หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 109 คุณชายอู๋จี้ (3)
ภายในไม่กี่วันก็มีเทียบเชิญถูกส่งมาจากจวนจื้ออ๋อง จวนจื้ออ๋องได้จัดงานฉลองวันเกิดให้บุตรชายของตน จึงได้เชิญชวนคุณชายจังชิงเพื่อเข้าร่วมงาน มู่ชิงอีถือเทียบเชิญด้วยรอยยิ้มจางๆ นางรู้อยู่แล้วว่านี่ถือเป็นคำสั่งจากจื้ออ๋อง แม้ว่าจื้ออ๋องเหมือนจะมีปฏิภาณไหวพริบ แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานความปรารถนาที่จะเอาชนะมู่หรงอวี้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการอภิเษกสมรสที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่มู่หรงอวี้จะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อมู่หรงเสีย จากการลดลำดับขั้นของผิงหนานจวิ้นจู่อันสูงส่งและการพระราชทานหญิงสาวจากตระกูลขุนนางที่องค์ชายทุกพระองค์ต้องการครอบครอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระโอรสของฮ่องเต้จะเกิดความอิจฉาริษยาต่อมู่หรงอวี้ ต้องรู้ก่อนว่า พระชายาของอดีตองค์รัชทายาทมู่หรงซีก็ยังเป็นเพียงแค่บุตรีของขุนนางฝ่ายพิธีการ และตระกูลของคู่หมั้นคู่หมายขององค์ชายแปดก็ยังเป็นแค่ขุนนางขั้นสาม และแม้ว่าพระชายาขององค์ชายพระองค์อื่นจะมีข้อดีของตัวเอง แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือภูมิหลังทางตระกูลของพระชายาเหล่านี้ไม่ได้ทรงอำนาจ ส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลที่เพิ่งก่อตั้งหรือเสื่อมอำนาจลง จากสิ่งเหล่านี้ เห็นได้ว่าฮ่องเต้แคว้นหวานั้นเกรงกลัวการเติบโตของพระโอรสของพระองค์เอง
มู่ชิงอีลูบเทียบเชิญในมืออย่างสบายใจ จากนั้นจึงหันหลังกลับไปสั่งพ่อบ้านของจวนให้ไปเตรียมของกำนัลอันล้ำค่า ในเมื่อต้องแกล้งทำเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจวนจื้ออ๋อง อย่างน้อยก็ต้องแสดงความจริงใจให้เพียงพอถึงจะถูก
เดิมทีนั้นพึ่งผ่านวันงานฉลองคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวามาไม่กี่วัน จึงไม่ควรมีผู้ใดฉลองวันเกิดในช่วงนี้ แต่บางทีนี่อาจเป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นหวามีความสุขจากการได้รับจิ่วจ่วนหลิงหลง พระองค์จึงออกราชกฤษฎีกามอบนามมู่หรงเซียวให้กับซื่อจื่อ[1]ของจวนจื้ออ๋อง อีกทั้งยังให้จวนจื้ออ๋องจัดงานฉลองให้แก่ซื่อจื่อน้อย จึงเป็นผลให้ผู้คนในเมืองหลวงที่สับสนจากเรื่องการอภิเษกสมรสระหว่างกงอ๋องและตระกูลหลี่ยิ่งงงงวยมากยิ่งขึ้น สับสนกันอยู่พักหนึ่งว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานกงอ๋องหรือจื้ออ๋องกันแน่ ล้วนจับตารอดูกันต่อไป
และด้วยการพระราชทานนามรวมถึงพระประสงค์ของฮ่องเต้เอง มู่หรงเสียจึงต้องจัดงานให้ซื่อจื่อของตนอย่างโอ่อ่า แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรามากนักเนื่องจากเวลาอันจำกัดและเพิ่งจะผ่านงานฉลองวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวามา แต่มันก็ถูกจัดให้คู่ควรแก่ความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ ยามที่เทียบเชิญถูกส่งออกไป มู่หรงเสียก็ได้ให้คนส่งเทียบเชิญหนึ่งฉบับให้กับคุณชายจังแห่งอิ๋งโจวที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันแค่เพียงครั้งเดียวเช่นกัน
