หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 112 คนใจแข็งดุจเหล็ก เรื่องสนุกยังมีต่อ (2)
มู่ชิงอีลูบปลายจมูกเบาๆ ตัดสินใจตามไปดูเรื่องสนุก มีสามสาวองค์หญิงจวิ้นจู่อยู่ที่นี่ด้วย แม้มู่หรงอวี้อยากดึงเว่ยอู๋จี้เข้าพวกด้วยแค่ไหนก็คงต้องกลืนคำพูดนั้นลงคอไป
“คุณชายจัง ทางนั้นไม่มีที่นั่งแล้ว เชิญนั่งตรงนี้เถิด” มู่ชิงอีที่เพิ่งขยับตัวยังไม่ทันลุกขึ้น เว่ยอู๋จี้ที่อยู่ข้างๆ ก็หันหน้ามาเอ่ยพลางอมยิ้ม ทันใดนั้นมู่ชิงอีก็สัมผัสได้ถึงแววตาใคร่รู้หลายคู่พุ่งมาที่ตน มู่ชิงอีมองเว่ยอู๋จี้ด้วยใบหน้าแข็งทื่อ เว่ยอู๋จี้กลับไม่สังเกตเลยสักนิดว่าตนนำพาความยากลำบากอะไรมาให้คนอื่น ยิ้มพลางเลิกคิ้วกล่าว “หรือว่าคุณชายจังจะมานั่งร่วมดื่มกับข้าสักแก้วเล่า”
“ไม่ดีกว่า ข้าไม่ดื่มสุรา นั่งตรงนี้ก็ได้แล้ว” มู่ชิงอีกล่าวอย่างไร้อารมณ์
บทสนทนาไม่กี่ประโยคของเว่ยอู๋จี้และมู่ชิงจี้ดูปกติอย่างมาก แม้กระทั่งมู่หรงอวี้ที่ขี้สงสัยมาตลอดยังไม่คิดอะไรมาก แต่องค์หญิงหมิงฮุ่ยกลับไม่ชอบใจนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกเว่ยอู๋จี้เมินเฉยใส่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยอู๋จี้ไม่สนใจนางเพราะคนอื่น ถึงแม้อีกฝ่ายดูแล้วจะเป็นแค่เด็กอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ถ้าสตรีคิดจะหาเรื่องก็คงไม่ไตร่ตรองว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่
“เจ้าเป็นใครกัน” องค์หญิงหมิงฮุ่ยเดินก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวแล้วเชิดปลายคางวางมาดจับจ้องมู่ชิงอี เหตุที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยพุ่งไปหามู่ชิงอีก่อนไม่ใช่เพราะละทิ้งความพยายามแต่เพราะนางรู้แต่แรกแล้วว่าถ้านางโพล่งเข้าไปสนทนากับเว่ยอู๋จี้ เขาก็คงไม่สนใจนาง ดังนั้นเลยต้องเริ่มจากก่อการต่อต้านมู่ชิงอีที่ดูเหมือนเว่ยอู๋จี้จะรู้จักก่อน เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เว่ยอู๋จี้ไม่เพิกเฉยใส่
ด้วยเหตุนี้มู่ชิงอีกลับทำได้แค่ซัดเว่ยอู๋จี้แรงๆ ในใจจนน่วมไปยกหนึ่ง ทว่าใบหน้ากลับยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนใสซื่อเอ่ย “ข้ามีนามว่าจังชิง คารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
“จังชิงไหนกันข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ไปทางโน้นซะ!” องค์หญิงหมิงฮุ่ยชี้ไปยังจุดที่นั่งกันเบียดเสียดแน่นขนัดอีกฝั่งด้วยท่าทีทะนงตนพลางกล่าวอย่างรังเกียจ มู่ชิงอีไร้คำตอบโต้
องค์หญิงห้าผู้นี้ทำเอาชื่อที่ไพเราะอย่างหมิงฮุ่ยดูไร้ประโยชน์ไปเลย ช่างเป็นคนโง่ที่ชวนให้คนอดจับจ้องนางไม่ได้เสียจริง นิสัยที่หยิ่งผยองและโง่เง่าแบบนี้ เหตุใดถึงได้ทานอาหารในวังจนโตมาได้ขนาดนี้กันนะ หรือว่าจะอาศัยเป็นแค่คนโปรดของฮ่องเต้แคว้นหวาจริงๆ นางไม่เห็นหรือว่าแม้แต่หย่งจยาจวิ้นจู่ที่อยู่ข้างนางก็ยังอดเผยสีหน้าตกตะลึงไม่ได้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วเตรียมตัวหยัดกายขึ้นเดินไปฝั่งที่มีคนอยู่เยอะอย่างไม่ใส่ใจ
อย่างไรเสียนางเองก็ไม่ได้อยากนั่งดูองค์หญิงหมิงฮุ่ยแสดงละครจีบคุณชายเว่ยอย่างเงอะงะอยู่ตรงนี้หรอก
แต่เว่ยอู๋จี้นั้นไม่ได้ทำให้นางได้สมปรารถนาแต่อย่างใด เขาปรายตามององค์หญิงหมิงฮุ่ยแวบหนึ่งอย่างเย็นชาแล้วเอ่ย “คุณชายจังเป็นสหายของข้า ในเมื่อองค์หญิงห้าชอบโต๊ะตัวนั้น คุณชายจังเจ้ามานั่งนี่เถิด ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชาย เราต้องช่วยกันเติมเต็มความปรารถนาของผู้อื่นบ้างไม่ใช่หรือ”
ในใจของมู่ชิงอีก่นด่าเว่ยอู๋จี้ในใจไปร้อยรอบ
ลากคนที่ไม่รู้จักกันคนหนึ่งซวยไปด้วยโดยไร้เหตุไร้ผล สมควรแล้วที่เจ้าถูกหรงจิ่นเกลียดฝังใจ!
“ฮ่าๆ หนุ่มน้อยผู้นี้น่ารักน่าเอ็นดู แคว้นเป่ยฮั่นของเราไม่มีเด็กผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้เลย ไม่อย่างนั้นท่านพี่หมิงฮุ่ยกับองค์หญิงไหวหยางนั่งตรงนี้ ข้าคุยกับเจ้าหนูนี่เป็นอย่างไรเล่า” จู่ๆ หย่งจยาจวิ้นจู่ที่ยืนเล่นแส้อยู่ข้างๆ ก็เปิดปากเอ่ยพลางยิ้มร่า ขณะที่พูดก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่นสักนิดแล้วตรงเข้าไปนั่งลงตรงหน้าชิงมู่อี มู่ชิงอีหันไปยักคิ้วให้เว่ยอู๋จี้แล้วหันมาฉีกยิ้มสดใสให้หย่งจยาจวิ้นจู่ “ขอบคุณท่านพี่หญิงจวิ้นจู่ ท่านพี่หญิงจวิ้นจู่ช่างงดงามยิ่งนัก คลับคล้ายสาวงามของอิ๋งโจวเราอยู่หลายส่วน” อิ๋งโจวเป็นเกาะโดดเดี่ยวทางตอนใต้สุด อากาศแห้งแล้ง ประชาชนบนเกาะไม่ได้ถูกจำกัดเท่าคนราบลุ่มตอนกลาง อีกทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีก็เปิดกว้างอบอุ่นกว่า ดูองอาจผ่าเผยเหมือนคนทุ่งหญ้าซีเป่ยอยู่มาก
รอยยิ้มบนใบหน้าของหย่งจยาจวิ้นจู่กว้างขึ้นกว่าเดิมเอ่ยว่า “น้องชายช่างพูดเป็นยิ่งนัก วันหลังถ้ามีโอกาสข้าต้องไปเที่ยวที่อิ๋งโจวแน่นอน น้องชายมาเที่ยวเป่ยฮั่นเมื่อใด ก็อย่าลืมมาหาข้าล่ะ”
มู่ชิงอียิ้มรับ ช่างเหมือนกับเกอซูฮั่น หย่งจยาจวิ้นจู่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเกอซูฮั่นผู้นี้ก็เป็นเด็กสาวที่นิสัยร่าเริงเหมือนกันนี่เอง และเพราะเกอซูฮั่น มู่ชิงอีเลยรู้สึกดีกับนางจากเดิมมากกว่าสององค์หญิงนั่นอยู่บ้าง หลังจากคุยกันไปได้สองประโยคก็รู้สึกถูกคอ เพียงแต่หย่งจยาจวิ้นจู่ท่านนี้เรียกแต่น้องชายไม่ขาดปาก ความจริงหย่งจยาจวิ้นจู่กับมู่ชิงอีเกิดปีเดียวกัน ถ้านับตามอายุของกู้อวิ๋นเกอละก็ หย่งจยาจวิ้นจู่ยังเด็กกว่าสองปีด้วยซ้ำ เพียงแต่เทียบกับความตัวเล็กน่าเอ็นดูของเด็กสาวแคว้นหวาแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่ที่เพิ่งอายุสิบหกปีก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าจริงๆ
“ข้ามีนามว่าเกอซูปิง น้องชายเรียกข้าว่าพี่หญิงปิงก็ได้แล้ว เอาแต่เรียกว่าจวิ้นจู่ดูห่างเหินเชียว” หย่งจยาจวิ้นจู่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าถึงจะอายุยังน้อยแต่พูดจาขบขันนัก หน้าตาก็หล่อเหลาเลยบอกชื่อของตัวเองออกไปโต้งๆ
“ข้าน้อยมีนามว่าจังชิง พี่หญิงปิงเรียกแค่นามข้าก็พอ” ถึงจะรู้สึกละอายใจต่อหย่งจยาจวิ้นอยู่บ้าง แต่มู่ชิงอีก็ยังคงบอกชื่อเท็จไป
“น้องจัง” เกอซูปิงขยิบตาอมยิ้มกล่าว
ทั้งสองนั่งที่โต๊ะด้านข้างคุยกันอย่างออกรสราวกับสหายที่รู้จักกันมานาน ทว่าอีกโต๊ะที่นั่งอยู่ด้านหลังพวกเขากลับบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก องค์หญิงหมิงฮุ่ยทั้งโกรธเคืองหย่งจยาจวิ้นจู่ที่ทำตัวสนิทสนมกับเจ้าเด็กนั่นที่ตนเกลียด ส่วนอีกใจกลับวางใจที่หย่งจยาจวิ้นจู่เป็นฝ่ายถอยออกไปเอง ถ้าหย่งจยาจวิ้นจู่ต้องตาเว่ยอู๋จี้เหมือนกัน องค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่รู้ว่าตนจะมีสิทธิ์ชนะแค่ไหน
เว่ยอู๋จี้ร่ำสุราอย่างไม่สนใจพลางเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขาสองคนที่อยู่โต๊ะด้านข้าง ไม่รู้ทำไมเว่ยอู๋จี้ถึงรู้สึกว่าหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่เคยเจอเพียงหนเดียวเมื่อครานั้นน่าสนใจยิ่งนัก ครั้นได้ยินว่าสองคนนี้พูดคุยไปไม่กี่ประโยคก็เริ่มเรียกพี่เรียกน้องกันก็ยิ่งรู้สึกสนใจขึ้นไปอีก
เว่ยอู๋จี้ไม่ปริปากพูดสิ่งใด กระทั่งแม้แต่ความสนใจยังไม่เคยอยู่บนตัวคนเบื้องหน้าเลย บรรยากาศทางนี้ดูอึมครึมขึ้นมาชั่วขณะ มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วมององค์หญิงหมิงฮุ่ยแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหญิงห้า เหตุใดเจ้าถึงพาองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่มาที่นี่เล่า”
ที่นี่เป็นสถานที่รับแขกที่เป็นบุรุษ ในเวลาแบบนี้เป็นถึงองค์หญิงแต่ไม่ไปนั่งตรงจุดของสตรีกับเหล่าพระชายาทว่ากลับมานั่งอยู่กับพวกชายหนุ่ม แต่หากพูดออกมาคงไม่น่าฟังเท่าไรนัก
องค์หญิงหมิงฮุ่ยกลับไม่ใส่ใจเอาแต่จับจ้องเว่ยอู๋จี้แน่นิ่งเอ่ย “ได้ยินว่าคุณชายเว่ยมา ข้าถึงได้แวะมาเยี่ยมเยียน คุณชายเว่ย แยกย้ายกันไปครั้งก่อนยังสบายดีหรือไม่”
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วอย่างฉงน กวาดตามององค์หญิงหมิงฮุ่ยแล้วเอ่ย “ครั้งก่อน? เหมือนกระหม่อม…จะไม่เคยเจอองค์หญิงห้ามาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหมิงฮุ่ยสีหน้าแข็งค้างไปชั่วขณะ ขบริมฝีปากเบาๆ แล้วมองเว่ยอู๋จี้อย่างคับแค้นใจ “คุณชายจำไม่ได้แล้วหรือ…ในวังเมื่อปีก่อน…” รอยยิ้มของเว่ยอู๋จี้อ่อนโยนและมีมารยาท กระทั่งแววตาที่มองไปยังองค์หญิงหมิงฮุ่ยยังแฝงความรู้สึกผิด แต่คำพูดที่ออกมาไม่ได้รักษาน้ำใจกันเลย “ขออภัยด้วย กระหม่อมจำไม่ได้ว่าเคยเจอองค์หญิงมาก่อน”
สีหน้าของหมิงฮุ่ยยิ่งซีดลงกว่าเดิม
ความจริงเรื่องที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยชอบคุณชายเว่ยคนในเมืองหลวงรู้กันไม่น้อย ย้อนกลับไปเมื่อวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮาเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเว่ยอู๋จี้ก็อยู่เมืองหลวงเช่นกัน ถึงแม้ตอนนั้นเว่ยอู๋จี้จะไม่ได้มีอำนาจชื่อเสียงเหมือนวันนี้แต่กลับมีมาดของเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าอยู่รำไรแล้ว แน่นอนว่าเว่ยอู๋จี้ย่อมถูกเชิญเข้าวังมาร่วมอวยพรให้ไทเฮาด้วย ตอนนั้นองค์หญิงหมิงฮุ่ยเพิ่งอายุสิบห้าปี ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงปรารถนาอยากได้เว่ยอู๋จี้มาเป็นพระราชบุตรเขย สำหรับพ่อค้าคนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เว่ยอู๋จี้ถึงได้ปฏิเสธสมรสพระราชทานที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงมอบให้