หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 141 วางแผนปัดแข้งปัดขากัน เกิดเรื่องวุ่นวายในสวนดอกไม้ (3)
- Home
- หวนคืนชะตาแค้น
- ตอนที่ 141 วางแผนปัดแข้งปัดขากัน เกิดเรื่องวุ่นวายในสวนดอกไม้ (3)
แม้ว่าในวังหลวงแคว้นหวาจะมีตำแหน่งผินและเฟยอยู่เพียงหยิบมือ แต่ใช่ว่าฮ่องเต้จะไม่มักมากในผู้หญิง ถึงแม้ตำแหน่งอย่างผินและเฟยอันสูงส่งจะไม่ได้มีมากนัก แต่ตำแหน่งกุ้ยเหรินไปจนถึงตำแหน่งที่ต่ำกว่าผินและเฟยกลับมีมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่คนพวกนี้กลับไม่มีสิทธิ์โผล่หน้าออกมารับการคารวะของเหล่าแม่นางทั้งหลายที่พระตำหนักเสียนเต๋อได้ในเวลานี้เท่านั้นเอง
“รีบลุกขึ้นเร็ว” ฮองเฮาอมยิ้มกล่าว “ท่านนี้คือฉังหนิงจวิ้นจู่ใช่หรือไม่ รีบเข้ามาให้ข้าดูตัวเถิด”
จวนซู่เฉิงโหวต่างกล่าวขอบพระทัยแล้วหยัดกายลุกขึ้น มู่ชิงอีก้าวช้าๆ เดินเข้าไปถึงได้เห็นองค์หญิงหมิงเวยที่นั่งถัดลงมาจากฮองเฮาคนแรก บางทีอาจเป็นเพราะวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ องค์หญิงหมิงเวยเลยไม่ได้สวมชุดคลุมยาวสีขาวเฉกเช่นปกติ แต่กลับสวมชุดสีม่วงอ่อนปักลายเถาวัลย์ดอกไม้ บนศีรษะปักปิ่นดอกจำปีสองอันไว้ ถึงแม้จะอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะทานเจและเข้าวัดเลยยิ่งขับให้นางดูสุขุมเยือกเย็นกว่าคนรอบข้าง
ครั้นเห็นมู่ชิงอีมองมาทางตน องค์หญิงหมิงเวยก็พยักหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้
ฮองเฮาดึงมู่ชิงอีมาตรงหน้าแล้วกวาดตามองนางพร้อมยิ้มอย่างแผ่วเบา “สมแล้วที่เป็นบุตรีของจวนซู่เฉิงโหว การวางตัวของเจ้าไม่เหมือนคนข้างกายเลย” ฮองเฮาไม่เอ่ยถึงรูปโฉมของมู่ชิงอีราวกับไม่รู้ว่านางใบหน้าเสียโฉมอย่างไรอย่างนั้น เพียงแค่กล่าวชื่นชมการวางตัวของนาง แม้จะพูดว่าสตรีนั้นให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ แต่หากลากมาคุยต่อหน้าทุกคนแล้วเอ่ยถึงเรื่องหน้าตาในเวลานี้ก็คงถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกันเท่าไร นางจึงพูดเพียงว่ามู่ชิงอีวางตัวดี เช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้มู่ชิงอีรู้สึกอึดอัดเพราะเรื่องเสียโฉม ยังฟังดูดีพอควรอีกด้วย ถึงแม้ฮองเฮาจะแปลกใจกับการกระทำของฮ่องเต้ แม้แต่จะบอกนางก่อนสักคำก็ไม่มีด้วยซ้ำ แต่ฮองเฮาก็ไม่นึกโกรธเลย ฮ่องเต้ทรงโปรดใครนางก็จะโปรดคนนั้นไปด้วย นี่เป็นกลยุทธ์ในการเป็นฮองเฮาของนางในตลอดหลายปีมานี้
เห็นฮองเฮาทรงตรัสชมเช่นนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ย่อมต้องชื่นชมไม่ขาดปากตามไปด้วย รีบพูดว่า “ฮองเฮาทรงสายตาหลักแหลม” ฮองเฮายิ้มเล็กน้อย เหลือบมองสามแม่ลูกและคนอื่นข้างกายมู่ฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับโหรวเฟยด้วยรอยยิ้มว่า “จวนซู่เฉิงโหวไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แม่นางสามคนนี้ก็มีหน้าตางดงามไม่แพ้กัน”
บัดนี้สีหน้าของมู่เฟยหลวนที่ควรจะสดใสร่าเริงกลับซีดขาวและอ่อนล้า เมื่อได้ยินที่ฮองเฮากล่าวเช่นนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาทรงชมเกินไปแล้วเพคะ”
เหล่าแม่นางจวนซู่เฉิงโหวไม่กี่คน รวมถึงมู่อวิ๋นหรงกลับแอบดีใจไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไร การได้ฟังคำตรัสชื่นชมจากฮองเฮาก็นับว่าเป็นเกียรติ หรงเฟยที่นั่งด้านข้างโหรวเฟยเหลือบมองสีหน้าเย็นชาแวบหนึ่งแล้วปิดปากยิ้มกล่าว “น้องหญิงก็ถ่อมตัวไปแล้ว ฮองเฮาทรงตรัสไม่ผิดเลย เหล่าแม่นางของจวนซู่เฉิงโหวโดดเด่นกว่าแม่นางตระกูลอื่นจริงๆ หากมิใช่เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานน้องหญิงเช่นนี้หรือ”
หรงเฟยมาจากตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่ปกป้องบ้านเมือง สถานะสูงส่งแล้วยังให้กำเนิดมู่หรงจ้าวองค์ชายเจ็ดอีกต่างหาก ก่อนที่มู่เฟยหลวนจะเข้าวังนับว่านางก็เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าหลายปีมานี้หลังจากโหรวเฟยเข้าวังมาจะแย่งความโปรดปรานจากตนไปซึ่งยังพอว่า แต่นางเพิ่งตั้งครรภ์ก็ออดอ้อนจนฝ่าบาททรงรับสั่งว่าหลังจากนางให้กำเนิดองค์ชายก็จะเลื่อนขั้นขึ้นให้เป็นกุ้ยเฟย เว่ยหว่านเอ๋อร์เข้าวังมาหลังจากฝ่าบาทสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ไม่นาน แต่จนกระทั่งบุตรชายของตนใกล้อภิเษกแล้วยังไม่เคยได้รับความโปรดปรานเช่นนี้จากฝ่าบาทมาก่อนเลย เวลานี้ในสายตาของหรงเฟย มู่เฟยหลวนกลายเป็นดั่งนังจิ้งจอกไปแล้ว
ครั้นเห็นนัยน์ตาของหรงเฟยฉายแววไม่พอใจ มู่เฟยหลวนก็นัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง แต่ติดที่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่สามารถแสดงความเกรี้ยวโกรธได้ จากนั้นมู่เฟยหลวนก็ยกมือขึ้นมาลูบท้องตนเบาๆ ราวกับไม่ใส่ใจตอกกลับสีหน้าท้าทายของหรงเฟย ก้มศีรษะแล้วยิ้มกล่าวแฝงด้วยความเย้ยหยัน “หรงเฟยก็ชมเกินไปเพคะ พี่หญิงต่างหากที่เป็นดั่งดอกไม้แย้มบานงดงามเหนือใครมากกว่า”
น่าเสียดายที่แก่จนเหี่ยวไปหมดแล้วก็เท่านั้น
หรงเฟยชะงักไปแต่ไม่นานก็ได้สติว่ามู่เฟยหลวนกำลังเยาะเย้ยตนอยู่ แววตามีอารมณ์โกรธเคืองพาดผ่าน นางแค่นเสียงเย็นแต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ฮองเฮามองพวกนางอย่างเหนื่อยหน่าย ฮองเฮาไม่ได้เป็นที่โปรดปรานและไม่ได้ให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาแก่พระองค์ ถึงแม้เรื่องในวังหลวงจะถือว่าทรงให้เกียรตินาง แต่ถ้าต้องคุมพวกพระสนมเหล่านี้ของฮ่องเต้ ฮองเฮากลับไม่ได้มีความมั่นใจสักเท่าไร ในเมื่อใครๆ ต่างก็รู้อิทธิฤทธิ์ของมารยาร้อยเล่มเกวียนของเหล่าสตรี ถ้าเกิดไปล่วงเกินพระสนมคนโปรดคนใดเข้าแล้วนางพูดให้ร้ายตนต่อหน้าฮ่องเต้ ฮองเฮาที่มาจากตระกูลธรรมดาไร้ทายาทและไม่ได้เป็นที่โปรดปราน เกรงว่าแม้แต่ใครสักคนจะช่วยตนพูดก็คงหาไม่เจอ
“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็พูดให้น้อยๆ ลงหน่อย ยังมีใครอีกหลายคนอยู่ตรงนี้” ฮองเฮายิ้มกล่าวเสียงเรียบ จากนั้นก็ดึงตัวมู่ชิงอีมาพูดคุย “ฉังหนิงจวิ้นจู่มานั่งข้างข้าเถิด”
มู่ชิงอีรีบเอ่ยว่า “มิบังอาจเพคะ”
ตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นพอแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นใช้สายตาจับจ้องมาที่ตนเพียงคนเดียวตลอดทั้งวัน
องค์หญิงหมิงเวยยิ้มเอ่ย “เสด็จแม่ ท่านกำลังทำให้ฉังหนิงจวิ้นจู่ทำตัวไม่ถูกแล้วเพคะ ให้นางมานั่งกับหม่อมฉันเถิด ครั้งก่อนหม่อมฉันอยากคุยกับจวิ้นจู่อยู่พอดี” ความจริงแล้วหากพูดกันเรื่องอายุ องค์หญิงหมิงเวยไม่ได้อายุห่างจากฮองเฮามากนัก แต่ในเมื่อทรงเป็นฮองเฮาก็ถือว่าเป็นแม่ใหญ่ของเหล่าองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆ อย่าว่าแต่องค์หญิงหมิงเวยเลยเพราะแม้แต่พระชายาฝูที่อายุมากกว่าฮองเฮาสองปียังต้องเรียกนางว่าเสด็จแม่ด้วยซ้ำ