มู่ชิงอีมาถึงไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อนางมาถึงตรงประตูทางเข้าจวนก็พบแขกเหรื่อที่ถูกเชิญมาอยู่ในจวนจื้ออ๋องแล้ว ตัวตนของนางเมื่ออยู่ท่ามกลางขุนนางระดับสูงอันมั่งคั่งและยังมีผู้คนมากมายเช่นนี้ จึงย่อมไม่โดดเด่นเป็นธรรมดา เมื่อไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงเดินสำรวจรอบๆ จวนจื้ออ๋อง
จวนแห่งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่โต ส่วนลานด้านหน้าและสวนที่เชื่อมต่อกับท้ายจวนกลายเป็นที่จัดงานฉลอง ยามที่มู่ชิงอีเดินเข้ามา ในสวนนั้นเต็มไปด้วยเสียงดังเอะอะ ในศาลากลางสวนมีวงขับร้องประสานเสียงอยู่ ซึ่งที่นั่นมีพระชายาฝูและพระชายาผิงที่ได้รับเชิญจากจื้ออ๋องและพระชายาจื้อกำลังสนทนากับบรรดาหญิงสาวเคล้าเสียงดนตรี หญิงสาวส่วนมากนั้นไม่ได้สนใจกับการแสดงของวงประสานเสียงนัก ต่างก็เดินเล่นอย่างสุขสำราญกันในสวนแห่งนี้ อีกด้านหนึ่งบรรดาองค์ชาย คุณชาย ขุนนางผู้มีความสามารถได้นั่งอยู่ในโถงเปิดแห่งหนึ่ง ดื่มชา สนทนา เล่นหมากรุก และวาดภาพ มีเพียงคนไม่กี่คนที่ต้องการเดินเล่น พวกเขานั้นเพียงแค่เดินไปรอบๆ สวนดอกไม้อย่างธรรมดาเท่านั้น และไม่ได้พยายามทำให้เหล่าหญิงสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งหวาดกลัว
โดยปกติแล้วมู่ชิงอีจะอยู่ได้เฉพาะกับแขกที่เป็นบุรุษเท่านั้น แต่นางไม่ได้สนใจที่จะสนทนากับเหล่าขุนนางที่มีความสามารถเหล่านี้ นางเพียงแค่เลือกมุมที่ดูสงบแล้วนั่งดื่มชาเพียงเท่านั้น
ขณะที่กำลังดื่มชา มู่ชิงอีได้มองไปยังอีกด้านหนึ่งของสวน หญิงสาวในอาภรณ์สีสันสดใสได้ร้องเพลงและหัวเราะสนุกสนานกันเป็นกลุ่มอย่างไร้ความกังวล
ครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ในยามนี้นางเพียงได้แต่นั่งอยู่ท่ามกลางบุรุษ ฟังพวกเขาโอ้อวดความสามารถ อำนาจ และตำแหน่งของตนกับผู้อื่น เวลาแห่งความสุขและไร้ซึ่งความกังวลในชีวิตของนางนั้นได้ละลายหายสิ้นไปหมดแล้ว
“นี่ ได้ยินมาว่าวันนี้คุณหนูจากตระกูลหลี่ผู้นั้นก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน” มีคนกระซิบขึ้นอย่างแผ่วเบาจากโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล คนที่นั่งกับเขากล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ยังได้ยินมาอีกว่าหญิงสาวจากตระกูลหลี่นั้นมาที่นี่ตั้งแต่หัวค่ำด้วย ผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำฟังวงประสานเสียงกับพระชายาฝูและพระชายาผิงไม่ใช่คุณหนูสามตระกูลหลี่หรอกหรือ”
“วันนี้กงอ๋องก็คงต้องมาด้วยเช่นกัน” มีคนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข “นั่น…กงอ๋อง เช่นนั้นพระชายารองก็คงมาด้วยเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้เป็นพระชายาเอกแล้ว ก็ยังมียศศักดิ์เป็นถึงจวิ้นจู่จากจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องอยู่ดี”
คนข้างๆ อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็คงจะมีการแสดงดีๆ ให้ชมกันแล้ว” อดีตพระชายาเอกและว่าที่พระชายาเอกย่อมเป็นการแสดงที่ดีอย่างแน่นอน ผิงหนานจวิ้นจู่ย่อมไม่ใช่ตะเกียงพร่องน้ำมัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ บรรดาพระชายาเหล่านี้ในเมืองหลวงถือว่ามีฐานะสูงส่งและแข็งแกร่งไม่น้อย ผู้ใดก็ตามที่ทำให้พวกนางขุ่นเคืองจะต้องเร่งรีบหาวิธีแก้ไข
