแต่งที่เรียบง่าย จึงได้แต่ยิ้มเยาะในใจ สถานที่แห่งนี้ราวกับจวนซู่เฉิงโหวไม่อยากสร้างมันขึ้นมา ห้องแบบนี้อย่าบอกเลยว่าคือจวนบุตรีของภรรยาเอก เทียบกับห้องแต่งตัวของบุตรสาวชาวบ้านยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็ถูก…ทางฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหวก็ถูกตระกูลกู้ทำให้ลำบาก และก็เป็นเพราะว่าบุตรสาวทั้งสองคนได้จากไปเร็วนักจึงได้ตกต่ำลง ถึงแม้ว่าฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหวจะถูกฮ่องเต้แต่งตั้งยศให้เป็นฉินกั๋วฮูหยิน แต่ว่าก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว บุตรสาวคนแรกของจวนซู่เฉิงโหวก็มีตำแหน่งเป็นถึงโหรวเฟยในวังหลวง ส่วนอีกคนคือฮูหยินของรองเสนาบดีกรมคลัง อีกคนก็กำลังจะกลายเป็นพระชายาของหนิงอ๋องแล้ว และจวนซู่เฉิงโหวยังมีญาติฝ่ายมารดาที่มีตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องที่ปกครองผิงหนาน ปกติพื้นเพครอบครัวที่มีภูมิหลังเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมรับเด็กสาวกำพร้าที่มารดาผู้ให้กำเนิดจากไปก่อนเวลาอันควร หากไม่ใช่เพราะว่ายังมีตำแหน่งเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกกับชื่อเสียงจากยศที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้เป็นบุตรสาวของฉินกั๋วฮูหยิน อำนาจของมู่ชิงอีก็คงจะไม่รู้ว่าถูกเอาไปยัดไว้ที่ไหน