หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 125 ความอึดอัดใจของมู่เชิน แอบฟังมุมกำแพง (1)
อู๋ซินติดตามมู่ชิงอีมาหลายวันนี้ก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งติดตามข้างกายมู่ชิงอีนานวันเข้าเขาก็ยิ่งตกตะลึงในสติปัญญาและแผนการของสาวน้อยที่ดูอ่อนแอผู้นี้อย่างอดไม่ได้ อู๋ซินเคยคิดว่าบนโลกนี้คนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดคงไม่มีใครเกินองค์ชายเก้าแล้ว แต่มู่ชิงอีกลับสูสีและไม่เป็นรองหรงจิ่นในทุกด้าน หลังจากมู่ชิงอีออกมาจากจวนจื้ออ๋องเมื่อคืน องค์ชายเก้าก็บอกเขาว่าหลังจากนี้ไปจะไม่เรียกเขาเข้าเฝ้าอีกและไม่ได้มีรับสั่งสิ่งใดด้วย เขาก็เข้าใจแล้วว่าการหยั่งเชิงขององค์ชายเก้าได้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ อีกอย่างสติปัญญาของคุณหนูตระกูลมู่เองก็ได้รับการยอมรับจากองค์ชายเก้าแล้ว องค์ชายเก้าคงยกเขาให้คุณหนูแล้วเพราะเมื่อคืนองค์ชายเก้าก็ไม่ได้เรียกตนให้ติดตามกลับไป นับแต่วันนี้อู๋ซินผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับองค์ชายเก้าและคนตระกูลเหมยอีก เขาเป็นเพียงองครักษ์ติดตามของคุณหนูตระกูลมู่ผู้นี้เท่านั้น
มู่ชิงอีย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอู๋ซินแต่นางไม่ได้ร้อนใจอะไร ความทุ่มเททั่วไปกับความทุ่มเทที่ไม่มีวันเปลี่ยน…มักมีความต่างกันอยู่
ณ ห้องหนังสือจวนซู่เฉิงโหว มู่ฉังหมิงมองสะใภ้ซุนและมู่อวิ๋นหรงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด จากนั้นก็เหลือบมองมู่หลิงที่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์และมู่เชินที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ซึ่งนั่งอยู่อีกฟากอย่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ มู่หลิงเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลายวันมานี้นับวันก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอวิ๋นหรงเจอเรื่องแบบนี้เข้า มู่หลิงคงกระวนกระวายใจไม่น้อย ถึงแม้บางครั้งจะดูหยาบกระด้างและไม่รู้จักหนักเบาไปบ้างแต่ถ้าเทียบกับท่าทีเมินเฉยในตอนนี้แล้ว เมื่อก่อนกลับทำให้รู้สึกถึงมิตรภาพที่แท้จริงมากกว่า
“พอแล้ว ยังไม่ทันเกิดเรื่องอันใดขึ้นเลยจะร้องไห้ทำไมกัน” มู่ฉังหมิงเอ่ยอย่างรำคาญใจ
สะใภ้ซุนปาดน้ำตาแล้วเอ่ยพร้อมน้ำตาไหลรินว่า “ยังไม่เกิดอะไรขึ้น หากต้องรอให้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็คงไม่ทันการแล้วกระมัง! ข้าได้ยินคนเขาพูดกันนานแล้วว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหนิงอ๋องยังไม่ฟื้นขึ้นมาคงช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้แล้ว พอถึงตอนนั้น…ถึงตอนนั้นจะให้หรงเอ๋อร์เป็นหญิงหม้ายเฝ้าเรือนไปทั้งชีวิตหรือ”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน!” มู่ฉังหมิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หนิงอ๋องเป็นคนดีเบื้องบนย่อมคุ้มครอง เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก” ครั้นพูดประโยคนี้ออกมาในใจของมู่ฉังหมิงก็นึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
ตนย่อมรู้อาการป่วยของหนิงอ๋องดีกว่าสะใภ้ซุนอยู่แล้วแต่จะทำอย่างไรได้ อย่าพูดแค่ว่ามู่หรงอานแค่เป็นลมสลบไปเลย ต่อให้ใกล้ตายจริงๆ ตนก็ไม่กล้าพูดเรื่องยกเลิกงานอภิเษกอย่างแน่นอน
มู่อวิ๋นหรงสติล่องลอยไปนานแล้ว
นางรักมู่หรงอานก็จริง แต่ก็ไม่ได้รักจนถึงขั้นรู้อยู่เต็มอกว่าเขาใกล้ตายแล้วยังรั้นจะแต่งงานแล้วยอมเป็นหม้ายเฝ้าเรือนในวันหน้า
เมื่อเห็นท่านแม่และท่านพ่อมีสีหน้ากลัดกลุ้มไม่หายก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
“ท่านพ่อ…ข้าไม่เอา…” มู่อวิ๋นหรงเอ่ยพลางสะอื้นไห้ “ฮือๆ…ท่านพ่อ ท่านพ่อช่วยหรงเอ๋อร์ทีเถิด หรงเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานกับหนิงอ๋องแล้ว ฮือๆ หรงเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานกับคนตาย!”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วเอ่ย “แต่งงานกับคนตายอะไรกัน คำพูดเช่นนี้จะพูดเหลวไหลได้หรือ”
มู่เชินขมวดคิ้วมองเหตุการณ์อลหม่านในห้องหนังสือแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านพ่อ ด้านนอกพากันเล่าลือว่าองค์ไทเฮาจะจัดงานอภิเษกให้หนิงอ๋องก่อนล่วงหน้าเพื่อจัดงานมงคลมาลบล้างเรื่องเลวร้ายให้หนิงอ๋อง”
มู่ฉังหมิงส่ายศีรษะ “จัดก่อนล่วงหน้าหรือ วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทก็เหลือแค่อีกหกวันแล้ว ต่อให้จัดก่อนล่วงหน้าแค่ไหนก็ต้องหลังวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท อีกอย่างงานอภิเษกใหญ่โตก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อย ต่อให้องค์ไทเฮาจะทรงปรารถนาเพียงใด…ก็ไม่ทันเวลาอยู่ดี”
ครั้นได้ฟังคำพูดของมู่ฉังหมิง มู่อวิ๋นหรงและสะใภ้ซุนก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ มู่เชินลอบแสยะยิ้มในใจทว่าใบหน้ากลับเรียบนิ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่หากเป็นการจัดงานเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้าย องค์ไทเฮาอาจจะทรงเสนอทุกอย่างให้จัดการอย่างเรียบง่ายก็ได้ ฝ่าบาททรงกตัญญูต่อองค์ไทเฮายิ่งนักคงไม่อาจปฏิเสธได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสะใภ้ซุนและมู่อวิ๋นหรงก็สีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วแน่นพลางคิดไตร่ตรอง
คิดจะขอยกเลิกงานอภิเษกกับมู่ฉังหมิง…ยอมรับว่าตนนั้นไม่มีความกล้าพอ หากเทียบกับว่าหนิงอ๋องตายจนอวิ๋นหรงต้องกลายเป็นหญิงหม้ายเฝ้าเรือน เช่นนั้นสู้จัดงานอภิเษกเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องไปเลยดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ยังมียศพระชายาหนิงอยู่ เพียงแต่วันหน้าอวิ๋นหรงจะตบแต่งออกเรือนอีกไม่ได้แล้ว แต่หากไม่ทันแต่งแล้วเจ้าบ่าวตายก่อน ในสายตาของคนนอกมู่อวิ๋นหรงคงต้องแบกรับชื่อเสียงที่เป็นตัวกาลกิณีของสามีทำนองนั้นไว้ ทั้งยังเป็นบุตรอนุอีก เกรงว่าคงหาคู่ครองที่ดีตบแต่งไม่ได้แล้ว เช่นนั้นสู้แต่งเข้าจวนหนิงอ๋องใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชีวิตยังดีเสียกว่า
มู่ฉังหมิงรู้สึกว่าตนไตร่ตรองเรื่องของบุตรสาวได้อย่างรอบคอบดีแล้ว ทว่าในสายตาของสองแม่ลูกสะใภ้ซุนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างสิ้นเชิง ในฐานะมารดา สะใภ้ซุนย่อมต้องรักบุตรสาวแท้ๆ อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะบอกว่ามียศเป็นถึงพระชายา แต่พระชายาที่มีสิทธิ์มีอำนาจและพระสวามียังอยู่ กับหญิงหม้ายที่นอกจากสถานะพระชายาแล้วกลับไม่มีอะไรสักอย่างนั้นช่างแตกต่างกันมากจริงๆ บุตรสาวตนเป็นถึงบุตรของซู่เฉิงโหวและน้องสาวของกุ้ยเฟย หน้าตาก็งดงาม ขอแค่หลบพ้นเรื่องหายนะนี้ได้แล้วจะยังกลุ้มใจกลัวหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้อีกหรือ ต่อให้ไม่ได้มียศมีเกียรติเป็นพระชายา แต่หากเข้าไปในวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์มีอิทธิพลก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
มู่อวิ๋นหรงหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม นางอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีเลย ยังอยากเฝ้ารอเติมเต็มความฝันวันข้างหน้าอยู่ ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าการเป็นหม้ายเฝ้าเรือนต้องทำอะไรบ้าง แต่นางเคยเห็นหญิงสาวอายุน้อยที่เป็นหม้ายเฝ้าเรือนมาก่อน ต่อให้มีสถานะสูงส่งแต่สตรีเหล่านั้นกลับมีสีหน้าซีดเซียวห่อเหี่ยวราวกับคนตายทั้งเป็น นางไม่อยากกลายเป็นแบบนั้นเลยสักนิด
สะใภ้ซุนมองมู่ฉังหมิงด้วยความกระวนกระวายใจเพราะกลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่นางไม่อยากฟัง ทว่ายิ่งมองสีหน้าของมู่ฉังหมิงในใจก็ยิ่งลังเล นางเข้าใจมู่ฉังหมิงมากพอ ดังนั้นจึงเดาออกอย่างง่ายดายว่าเขาจะตัดสินใจเช่นใด ความหวาดกลัวและอารมณ์โกรธเกลียดไหลทะลักเข้ามาในใจ สะใภ้ซุนแทบจะไม่ตรึกตรองใดๆ ด้วยซ้ำก็กรีดร้องโพล่งออกมาว่า “เดิมทีหนิงอ๋องหมั้นหมายไว้กับมู่ชิงอี! ถ้าจะจัดงานเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายจนเป็นหม้ายก็ให้นางเป็นคนไปสิ! ถึงอย่างไรเสียตอนนี้นางก็เสียโฉมแล้วคงไม่มีใครเอา!”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาคนในห้องหนังสือต่างก็ชะงักไป มู่ฉังหมิงเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ!” แต่มู่อวิ๋นหรงกลับผุดสีหน้าดีใจแต่งแต้มทั่วใบหน้า แม้แต่มู่หลิงที่สีหน้าเฉยเมยมาตลอดยังดวงตาเป็นประกาย มู่เชินที่นั่งข้างๆ ไม่ปริปากพูดใดๆ ทว่าสายตาที่มองสะใภ้ซุนกลับแปรเปลี่ยนดูแปลกไปมาก
เขาไม่ชอบสะใภ้ซุนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่เพียงเพราะระหว่างเขากับมู่หลิงได้กำหนดความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ต่อกัน แต่เพราะเห็นสะใภ้ซุนแล้วรู้สึกขัดตายิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ซุนจะไร้ยางอายถึงขั้นนี้ได้
หากเขาเกิดมาเป็นบ่าวรับใช้ต่ำต้อยคงหลงคิดว่าเหล่าองค์ชายตระกูลสูงส่งเป็นดั่งผักกาดขาวให้นางเลือกตามใจชอบได้ อยากได้ก็ต้องได้ ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอาอย่างนั้นหรือ ตอนแรกที่ฮูหยินใหญ่เพิ่งจากโลกนี้ไป นางก็ยุแยงให้ท่านพ่อและโหรวเฟยกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ให้เปลี่ยนตัวคู่หมั้นหมายจากน้องหญิงสี่เป็นมู่อวิ๋นหรง ตอนนี้พอเห็นว่าหนิงอ๋องไม่ไหวแล้วก็จะเอาน้องหญิงสี่มารับผิดชอบแทน ช่างไม่มีความละอายใจเลยสักนิด! หญิงประเภทนี้…ท่านพ่อของเขาโปรดปรานมาได้สิบกว่าปีเชียวหรือ
ณ ขณะนั้นความคิดของมู่เชินก็อดหันเหไปทางแปลกใจอย่างถึงที่สุดไม่ได้
ตกลงท่านพ่อของเขามีรสนิยมแบบไหนกันถึงได้เมินเฉยต่อฮูหยินใหญ่ผู้ใจกว้างอ่อนโยนและใบหน้าสะอาดหมดจดงดงาม ทั้งยังเกิดจากตระกูลผู้ดีอีกต่างหาก รวมถึงเมินเฉยต่อท่านแม่ผู้เป็นหญิงงามชดช้อยสงบเยือกเย็นแล้วดันไปต้องตาโดนใจสตรีเช่นนี้ ถ้าหากว่าหญิงผู้นี้เป็นสาวงามล่มเมืองจะไม่ว่าเลย แต่เห็นรูปโฉมแล้วก็มีเพียงความสวยธรรมดาทั่วไปเท่านั้น