คนอื่นๆ ต่างก็ส่งเสียงเย้ยหยันว่า “ตำแหน่งผิงหนานจวิ้นจู่แล้วเป็นอย่างไร จากตำแหน่งพระชายาเอกมาสู่ตำแหน่งพระชายารองมันช่างรวดเร็วยิ่งนัก เจ้าว่าคุณหนูสามตระกูลหลี่จะถูกยุแหย่หรือไม่” หากนางเป็นผู้ที่อ่อนแอจริงๆ ก็คงไม่สามารถเป็นถึงสตรีที่ไทเฮาทรงโปรดปรานได้ แต่ไหนแต่ไรมาไทเฮานั้นไม่เคยโปรดปรานหญิงสาวที่ดูบอบบางเย้ายวนพวกนั้น เห็นได้ชัดว่าคุณหนูตระกูลหลี่นั้นต้องเป็นหญิงสาวที่เยี่ยมยอดไม่น้อย “กุญแจสำคัญอยู่ที่ความคิดของกงอ๋อง ผู้ใดก็ตามที่กงอ๋องเลือก ผู้นั้นก็จะได้ตำแหน่งสูงสุด”
ทุกคนถกเถียงกันอย่างมีเหตุผล แม้แต่มู่ชิงอีก็ยังคล้อยตาม หญิงสาวสองคนที่มีอำนาจเท่าเทียมกันมาทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่อสู้แย่งชิงเพื่อความคิดของบุรุษหนุ่ม หลี่จืออี๋นั้นอายุน้อยกว่ากู้อวิ๋นเกอสองปี พวกนางเคยพบกันมาหลายครา แม้พึ่งจะอายุสิบเอ็ดสิบสองปีก็เป็นคนที่มีน้ำใจไมตรี อีกทั้งยังมีฐานะที่ดี ถือว่าเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้ มู่ชิงอีแอบเสียใจที่หญิงสาวผู้นี้ต้องอภิเษกสมรสกับมู่หรงอวี้
ช่างน่าเสียดายนางเสียจริง
“กงอ๋องเสด็จ!” ด้วยเสียงดังกึกก้อง ทันใดนั้นห้องโถงแห่งนี้ก็พลันเงียบลง หลายคนที่สนทนาอย่างกระตือรือร้นเมื่อครู่ ในยามนี้ล้วนปิดปากเงียบอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนท่าทางเป็นเคารพนอบน้อม แต่ก็แอบพึมพำในใจว่า เหตุใดกงอ๋องถึงมาที่นี่ แน่นอนว่าที่สวนแห่งนี้ไม่ใช่ที่เดียวในจวนจื้ออ๋องที่ให้ความบันเทิงแก่แขก ผู้ที่มีสถานะสูงส่งเฉกเช่นท่านอ๋องและองค์ชายอื่นๆ ย่อมมีสถานที่ส่วนตัวที่จื้ออ๋องและพระชายาจื้อได้จัดเตรียมไว้ให้ คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นเพียงขุนนางหรือพ่อค้าวาณิชผู้มั่งคั่งที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการเฉกเช่นขุนนางมีชื่อเสียงเหล่านั้น
มู่หรงอวี้นั้นสวมเสื้อคลุมขององค์ชาย ท่าทางของเขาดูสงบและมั่นคง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนแปลกใจก็คือจูหมิงเยียนที่ยังคงสวมอาภรณ์สีชาดที่แสดงถึงตำแหน่งพระชายาเดินตามกงอ๋องเข้ามา มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า ราวกับว่าไม่ได้เดือดร้อนกับข่าวลือในช่วงหลายวันมานี้
“คำนับท่านอ๋อง” ทุกคนรีบลุกขึ้นทำความเคารพ “คำนับพระชายารอง”
จูหมิงเยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างมู่หรงอวี้ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มก็พลันชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักได้อย่างแท้จริงว่านางไม่ใช่พระชายาเอกอีกต่อไปแล้ว
พระชายาเอกและพระชายารอง ความแตกต่างนั้นมีแค่คำเพียงคำเดียว แต่คำคำเดียวนี้มีความหมายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่นางก็ยังคงต้องมา นางไม่สามารถหลบหน้าผู้คนได้ตลอดไป และไม่สามารถที่จะไม่พบเจอหลี่จื้ออี๋ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นหากตนไม่มา คนภายนอกก็จะคิดว่านางยอมจำนนต่อหลี่จื้ออี๋ไปแล้ว
“ไม่ต้องมากพิธี” มู่หรงอวี้พยักหน้ารับพลางพูดอย่างอบอุ่น อารมณ์แจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด
————————
[1]ซื่อจื่อ ใช้เรียกบุตรชายที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา