หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 130 คลุ้มคลั่ง คิดระแวงไปเองทั้งที่ไม่มีอะไร (1)
จูหมิงเยียนที่เดิมทีเส้นประสาทในสมองใกล้ขาดสะบั้นเต็มที ยามนี้ก็ได้ขาดเสียงดัง ผึง ในทันทีทันใด ขึงตาจ้องพระชายาจื้อด้วยสีหน้าดุดันเตรียมจะพุ่งเข้าไปหาด้วยความเดือดดาลแต่กลับถูกบ่าวรับใช้ของจวนจื้ออ๋องข้างกายจับตัวไว้แน่น จูหมิงเยียนย่อมไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว นางดิ้นพล่านพลางสบถด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ที่ตกอับแล้วเท่านั้น ยังกล้ามาหยิ่งผยองต่อหน้าข้าอีกหรือ!”
หลังจากสิ้นสุดคำพูดนี้ ทุกคนในเหตุการณ์ก็สีหน้าเปลี่ยน ตระกูลของพระชายาจื้อไม่ใช่ตระกูลตกอับอะไรอยู่แล้ว แต่หากเทียบกับบรรดาพระชายาที่ไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งของเหล่าองค์ชาย เรียกได้ว่าสถานะของพระชายาจื้อนั้นอยู่รั้งท้าย เดิมทีต้นตระกูลบรรพบุรุษของพระชายาจื้อก็สูงส่งเช่นกัน ทว่าพอมาถึงรุ่นของพระชายาจื้อ บิดาของพระชายาจื้อกลับเป็นเพียงขุนนางระดับล่างในกระทรวงขุนนางเท่านั้น จนกระทั่งในจวนมีพระชายาโผล่มาถึงเพิ่งดีขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้บัดนี้บิดาของพระชายาจื้อจะถูกส่งตัวไปเป็นผู้ตรวจการต่างเมืองและถือว่าเป็นขุนนางชั้นสูงแล้ว แต่หากเทียบกับคนในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องแล้วก็ยังเทียบไม่ติดอยู่ดี
“สามหาวนัก!” พระชายาจื้อโมโหยิ่งนัก นางตบโต๊ะอย่างแรงยิ้มเย็นชา “จูหมิงเยียน แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า เกิดมาในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องนับว่ามีชีวิตที่ดี แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีบุญ หรือจะบอกว่า…เจ้าเกิดมาชะตาชีวิตดีไม่พอเลยรับบุญบารมีนี้ไม่ไหวกันแน่ แม้แต่ยศบรรดาศักดิ์ของบุตรีจวนจวิ้นอ๋องก็ยังไม่มี ถือได้ว่าเจ้าเป็นคนแรกกระมัง”
สตรีที่เกิดมาในจวนจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นบุตรของภรรยาเอกหรือบุตรของอนุภรรยาล้วนได้รับยศบรรดาศักดิ์ บุตรของภรรยาเอกย่อมมีสถานะเป็นจวิ้นจู่และอย่างน้อยเหล่าบุตรอนุก็ยังมีสถานะเป็นเซียงจวิ้น[1] โชคดีที่ตอนนี้ในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องไม่มีบุตรอนุคนอื่น มิเช่นนั้นบุตรภรรยาเอกอย่างจูหมิงเยียนก็คงสู้สถานะของบุตรอนุไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากพระชายาจื้อเห็นท่าทีเดือดดาลของจูหมิงเยียนก็ยิ้มเยาะกล่าว “แม้ข้าจะเกิดมาในตระกูลต้อยต่ำแต่ก็ยังรู้ขอบเขตสิ่งที่สตรีควรพึงกระทำและไม่เคยทำผิดอะไร และยิ่งไม่เคยถึงขั้นทำให้แม้แต่สามีของตัวเองนึกรังเกียจ ในทางกลับกัน คุณหนูจูที่เกิดในตระกูลสูงส่งนั้น…”
พระชายาจื้อไม่ได้เอ่ยถ้อยคำไม่น่าฟังต่อ แต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยนั้นกลับเป็นการอธิบายแล้ว เหล่าหญิงสาวสองสามคนของตระกูลหลี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็อดปิดปากหัวเราะเสียงเบาไม่ได้
พระชายาฝูยังมีความใจดีอยู่บ้าง นางถอนหายใจเอ่ย “คุณหนูจูจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ รีบกลับไปเสียเถิด”
ทว่าจูหมิงเยียนกลับไม่รับน้ำใจแล้วใช้แรงสะบัดตัวออกจากบ่าวรับใช้ที่จับกุมตนอยู่ในทีเดียว จากนั้นก็ชี้หน้าหลี่จืออี๋แล้วแสยะยิ้มเอ่ย “หลี่จืออี๋ เจ้ากล้าแย่งสามีไปจากข้าแต่ไม่กล้าออกมาคุยกับข้างั้นหรือ”
มีหญิงสาวที่ดูอายุยังน้อยแต่ผ่านการแต่งงานมาแล้วคนหนึ่งของตระกูลหลี่กลั้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันเอาไว้ไม่อยู่แล้วกล่าวว่า “คุณหนูจูพูดผิดแล้วกระมัง การแต่งงานครั้งนี้คุณหนูสามตระกูลเราไม่ได้โอดครวญอ้อนวอนแย่งมาสักหน่อย อะไรที่เรียกว่าแย่งสามีกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ใครเป็นสามีของเจ้ากันหรือ เจ้าลองไปถามดูเถิดว่ากงอ๋องจะยอมรับหรือไม่ว่าเป็นสามีของเจ้า คุณหนูสามของเราได้หมั้นหมายกับกงอ๋องแล้ว เจ้าเลิกพาดพิงแล้วทำลายชื่อเสียงของนางสักที”
คำพูดนี้ทำให้จูหมิงเยียนสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างโกรธจัด หลี่จืออี๋เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูจู ข้ากับเจ้าไม่ได้มีความแค้นใดๆ ต่อกัน คุณหนูจูเกลียดข้าก็เพราะกงอ๋อง แต่ข้ากับเจ้าต่างก็เข้าใจกันดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าหรือตระกูลหลี่และจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องจะตัดสินใจอะไรได้ คุณหนูจูมาทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้จะมีความหมายอันใดเล่า ต่อให้วันนี้จะไม่มีข้าหลี่จืออี๋ แล้วฝ่าบาทจะไม่ทรงหาจังจืออี๋ จ้าวจืออี๋ หรือใครสักคนมาอภิเษกสมรสกับกงอ๋องหรืออย่างไรกัน”
จูหมิงเยียนเผยสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เรื่องที่หลี่จืออี๋กล่าวนางจะไม่รู้ได้เช่นไร แต่รู้แล้วจะอย่างไรเล่า นางเกลียดมู่หรงอวี้ไม่ได้และนางก็ไม่กล้าเกลียดฮ่องเต้แคว้นหวาด้วย ทำได้แค่เกลียดชังหลี่จืออี๋ที่ความจริงเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด ถ้าแม้แต่คนที่เกลียดสักคนยังหาไม่ได้ เช่นนั้นนางก็คงทำได้แต่เกลียดตัวเอง คงทำได้แค่ระบายความบ้าคลั่งออกมาเท่านั้น
ภายในห้องพลันเงียบสนิทไร้เสียงใด ผ่านไปพักใหญ่เสียงของพระชายาฝูจึงดังขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูจู รีบกลับไปเสียเถิด อย่าทำให้พระชายาผิงหนานต้องเป็นห่วงเลย”
“หุบปาก! ไม่ต้องมายุ่ง!” ฉับพลัน จูหมิงเยียนก็เอ่ยออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธพลางใช้แววตาดุดันราวลูกธนูอาบพิษจับจ้องไปทางหลี่จืออี๋เอ่ยเสียงแหลมว่า “เป็นความผิดของเจ้า เป็นเพราะเจ้า! เป็นเพราะเจ้าท่านอ๋องถึงไม่ต้องการข้า ข้าจะฆ่านังแพศยานี่ทิ้งเสีย!” พูดพลางใช้มือผลักบ่าวรับใช้สองคนของจวนจื้ออ๋องออกแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาหลี่จืออี๋
“ไอ๊หยา!” เหล่าหญิงสาวในเหตุการณ์อดกรีดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ หญิงสาวเหล่านี้ไม่ว่าจะพระชายาฝู พระชายาจื้อหรือเหล่าแม่นางตระกูลหลี่ต่างก็มาจากตระกูลผู้มีความรู้ทั้งสิ้น ส่วนจูหมิงเยียนที่ถูกเลี้ยงดูตามใจจนเสียนิสัยมาตั้งแต่เด็กนั้นมาจากตระกูลนักรบ ในเวลาอันสั้นก็ชนคนทั่วทั้งห้องจนพากันล้มระเนระนาดไปหมด พระชายาฝูที่เดิมทีอวบอ้วนสมบูรณ์ก็ยังถูกชนจนล้มทับร่างผอมบางของพระชายาจื้อ ส่วนเหล่าหญิงสาวของตระกูลหลี่พากันหลบหลีกพร้อมร้องเสียงตกใจโกลาหลวุ่นวายจนไม่มีใครสนใจหลี่จืออี๋สักคน คาดว่าคงไม่มีใครคิดว่าจู่ๆ จูหมิงเยียนจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา จากนั้นนางก็โถมตัวเข้าหาหลี่จืออี๋จนล้มลงแล้วบีบคอของหลี่จืออี๋อย่างแรง “เจ้าตายเสีย! ตายเสียเถิด!”
ฉากวุ่นวายคลุ้มคลั่งเช่นนี้ชวนให้ทุกคนต่างนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ กระทั่งลืมเข้าไปช่วยหลี่จืออี๋ด้วยซ้ำ
ในที่สุดภายใต้ความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ทั้งสอง พระชายาจื้อและพระชายาฝูถึงลุกขึ้นยืนได้ ครั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกใจยกใหญ่ พระชายาจื้อก่นด่าออกมาด้วยความรีบร้อนว่า “ลงมือถึงชีวิตเชียว ยังไม่รีบจับแยกอีก? รีบเข้าไปจับแยกกันเดี๋ยวนี้!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองรีบรุดเข้าไปแล้วคว้าจับแขนของจูหมิงเยียนคนละข้างเพื่อจับแยก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพละกำลังของจูหมิงเยียนถึงมีมากจนน่าประหลาด ไม่ว่าบ่าวรับใช้ทั้งสองจะทั้งดึงทั้งลากทั้งหยิกแต่มือที่บีบคอหลี่จืออี๋ก็ไม่ยอมปล่อย “นังแพศยา! ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
หลี่จืออี๋เองก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเลวร้ายโดยบังเอิญเช่นนี้ นางถูกบีบคอจนหน้าเริ่มเขียวเลยยื่นมือออกไปหมายจะดึงมือของจูหมิงเยียนออกสุดแรงอย่างยากลำบากแต่กลับไร้เรี่ยวแรง ดูท่าทางใกล้ตาเหลือกเต็มทีแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะปณิธานที่อยากมีชีวิตต่อแรงกล้ามากหรืออาจเป็นเพราะในที่สุดความพยายามของบ่าวรับใช้ทั้งสองก็เป็นผล มือของจูหมิงเยียนคลายออกแต่ไม่นานก็ดิ้นสู้ใหม่อีกครั้ง หลี่จืออี๋ฉวยโอกาสในเวลาชั่วพริบตานี้พยายามผลักมือของนางออกแล้วเอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “กู้ กู้อวิ๋นเกอ…”
หลี่จืออี๋ถูกบีบคออยู่นาน คำพูดที่ออกมาเลยแหบพร่ายากจะฟังออกได้ ทว่าจูหมิงเยียนที่อยู่ห่างนางไม่ไกลนักกลับได้ยินอย่างชัดเจน ชื่อ ‘กู้อวิ๋นเกอ’ สามพยางค์นี้ดั่งเวทมนตร์ทำให้นางนิ่งงันราวกับถูกไฟช็อตไปชั่วขณะ “เจ้า…เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
หลี่จืออี๋ไออย่างหนักหน่วง หายใจหอบถี่พลางมองจูหมิงเยียน “เจ้า…เจ้าทำร้ายกู้อวิ๋นเกอจนนางต้องตาย แล้วยังคิดมาทำร้ายข้าอีกหรือ แค่กๆ…สตรีที่ใกล้ชิดกงอ๋องทุกคน เจ้าต้องฆ่าให้ตายหมดเลยหรืออย่างไรกัน”
“เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล!” จูหมิงเยียนร้องเสียงสูงยกมือขึ้นหมายจะเข้าไปบีบคอนางอีก บ่าวรับใช้ทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปลากนางออกห่างจากหลี่จืออี๋คนละข้าง เด็กสาวผู้อายุน้อยสุดในตระกูลหลี่ที่ถูกทำให้ตกใจจนนิ่งชะงักไปนานแล้วด้านข้าง หลังจากได้สติกลับมาก็สะอื้นไห้รีบพุ่งเข้าหาหลี่จืออี๋ที่ล้มอยู่แล้วดึงตัวนางเข้ามาในอ้อมอก “พี่หญิงสาม! พี่หญิงสามไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”
หลี่จืออี๋พิงตัวในอ้อมอกของน้องสะใภ้ตระกูลหลี่แล้วส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็มองจูหมิงเยียนที่ถูกบ่าวรับใช้ควบคุมตัวอยู่อีกฝั่ง จู่ๆ จูหมิงเยียนคลุ้มคลั่งขึ้นมาเช่นนี้เลยทำให้บรรยากาศอึมครึมไม่น้อย สองสาวตระกูลหลี่ที่ยังอายุน้อยหวาดกลัวจนหลบไปอยู่ข้างหลังพี่สะใภ้ ส่วนน้องเล็กสุดก็กอดพี่สาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ยามเห็นฉากนี้พระชายาจื้อพลันรู้สึกปวดขมับขึ้นมา
นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!
———————
[1]เซียงจวิ้น เป็นยศที่แต่งตั้งให้ผู้หญิง แต่อยู่ในระดับชั้นล่าง