หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 135 ฉังหนิงจวิ้นจู่ ซิ่วถิงนึกสงสัย (1)
พระชายาผิงหนานไม่เชื่อ ทว่าจูหมิงเยียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความจริง “ใช่! ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ ต้องเป็นกู้อวิ๋นเกอแน่ๆ ได้ยินว่าวันที่นางตายสวมชุดคลุมสีแดงสด นางต้องไม่พอใจจนกลายเป็นผีร้ายมาหลอกหลอนแน่นอน”
“ต่อให้กลายเป็นผีร้ายจริงก็ควรไปหากงอ๋องกับหนิงอ๋องสิ นางจะมาหาเจ้าทำไมกัน” พระชายาผิงหนานเอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่
จูหมิงเยียนสีหน้าเปลี่ยน ก้มศีรษะลงแล้วปิดหน้าตัวเองภายใต้ผมยาวสยาย พูดพึมพำว่า “ท่านแม่ไม่รู้… ท่านแม่ไม่รู้…”
ครั้นเห็นนางมีท่าทีสติเลื่อนลอยราวกับเจอผีจริงๆ พระชายาผิงหนานก็ถอนหายใจแล้วทำได้แค่เอ่ยว่า “ได้ รอเจ้าออกมา แม่จะไปวัดประจำแคว้นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วขอให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยทำพิธีให้ดีไหม”
“ท่านเจ้าอาวาส…ใช่ ท่านเจ้าอาวาส…” จูหมิงเยียนดวงตาเป็นประกายแล้วรีบดึงมือของพระชายาผิงหนานมากล่าว “ตอนนี้เลยเพคะ! ท่านแม่รีบไปเชิญท่านเจ้าอาวาสมาช่วยข้าที! รีบไปสิเพคะ!” ครั้งนี้จูหมิงเยียนไม่ปล่อยให้พระชายาผิงหนานอยู่ด้วยแล้วแต่ใช้แรงดันนางออกไปด้านนอก หากไม่ได้มีกรงมากั้นไว้จนใช้แรงมากไม่ได้ พระชายาผิงหนานคงเกือบถูกผลักล้มลงพื้นไปแล้ว นางไม่ได้มองพระชายาผิงหนานอีกต่อไปแต่พาตัวเองไปซุกอยู่ที่มุมในสุดของคุก ขดตัวจนเหลือเล็กนิดเดียว ปากก็เอ่ยไม่หยุดว่า “ท่านแม่…รีบไป แล้วรีบมาช่วยข้าที…”
เมื่อเห็นบุตรสาวมีท่าทีราวกับเป็นบ้า พระชายาผิงหนานก็รู้สึกแสบที่เบ้าตาแล้วรีบหมุนตัวออกไปทันที
ในคุกอันมืดมิด จูหมิงเยียนเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “อวิ๋นเกอ…เจ้าอย่ามาหาข้าเลย ข้าจะยุ่งเรื่องของตัวเอง…ข้าจะยุ่งเรื่องของตัวเอง…”
หลังจากจูหมิงเยียนถูกส่งตัวมาที่ศาลอิงเทียนฝู่ มู่ชิงอีก็ไม่ได้เสียเวลาคิดเรื่องนางอีก ความจริงจุดจบของจูหมิงเยียนนางพอจะเดาได้ ในเมื่อปักใจรักคนอย่างมู่หรงอวี้จนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว มู่ชิงอีอดดีใจไม่ได้ที่นางไม่เคยรักมู่หรงอวี้อย่างแท้จริงมาตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นเกรงว่านางคงคลุ้มคลั่งสติหลุดยิ่งกว่าจูหมิงเยียนไปนานแล้ว
ไม่ว่าในเมืองหลวงจะมีเรื่องราวมากเพียงใด แต่วันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาก็ใกล้ถึงกำหนดการเข้ามาทุกที อีกทั้งทุกคนต่างก็ปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่างแล้วตั้งใจเตรียมพร้อมถวายพระพรให้แก่ฮ่องเต้ เดิมทีมู่ชิงอีนึกว่างานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้คงไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนนัก ต่อให้มีก็คงแค่ฉวยโอกาสเรียกให้พวกตระกูลผู้มีอำนาจส่วนมากในเมืองหลวงเข้าวังไปทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่ก่อนหน้าวันคล้ายวันพระราชสมภพหนึ่งวันจวนซู่เฉิงโหวก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้อย่างกะทันหัน ในพระราชโองการเขียนแต่งตั้งให้คุณหนูสี่ของจวนซู่เฉิงโหวเป็นฉังหนิงจวิ้นจู่แล้วให้เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ด้วย
หลังจากรับพระราชโองการแล้ว ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวต่างมีสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก แม่ลูกสะใภ้ซุนโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ซู่เฉิงโหวเองก็หน้าตึงไม่แพ้กัน หลังจากส่งขันทีที่มาถ่ายทอดพระราชโองการแล้วสีหน้าก็ขรึมลงทันที มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามุ่นคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร มู่เชินที่เดิมทีอยากเปิดปากแสดงความยินดีกับมู่ชิงอีก็ลอบดูสถานการณ์แล้วถึงมองเห็นแววตาเย็นชาของมู่ชิงอี ในท้ายที่สุดเขาเพียงลูบจมูกปอยๆ แล้วปิดปากไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดฮ่องเต้ถึงแต่งตั้งให้นางเป็นจวิ้นจู่ได้” สะใภ้ซุนกรีดร้องเสียงแหลม แม้แต่จะแสร้งทำท่าทีสำรวมไว้ก็ยังแสร้งปิดไว้ไม่อยู่ นางชี้ไปที่มู่ชิงอีแล้วร้องขึ้น มู่ชิงอียังคงใส่ผ้าปิดหน้าเช่นเคย แววตาแน่นิ่งเหลือบมองแววตาฉงนของมู่ฉังหมิง เอ่ยด้วยท่าทีสงบว่า “ท่านพ่อคิดจะถามอะไรอีกหรือ หลายวันมานี้ชิงอีก็มุดตัวอยู่แต่ในเรือนไม่กล้าออกไปเจอใครไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดปนเสียดสี มู่ฉังหมิงก็แววตาวูบไหว แต่เห็นได้ชัดว่าพระราชโองการฉบับนี้กระตุ้นความเจ็บปวดในใจของเขา แววตาที่จับจ้องมู่ชิงอียิ่งแฝงความชิงชังมากกว่าเดิม
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วกล่าว “พอแล้ว ตอนนี้จะมาพูดเรื่องนี้ทำไม พรุ่งนี้จะทำอย่างไรดี”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามแล้วโยนพระราชโองการในมือลงบนโต๊ะเบื้องหน้ายิ้มกล่าว “แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือเจ้าคะ ท่านพ่อก็กราบทูลไปเลยว่าแผลบนใบหน้าของชิงอีหนักยิ่งกว่าเดิม หรือพูดไปโต้งๆ เลยว่า…มู่ชิงอี…ตายไปแล้ว แค่นี้ก็จบแล้วกระมัง”
มู่ฉังหมิงหว่างคิ้วกระตุกแล้วถลึงตามองมู่ชิงอีแวบหนึ่งกล่าว “พูดจาเหลวไหลอะไร! ดีๆ อยู่แล้วจะไปบอกว่าตายได้อย่างไรกัน” อย่าพูดว่ามู่ฉังหมิงใจดำอำมหิตฆ่าบุตรสาวไม่ลงเลย ต่อให้เขาจะใจดำอำมหิตตอนนี้เขาก็ไม่กล้า มู่ฉังหมิงรู้แก่ใจดีว่าเหตุที่จู่ๆ ฝ่าบาทแหกกฏธรรมเนียมแต่งตั้งบุตรสาวของภรรยาเอกคนหนึ่งในจวนโหวให้เป็นจวิ้นจู่ นี่ต้องเป็นการตักเตือนเรื่องก่อนหน้านี้แน่ หรือจะพูดได้ว่าฝ่าบาททรงรู้ความจริงที่มู่ชิงอีเสียโฉมแล้ว ตำแหน่งจวิ้นจู่…บัดนี้ในจวนซู่เฉิงโหวสถานะของมู่ชิงอีสูงสุดแล้ว จวิ้นจู่ปกติแล้วคือตำแหน่งของบุตรภรรยาเอกของจวิ้นอ๋อง จะต้องเป็นบุตรภรรยาเอกของท่านอ๋องเท่านั้นถึงจะได้บรรดาศักดิ์นี้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วแย้มยิ้มบาง ไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับคำพูดของมู่ฉังหมิง
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจแล้วว่าบัดนี้ไม่สามารถขัดขวางมู่ชิงอีไม่ให้เข้าวังได้ เลยทำได้แค่ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเถิด พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ชุดพิธีการของอีเอ๋อร์ยังไม่ได้เตรียมเลย พวกเจ้ารีบไปสั่งให้บ่าวรับใช้รีบทำข้ามคืนให้ได้ออกมาเถิด” มาจนถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้จะทำงานทั้งวันทั้งคืนชุดพิธีการที่มีรายละเอียดมากมาย อีกทั้งต้องประณีตย่อมไม่มีทางทำทันแน่นอน อิ๋งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงอีจึงยิ้มกล่าว “มู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ ขันทีที่มาถ่ายทอดพระราชโองการเมื่อครู่แอบกระซิบบอกอิ๋งเอ๋อร์แล้วว่าฝ่าบาททรงส่งเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของจวิ้นจู่พร้อมคนมาด้วยกันแล้ว งานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทเป็นงานใหญ่ หากไม่แต่งเช่นนี้คงไม่เป็นที่น่าจับตามองสักเท่าใด”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าพลันแข็งทื่อ แต่ก็พยายามฝืนฉีกยิ้มที่มุมปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
มู่ชิงอีลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชิงอีขอตัวลาก่อนเจ้าค่ะ” ถึงแม้ในจวนซู่เฉิงโหวจะไม่ถือว่าดูแตกหักจนถึงขีดสุด ทว่านับตั้งแต่หลังจากเรื่องเสียโฉมครั้งก่อน มู่ฉังหมิงก็ยากที่จะทำตัวเป็นบิดาที่แสนดีต่อหน้ามู่ชิงอีได้อีก ตอนนี้มู่ฉังหมิงเพิ่งค้นพบว่าเขามองบุตรสาวคนนี้ผิดไปจริงๆ เดิมทีนึกว่าหลังจากมู่ชิงอีระบายอารมณ์เพราะเสียโฉมแล้วคงถูกเขาโน้มน้าวจนยอมความได้ ในเมื่อมู่ชิงอีไม่ได้มีนิสัยดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญไปกว่านั้นวันข้างหน้ามู่ชิงอีต้องอาศัยจวนซู่เฉิงโหว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากมู่ชิงอีเอ่ยคำเย็นชาไม่กี่ประโยคจบก็ไม่สนใจคนในจวนซู่เฉิงโหวคนใดอีกจริงๆ เอาแต่ปิดประตูใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง แม้แต่ค่ากินอยู่ในยามปกติก็ไม่เคยขอจากจวนเลย ตอนแรกมู่ฉังหมิงนึกว่าหลายปีมานี้มู่ชิงอีคงไม่ค่อยมีเงินติดตัวเท่าไร ต่อให้โกรธก็คงทนได้แค่ไม่กี่วัน แต่ตอนนี้มู่ชิงอีมีตำแหน่งเป็นถึงจวิ้นจู่แล้ว ในแต่ละเดือนก็จะมีเงินเดือนตามธรรมเนียม ดูท่าทางคงมีความมั่นใจมาข่มเขามากขึ้นแล้ว
ทว่ามู่ฉังหมิงกลับไม่รู้ว่าถึงแม้มู่ชิงอีไม่ได้มีตำแหน่งจวิ้นจู่และได้รับเงินเดือน สมบัติที่นางมีในมือต่อให้เอามาใช้ฝังจวนซู่เฉิงโหวแล้วก็ยังมีเหลือเฟือ
มู่ชิงอีกลับมายังเรือนหลานจื่อ พอเข้ามาในลานบ้านก็เห็นหีบกล่องหลากสีสันขนาดเล็กใหญ่ประมาณยี่สิบสามสิบกล่องจนละลานตาทำเอาลานหน้าเรือนเล็กที่นางใช้พำนักอาศัยมีหีบวางเรียงรายเต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้เป็นของในวังส่งมาเมื่อครู่ ของนั้นมีมากจนบ่าวรับใช้ในเรือนหลานจื่อต่างก็ไม่กล้าเข้าออกห้องของนางตามอำเภอใจ ทำได้แค่เฝ้ารออยู่ในลาน ของมากมายหลายอย่างเช่นนี้ ต่อให้จวนซู่เฉิงโหวจะเป็นตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวงแต่สาวใช้อย่างพวกนางก็ไม่เคยเห็นของมากมายขนาดนี้มาก่อน
มู่ชิงอีเดินไปดูก็เห็นว่าหีบเจ็ดแปดใบในกองนั้นบรรจุผ้าแพรต่วนชื่อดังหลากสีทั้งหมด มีสามหีบบรรจุเสื้อผ้าสำเร็จ มีสี่หีบบรรจุของประดับโบราณหลายชนิด มีสองหีบบรรจุภาพวาดโบราณ มีสามหีบบรรจุตำราโบราณ นอกจากนี้ยังมีกล่องขนาดเล็กบรรจุเครื่องเขียน อาทิเช่น พู่กัน หมึก ที่ฝนหมึก และกระดาษ จากนั้นด้านหน้าสุดก็มีหีบขนาดเล็กไม่กี่อันแต่พอเปิดออกกลับมีแสงแยงตา ในบรรดาหีบเหล่านั้นมีสองหีบเป็นเครื่องประดับเงินทองหยกนานาชนิดที่กำลังเป็นที่นิยม อีกหีบหนึ่งเป็นเม็ดไข่มุกมีทั้งขนาดเล็กใหญ่ ด้านบนหีบไข่มุกมีหีบเล็กทับไว้อยู่ มู่ชิงอีหยิบขึ้นมาเปิดดูด้านในก็พบว่าเป็นตั๋วเงิน โฉนดที่ดินและทองก้อน นี่คงจะเป็นเงินเดือนตามธรรมเนียมแต่ละปีของจวิ้นจู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงแต่งตั้งนางเป็นจวิ้นจู่ แต่เห็นได้ชัดว่าคงไม่ได้เป็นเพียงการตักเตือนมู่ฉังหมิงอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่ของที่ควรเป็นของจวิ้นจู่ก็ส่งมาให้นางโดยไม่มีขาดเลย