ฮองเฮานิ่งไป มองมู่ชิงอีที่ยังคงยืนอยู่อย่างกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ “ข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง จวิ้นจู่ไปนั่งคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่เถิด”
มู่ชิงอีย่อมรู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่ก็ทำความเคารพอย่างอ่อนช้อยให้ฮองเฮาแล้วยิ้มเอ่ย “ขอบพระทัยฮองเฮา ชิงอีเองก็เลื่อมใสในตัวองค์หญิงมากเช่นกัน กำลังคิดอยากขอให้องค์หญิงช่วยชี้แนะหม่อมฉันอยู่พอดีเพคะ” องค์หญิงหมิงเวยลากนางมานั่งข้างตนแล้วยิ้มกล่าว “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าช่างพูดเป็นนัก ข้าได้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจเหลือเกิน”
บรรดาสตรีของพวกขุนนางทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็อดกัดปากในใจด้วยความแปลกใจไม่ได้ ต้องรู้ก่อนว่า หลังจากท่านราชบุตรเขยสิ้นชีพในศึกสงคราม องค์หญิงหมิงเวยก็ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยครั้งมาก ต่อให้เป็นงานเลี้ยงในวังใดๆ ที่จำเป็นต้องออกงานในหลายๆ ครั้งนางก็มักนั่งคนเดียว ไม่ว่าใครจะพยายามเข้าไปพูดคุยด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าเหมือนกับฮ่องเต้แคว้นหวาจะละอายใจต่อพระธิดาผู้นี้จึงโปรดปรานรักใคร่นางมาก คิดไม่ถึงว่าคนที่มักปฏิเสธไม่ให้ใครเข้าใกล้มาตลอดอย่างองค์หญิงหมิงเวยกลับเมตตามู่ชิงอีบุตรีของภรรยาเอกจวนซู่เฉิงโหวที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ด้วยพระองค์เองขนาดนี้
มู่ชิงอี…ที่ใบหน้าเสียโฉมไปแล้วผู้นี้ ตกลงแล้วนางมีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ
คนพวกนี้ไม่รู้แต่มู่ชิงอีกลับรู้ พอองค์หญิงหมิงเวยลากนางมานั่งก็เปิดปากถามประโยคแรกว่า “เครื่องหอมกั๋วเซ่อนั่นเจ้ายังมีอยู่อีกหรือไม่” ได้ยินเช่นนั้นมู่ชิงอีก็อดยิ้มบางไม่ได้ ตอนแรกที่นางทำเครื่องหอมกั๋วเซ่อก็เพื่อใช้ตัวองค์หญิงหมิงเวยมาขจัดความสงสัยในตัวนางเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงหมิงเวยจะเกิดโปรดปรานเครื่องหอมของตนขึ้นมาจริงๆ นางอมยิ้มกล่าวอย่างรู้สึกผิด “มีอยู่หรอกเพคะ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอองค์หญิงในวังเลยไม่ได้เอามาด้วย ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะให้คนเอาไปส่งให้องค์หญิงที่…” มู่ชิงอีไม่แน่ใจว่าควรจะเอาไปส่งให้ที่วัดเป้ากั๋วหรือพระตำหนักขององค์หญิงดี
องค์หญิงหมิงเวยยิ้มแผ่วเบา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าส่งคนไปเอาเองก็ได้แล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลังจากที่ข้าใช้อันที่เจ้าให้หมดแล้ว พอกลับไปใช้อันก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่ากลิ่นไม่ถูกใจเอาเสียเลย เมื่อก่อนข้ามักยกตนว่าเข้าใจเรื่องเครื่องหอมอย่างดีเยี่ยม แต่พอเปรียบกับเจ้าแล้วจึงรู้ว่าข้าต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง”
องค์หญิงหมิงเวยไม่ได้เป็นคนนิสัยโอ้อวดโผงผางเหมือนคนในราชนิกุลคนอื่นๆ เลยทำให้มู่ชิงอีรู้สึกดีกับนางไม่น้อย เสียดายที่นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่สร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้แคว้นหวา มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าพวกนางสองคนอาจจะเป็นสหายรู้ใจกันได้จริงๆ อีกอย่างหลังจากผ่านการทรยศจากจูหมิงเยียนมา ภายในใจของมู่ชิงอีจึงไม่อยากใช้สถานะของสหายรู้ใจไปหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง