หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 132 คลุ้มคลั่ง คิดระแวงไปเองทั้งที่ไม่มีอะไร (3)
“ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย!” จูหมิงเยียนกรีดร้อง “นางต่างหาก! เป็นนาง…กู้อวิ้นเกอต่างหาก! เป็นนางที่เข้าสิง อย่ามาหาข้า…ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า…”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างมองแววตาที่ดูคลุ้มคลั่งพร้อมสำรวจท่าทีลนลานหวาดกลัวของจูหมิงเยียน
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน!” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเข้มด้วยสีหน้าขึงขัง
จูหมิงเยียนชะงักแล้วมองมู่หรงอวี้ด้วยความน้อยใจพลางเอ่ยพึมพำ “จริงนะเพคะ…ท่านพี่ เป็นกู้อวิ๋นเกอ…นางกลับมาแล้ว นางจะทำร้ายข้า…ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น…” ท่าทีจูหมิงเยียนฟุ้งซ่านสติเลื่อนลอย คำพูดที่เปล่งออกมาไม่ปะติดปะต่อเลอะเทอะเหมือนคนบ้า หลังจากผ่านความตกใจในช่วงแรกพระชายาจื้อกลับได้สติเลยแค่นเสียงเย็นชากล่าว “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะบ้าจริงๆ หรือแสร้งเป็นบ้า จะเจอผีจริงหรือแสร้งทำเป็นเจอผี แต่บังอาจฆ่าคนต่อหน้าข้า ใครก็ได้มานี่! เอาตัวจูหมิงเยียนไปที่ศาลอิงเทียนฝู่ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณหนูหลี่!”
“พี่สะใภ้สี่!” มู่หรงอวี้อดเอ่ยเสียงขรึมไม่ได้
“ทำไมหรือ น้องหกคิดจะร้องขอชีวิตนางอีกแล้วหรือ” พระชายาจื้อยิ้มเย็นชา “ต่อให้น้องหกจะดูแลเอาใจนางแค่ไหนก็ต้องมีขอบเขต อย่าลืมสิ…คุณหนูหลี่ยังนั่งอยู่ตรงนี้”
เหล่าแม่นางตระกูลหลี่ต่างมีสีหน้าย่ำแย่ เดิมทีในเมืองหลวงหลี่จืออี๋ถือเป็นหญิงสาวที่บรรดาฮูหยินตระกูลมีอำนาจชื่นชอบที่สุด ทั้งยังเป็นตัวเลือกสะใภ้ในอนาคตที่ดีที่สุดอีกด้วย กล่าวว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งก็ไม่เกินกว่าเหตุเลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้เล่าว่าจะถูกฮ่องแต้แคว้นหวาทรงประทานสมรสพระราชทานให้เอง ถึงแม้สถานะของพระชายากงจะสูงส่งจนชวนให้สตรีนับไม่ถ้วนต่างอิจฉา แต่หลังจากได้รับสมรสพระราชทานต้องเจอเรื่องกลุ้มใจเช่นนี้ไม่เว้นวัน จากเป้าหมายที่ผู้คนต่างอิจฉากลับกลายเป็นคนที่ชวนให้น่าเห็นใจแทนเสียแล้ว
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจกล่าว “พี่สะใภ้สี่พูดเรื่องน่าขันแล้ว เพียงแต่…” แม้แต่คนที่วาจาเป็นเลิศอย่างมู่หรงอวี้ยังหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างให้จูหมิงเยียนอย่างยากลำบากจริงๆ พระชายาจื้อแค่นเสียงเบากล่าว “ในเมื่อน้องหกไม่มีอะไรจะพูด เช่นนั้น…พาตัวไปเถิด” ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างจวนจื้ออ๋องกับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ไม่เป็นมิตรกันอยู่แล้ว พระชายาจื้ออย่างนางจึงไม่กลัวล่วงเกินใดๆ จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเลยสักนิด
บ่าวรับใช้ที่รอคำสั่งนอกประตูนานแล้วรีบปรี่เข้ามาจับตัวจูหมิงเยียนคนละข้างแล้วลากตัวออกไปข้างนอก จูหมิงเยียนไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ จนไม่รับรู้อะไรเลย แล้วเหตุใดจะไม่ได้ยินคำสั่งของพระชายาจื้อเล่า นางดิ่นพล่านสุดชีวิตในทันที “ไม่นะ! ปล่อยข้า…ท่านพี่ช่วยข้าด้วย…ไม่เกี่ยวกับข้านะ! นังสารเลวปล่อยข้านะ…ปล่อย…”
พระชายาจื้อขมวดคิ้วด้วยท่าทีรำคาญ “ปิดปากไว้”
จู่ๆ จ้าวจื่ออวี้ที่ยืนอยู่ข้างกายมู่หรงอวี้ก็ยื่นมือไปแตะตัวจูหมิงเยียนเพียงครู่เดียว จูหมิงเยียนที่ดิ้นพล่านรุนแรงเมื่อครู่ก็ตัวอ่อนยวบล้มลงกับพื้นในทันใดและไม่ส่งเสียงใดอีก เพียงแค่ยอมให้คนลากตัวออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
พอจูหมิงเยียนถูกลากตัวออกไป คนที่พระชายาจื้อรับสั่งให้ไปตามหมอก็กลับมาแล้ว หลังจากหมอได้ตรวจดูบาดแผลของหลี่จืออี๋ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ได้เขียนเทียบยาบรรเทาอาการปวดและช่วยให้ชุ่มคอให้หลี่จืออี๋ทานตอนที่รู้สึกเจ็บคอแล้วก็ขอตัวกลับไป
จากงานนัดสังสรรค์รื่นเริง สุดท้ายกลับแยกย้ายกันไปอย่างไม่ภิรมย์ใจนัก มู่หรงอวี้ไปส่งเหล่าหญิงสาวตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง ส่วนพระชายาจื้อกลับไปพร้อมจื้ออ๋อง จ้าวจื่ออวี้ที่กลับออกมาเป็นคนสุดท้ายเหลือบมองรูขนาดเท่าเหรียญอีแปะที่ไม่เตะตานักตรงข้างผนังห้องพลางขบคิดบางอย่าง
หลังจากออกมา ยามเดินผ่านห้องส่วนตัวนั้นจ้าวจื่ออวี้ก็ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง ประจวบกับมีเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเดินออกมา “จวิ้นอ๋อง”
จ้าวจื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “เมื่อครู่คนด้านในห้องนี้เป็นใครกันหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าว “เป็นคุณชายน้อยตระกูลจังท่านหนึ่ง ครั้งก่อนมาที่เรือนกุ้ยหลินก็ได้เจอกับท่านอ๋องเช่นกัน ท่านอ๋องยังรับสั่งว่าครั้งหน้าถ้าคุณชายจังมาที่นี่ไม่ต้องเก็บตำลึงด้วย แต่ครั้งนี้สหายของคุณชายจังเป็นคนจ่ายพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวจื่ออวี้กับท่านอ๋องของตนดีไม่น้อยเลยไม่คิดปิดบัง เพียงแต่ในเมืองหลวงมีคนรู้จักมู่ชิงอีน้อยมาก คนที่รู้จักหรงจิ่นก็น้อยเช่นกัน เขาจึงทำได้แค่บอกตามที่ตนรู้จักออกไป
“กลับไปเมื่อไร”
คนงานผู้นั้นกล่าว “เพิ่งไปพ่ะย่ะค่ะ จวิ้นอ๋องมีรับสั่งอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่ถามดูเท่านั้น” จ้าวจื่ออวี้เอ่ยเสียงเรียบ
ในห้องส่วนตัวอีกมุมหนึ่งของเรือนกุ้ยหลิน องค์ชายเก้าฟุบตัวอยู่บนเก้าอี้หัวเราะจนตะกายลุกขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายหัวเราะหนักเกินไปเลยทำให้บาดแผลเก่าระบมไปหมด เขาจึงทำได้แค่ฟุบบนตั่งนั่งรอให้อาการปวดหายไปอย่างเศร้าใจ มู่ชิงอีที่เห็นเขาฟุบตัวงออยู่บนตั่งนั่งสีหน้าย่ำแย่กลับไม่มีท่าทีเห็นใจเลยสักนิด นางแค่นั่งมองเขาอย่างเฉยเมยอยู่อีกฝั่ง หรงจิ่นเห็นเช่นนั้นก็โพล่งขึ้นว่า “ชิงชิงใจดำ”
หรงจิ่นขมวดคิ้วได้รูปเล็กน้อยพร้อมปิดตาอีกด้านอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนร่างกายไว้ ความจริงตอนนี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้หนักหนามากนัก หรือจะกล่าวได้ว่าชินชาแล้วมากกว่า หลังจากได้เครื่องหอมโยวหันที่มู่ชิงอีทำด้วยตัวเอง หรงจิ่นก็นอนหลับสนิทได้ทุกวัน ถึงแม้อาการปวดจะกำเริบแต่ก็ทุเลาลงกว่าเมื่อก่อนมาก ดังนั้นเวลานี้หรงจิ่นจึงไม่ได้รู้สึกว่าขยับตัวเพียงนิดเดียวทั่วทั้งร่างกายก็เจ็บปางตายเหมือนครั้งก่อนแล้ว ทั้งยังคิดแบ่งอารมณ์มายียวนกวนประสาทมู่ชิงอีได้อีกต่างหาก
“ชิงชิง ดูท่าทางจูหมิงเยียนนั่นใกล้เป็นบ้าแล้วจริงๆ” ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่ได้เป็นบ้า แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงเป็นบ้าเอาได้จริงๆ “ชิงชิงไม่ดีใจหรือ”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “มีอะไรให้น่าดีใจกันเพคะ”
หรงจิ่นกล่าว “ข้านึกว่าชิงชิงจะเกลียดจูหมิงเยียนมากเสียอีก เห็นนางเป็นเช่นนี้ควรดีใจสิถึงจะถูก”
มู่ชิงอียิ้มบางแต่ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างนางกับจูหมิงเยียนจะเป็นเพียงความเกลียดชังเท่านั้นได้อย่างไร เพียงแต่เห็นจุดจบของจูหมิงเยียนเช่นนี้กลับไม่มีอะไรคุ้มค่าให้ดีใจเลยสักนิด จูหมิงเยียนก็แค่เป็นคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น วิธีการใช้รับมือนางมีตั้งมากมาย นี่ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเลยจริงๆ
“ชิงชิงไม่ชอบใจเพราะ…กู้อวิ๋นเกออย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นมองสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งสงบ เอ่ยถามขึ้นอย่างฉับพลัน
หลายครั้งแล้วที่เขาค้นพบว่ายามที่เผชิญหน้ากับจูหมิงเยียน ชิงชิงมักจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เดิมทีนึกว่าเป็นเพราะจูหมิงเยียน แต่พอเห็นฉากจูหมิงเยียนย่ำแย่ขนาดนั้นในสายตาของชิงชิงกลับไม่มีความพอใจใดเลย ไม่ว่าจะดีใจหรือรู้สึกแย่ พอตอนนี้มาลองคิดดูจริงๆ เหมือนทุกครั้งมักมีความเกี่ยวข้องกับกู้อวิ๋นเกอเสมอ ชิงชิงเริ่มมีอาการไม่ชอบใจก็ตอนที่ห้องส่วนตัวด้านข้างเอ่ยถึงกู้อวิ๋นเกอขึ้นมานั่นแหละ
มู่ชิงอีชะงักไปแล้วหลุบตาลง “องค์ชายรู้ได้เช่นไรเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “เดาได้ง่ายมาก ด้วยตัวจูหมิงเยียนแล้วคงไม่น่ามีความแค้นอะไรกับชิงชิงถึงจะถูก แต่จูหมิงเยียนเป็นสหายคนสนิทของกู้อวิ๋นเกอ”
เพียงแต่น่าเสียดายเขามาไม่ได้จังหวะ ตอนที่เขามาถึงเมืองหลวงของแคว้นหวา กู้อวิ๋นเกอก็เพิ่งตายไปไม่กี่วัน สตรีคนหนึ่งตายไปอย่างน่าอนาถเช่นนั้น ถึงแม้หรงจิ่นจะเย็นชาไร้จิตใจกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจไปด้วย เพียงแต่น่าเสียดายที่ไร้วาสนาได้เจอะเจอหญิงสาวที่เคยได้รับสมญานามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงและเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมอันดับหนึ่งด้วย แต่ว่า…ชิงชิงเองก็ไม่เลว
องค์ชายเก้ามองสาวน้อยในชุดสีขาวที่อยู่ไม่ไกลตนนักพร้อมอารมณ์ที่ดีไม่หยอก “ชิงชิงและคุณหนูตระกูลกู้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเสียจริง” หรงจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย