หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 138 ฉังหนิงจวิ้นจู่ ซิ่วถิงนึกสงสัย (4)
มู่ฉังหมิงเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงอี จากนั้นก็กวาดตามองสาวน้อยที่มีผ้าคลุมปิดหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางด้วยท่าทีเหนือกว่าแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าต้องตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่”
มู่ชิงอียิ้มหวานเอ่ยถามอย่างฉงน “ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์อะไรกันเจ้าคะ ท่านพ่อพูดเรื่องอันใดกัน ชิงอีตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับท่านพ่อเมื่อใดหรือ เอ๊ะ…หรือท่านพ่อหมายถึงของพวกนี้ หากท่านพ่ออยากได้ของพวกนี้ของ…ฉังหนิงจวิ้นจู่ล่ะก็ ข้าย่อมให้ท่านพ่อได้อยู่แล้ว ในเมื่อ…” มู่ชิงอียิ้มบางพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น เอ่ยเสียงขบขันว่า “ก็ไม่ใช่ว่าท่านพ่อจะไม่เคยใช้สักหน่อยมิใช่หรือ”
“นังลูกทรพี!” มู่ฉังหมิงโกรธจนหน้าแดงยกมือหนึ่งขึ้นหมายจะตบมู่ชิงอีสักที ถึงแม้เสียงของมู่ชิงอีจะกดต่ำลงจนได้ยินแค่สองคนพ่อลูกและไม่มีใครได้ยินอีก แต่มู่ฉังหมิงมักรู้สึกว่าเหมือนทุกคนในเรือนต่างก็ใช้สายตาแปลกประหลาดมองเขาอยู่ เขาไม่รู้ว่าตกลงแล้วมู่ชิงอีรู้อะไรมาบ้าง แต่ก็รู้ว่าบุตรสาวคนนี้ต้องรู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้อยู่ไม่น้อยแน่นอน
เวลานี้มู่ชิงอีจะยอมให้เขาตบได้เช่นไร มู่ฉังหมิงเพิ่งยกมือขึ้นมามู่ชิงอีก็เดินถอยหลังหลบแล้ว จูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ก็พร้อมใจกันพุ่งตรงเข้าไปขวางเบื้องหน้าของมู่ชิงอีด้วยความภักดีในทันที มู่ชิงอีมองเขาด้วยท่าทีสงบยิ้มกล่าว “ท่านพ่อ เกรงว่าเวลานี้ท่านพ่อคงไม่มีสิทธิ์มาลงไม้ลงมือกับข้ากระมังอย่าลืมไปสิว่าข้าเป็นจวิ้นจู่ แต่ท่าน…เป็นเพียงท่านโหวเท่านั้น”
จวิ้นจู่ถือเป็นคนของราชวงศ์ ถึงแม้จะไม่ใช่คนในเชื้อพระวงศ์แต่ก็ถือว่าเป็นคนภายใต้ปกครองของราชวงศ์ แต่ซู่เฉิงโหวเป็นแค่ตำแหน่งที่ได้มาด้วยความดีความชอบเท่านั้น อีกทั้งยังถือว่าเป็นเพียงแค่ขุนนาง
มู่ฉังหมิงถูกยั่วโมโหจนโกรธจัด เขาจ้องมู่ชิงอีอยู่นาน แม้แต่มือที่กำหมัดจนแน่นข้างลำตัวยังสั่นตามไปด้วย มู่ชิงอีเห็นแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร
หากมู่ฉังหมิงคิดว่าตนแค่อยากยั่วโมโหล่ะก็ เขาคงใสซื่อเกินไปแล้ว
“ไป!” ในที่สุดมู่ฉังหมิงก็คำรามออกมาด้วยความเดือดดาลแล้วหมุนตัวเดินนำออกไป
สะใภ้ซุนและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าต่างชะงักงัน พวกเขาไม่รู้หรอกว่าตกลงแล้วมู่ชิงอีพูดอะไรกับมู่ฉังหมิงจนทำให้มู่ฉังหมิงโกรธขนาดนี้ได้ สะใภ้ซุนเหลือบมองหีบใบเล็กใหญ่ที่วางเรียงรายบนพื้นแวบหนึ่งด้วยท่าทีไม่เต็มใจนัก “ท่านโหว…”
“ข้าบอกให้ไป! วันหลังห้ามใครมาเหยียบที่นี่ทั้งนั้น!” มู่ฉังหมิงจับจ้องสะใภ้ซุนด้วยท่าทีเย็นชาพร้อมเอ่ยเสียงเข้ม
สะใภ้ซุนใจชาวาบแล้วรีบปิดปากไม่กล้าพูดอะไรอีก จากนั้นก็เดินตามหลังมู่ฉังหมิงออกจากเรือนหลานจื่อไปอย่างเชื่อฟัง
มู่อวิ๋นหรงรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่ชิงอีเลยเดินตามมู่ฮูหยินผู้เฒ่าออกไป แต่มู่หลิงกลับยังอยู่เป็นคนสุดท้าย ครั้นมู่เชินเห็นว่ามู่หลิงยังไม่กลับเลยอยู่ต่อเช่นกัน มู่หลิงจับจ้องมู่ชิงอีด้วยท่าทีดุดันแล้วเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจ้าคิดว่ามีตำแหน่งจวิ้นจู่แล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมสิว่าเจ้าก็เป็นเพียงสตรี สักวันก็ต้องพึ่งพาจวนซู่เฉิงโหวอยู่ดี”
มู่ชิงอีมองมู่หลิงพร้อมกับถอนหายใจ ความจริงนับตั้งแต่นางเกิดใหม่ครั้งแรกที่เจอมู่หลิงจนถึงตอนนี้เป็นเวลาสั้นๆ เพียงเดือนกว่าเท่านั้น ถึงแม้ตอนนั้นมู่หลิงที่ชอบเข้าข้างมู่อวิ๋นหรงจะมีท่าทีดูแคลนแฝงอยู่บ้าง แต่นั่นกลับเป็นเพียงมาดของคุณชายจวนโหวก็เท่านั้น ทว่าดูจากตอนนี้กลับเหมือนผีชั่วร้ายโหดเหี้ยมตนหนึ่ง แววตาประกายสองข้างที่แผ่ไอเย็นยะเยือกออกมาโดยไม่คิดปกปิดไว้ยามอยู่ต่อหน้าใครเลย ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ใครที่เห็นก็คงจะอดไม่ได้ที่จะป้องกันตัวรักษาระยะห่างกับเขาทั้งนั้น
“พี่รองคิดเปลืองสมองเสียเปล่าเจ้าค่ะ หากมีความคิดนี้สู้พี่รองสนใจเรื่องตัวเองจะดีกว่ากระมัง อย่างน้อยข้าก็ยังมีตำแหน่งจวิ้นจู่คุ้มหัวอยู่ ส่วนพี่รองแค่กำลังรอตำแหน่งของท่านพ่อตกมาถึง น่าเสียดายที่ท่านพ่อยังไม่ตาย”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่หลิงเต้นกระตุกอยู่หลายที จนสุดท้ายเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
มู่เชินมองเงาแผ่นหลังของมู่หลิงแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาพลางขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าต้องหาเรื่องเขาด้วย”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “พี่ใหญ่ก็เห็นแล้วนี่เจ้าคะว่าข้าไม่ได้ไปหาเรื่องเขาสักหน่อย เป็นเขาต่างหากที่มาหาเรื่องข้า” มู่เชินมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ข้าถึงมักรู้สึกว่าท่าทางน้องรองตอนนี้ดูแปลกพิกลชวนให้รู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไร” เมื่อก่อนเขาเกลียดและนึกอิจฉาน้องรองอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอเห็นมู่หลิงแล้วมู่เชินก็มักรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยราวกับว่าอยู่กับเขาสักระยะหนึ่งแล้วจะพลอยทำให้อึดอัดเสียอย่างนั้น
มู่ชิงอียิ้มน้อยๆ มู่หลิงจะเปลี่ยนไปเช่นไรนางไม่สนใจอยู่แล้ว ต่อให้เป็นเพราะไปวัดเป้ากั๋วครั้งก่อนจนกลายเป็นแบบนี้แต่เขาก็ต้องรับผลกรรมที่ตนเองก่อ
หรือว่าเฝ้าฝันให้นางรู้สึกละอายใจอย่างนั้นหรือ
มู่เชินกวาดตามองของบนพื้นแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะกล่าว “น้องหญิงสี่ต้องระวังตัวไว้บ้าง เกรงว่า…สะใภ้ซุนกับท่านย่าคงไม่มีทางยอมแพ้ปล่อยของพวกนี้หลุดมือไป” มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันไปออกคำสั่งกับอิ๋งเอ๋อร์ “เลือกเครื่องประดับที่เหมาะสมมาสักสองสามแบบให้พี่ใหญ่เอากลับไปให้อี๋เหนียงที”
มู่เชินชะงักไป “ได้เช่นไรกันเล่า นี่เป็นของที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้เจ้า”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ในเมื่อให้ข้าก็ถือว่าเป็นของข้าแล้ว ข้าจะมอบให้ใครแล้วเกี่ยวอันใดกันเล่า ในจวนนี้ก็มีเพียงพี่ใหญ่ที่มีความจริงใจต่อข้า ของนอกกายพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปสนใจหรอกเจ้าค่ะ” เห็นนางกล่าวเช่นนั้น มู่เชินเลยกล่าวปฏิเสธไม่ออกแล้วทำได้แค่กล่าวขอบคุณไป
ในห้องหนังสือจวนซู่เฉิงโหว มู่ฉังหมิงไล่ทุกคนออกไปจนหมด แม้แต่สะใภ้ซุนอ้อนวอนขอเข้าไปหาก็ยังถูกไล่กลับไป มู่ฉังหมิงปิดตัวเองระบายอารมณ์โกรธอยู่ในห้อง เครื่องประดับลายครามโบราณที่เดิมทีอยู่ในห้องหนังสือถูกโยนจนแตกละเอียด พู่กัน หมึกและที่ฝนหมึกบนโต๊ะถูกปาทิ้งจนแตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น แม้แต่หนังสือบนชั้นวางหนังสือก็ถูกรื้อดึงออกมาวางกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เหล่าบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูต่างวิตกตื่นกลัวไปตามๆ กัน ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดความเคลื่อนไหวด้านในก็ค่อยๆ สงบลง เหล่าบ่าวรับใช้จึงลอบถอนหายใจออกมา
ในห้องหนังสือ มู่ฉังหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้เพียงหนึ่งเดียวที่ยังตั้งวางอย่างเป็นระเบียบพลางเหม่อมองห้องที่ของล้มกระจัดกระจายอย่างไม่นึกสนใจ สมกับที่เป็นนายพลเพราะในเวลาอันสั้นก็ทำลายห้องหนังสือจนเละไม่เหลือชิ้นดี มู่ฉังหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้หรี่ตาสีหน้ากลัดกลุ้มนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ที่มู่ชิงอีเอ่ยกับตน
บุตรสาวคนนี้…ดวงตานั้นเหมือนมารดาของนางมาก อีกทั้งยังเป็นบุตรสาว…ที่ทำให้เขารู้สึกละอายใจตราบชั่วชีวิต เป็นคนที่ไม่มีหน้าจะไปเผชิญด้วยมากที่สุดและเป็นบุตรสาวที่เขาชิงชังมากที่สุดเช่นกัน! ภรรยาเอกของตน…มารดาของบุตรสาวผู้นี้…เป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี สุดท้ายเขาก็ทิ้งความอัปยศและความโกรธแค้นไว้ให้นาง ส่วนนางก็ทิ้งความอับอายที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้และบุตรสาวคนหนึ่งที่เกลียดตนเข้ากระดูกดำไว้
ยามที่มู่ชิงอีเอ่ยประโยคนั้นกับตน มู่ฉังหมิงก็รู้แล้วว่าบุตรสาวคนนี้เกลียดเขาเข้ากระดูกดำมานานแล้ว เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปีคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะตบตาเขามาได้ถึงสามสี่ปี พอตอนนี้ยอมเผยความจริงว่าตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาแล้วจึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างนั้นหรือ แต่หากมู่ชิงอีไม่เกลียดชังตน มู่ฉังหมิงก็คงต้องชื่นชมในความอดทนของนางแล้ว
แต่ว่า…ตนไม่มีทางยอมให้ใครมาทำลายทุกอย่างที่มีแน่นอน วันข้างหน้า…เขายังต้องได้มากกว่านี้! ความอดทนที่เก็บไว้และความอัปยศทั้งหมดตนจะเอาคืนคนพวกนั้นไปให้หมด! เขามู่ฉังหมิงต่างหากที่เป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย
เหมือนว่ามู่ฉังหมิงจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ได้จึงหยิบพู่กันและหมึกที่รอดจากการปาทิ้งขึ้นมาจากบนโต๊ะ จากนั้นก็กระชากดึงกระดาษมาแผ่นหนึ่งแล้วเขียนตัวอักษรไปไม่กี่บรรทัด พอเอาใส่ซองจดหมายปิดผนึกเรียบร้อยถึงเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ใครก็ได้เข้ามานี่ที”
ผ่านไปสักพัก คนด้านนอกก็ผลักประตูเข้ามา จากนั้นก็เดินข้ามของที่ถูกปากระจัดกระจายเต็มพื้นอย่างระมัดระวังมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่ฉังหมิง “ท่านโหว”