หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 146 ชีวิตเราเหมือนดั่งละครที่ต้องอาศัยทักษะการแสดง (3)
หลังจากให้เหล่านางในเอาของว่างมาให้แล้วทั้งสี่คนก็นั่งดื่มชาพูดคุยสัพเพเหระกัน องค์หญิงไหวหยางยังคงอ่อนหวานเอาใจเก่งเฉกเช่นเคย แต่มู่ชิงอีเคยได้ยินหรงจิ่นเปรยถึงมาก่อนจึงย่อมรู้ว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่ได้ใสซื่อเช่นนี้จริงๆ ทว่าหย่งจยาจวิ้นจู่กลับฟุบตัวบนโต๊ะจับจ้องใบหน้าของมู่ชิงอีอย่างใคร่รู้
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “จวิ้นจู่กำลังมองอันใดอยู่หรือ”
หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ย “มองใบหน้าของเจ้าอย่างไรเล่า” หากเป็นคนอื่น ต่อให้จะใคร่รู้ใคร่เห็นใบหน้าของมู่ชิงอีจริงๆ ก็ไม่มีทางพูดออกมาต่อหน้านางแน่นอน แต่หย่งจยาจวิ้นจู่กลับไม่ใช่คนเช่นนั้น นางเอาแต่จับจ้องมู่ชิงอีแล้วเอ่ยด้วยความเศร้าใจว่า “ช่างน่าเสียดายนัก ครั้งก่อนข้าไม่ได้สนใจเจ้า ข้าได้ยินมาว่าจวนซู่เฉิงโหวของพวกเจ้ามีแต่คนใบหน้างดงาม”
“หย่งจยาจวิ้นจู่…” องค์หญิงไหวหยางเอ่ยเตือนเสียงเบา เอ่ยเรื่องความงามอะไรทำนองนั้นต่อหน้าหญิงสาวที่ใบหน้าเสียโฉมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องสมควรหรือ
หย่งจยาจวิ้นจู่โบกมือไปมาแล้วเท้าคางมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าว่าฉังหนิงจวิ้นจู่ไม่สนใจเรื่องนี้กระมัง ข้าถามเช่นนี้ต่อหน้ายังดีกว่าพวกที่แอบซุบซิบกันเองเยอะเลยใช่ไหมเล่า”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “จวิ้นจู่พูดถูกแล้ว ถึงแม้รูปโฉมจะเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็ใช่ว่าขาดมันไปแล้วจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้สักหน่อย” หากใบหน้าของนางเสียโฉมแล้วจริงๆ บางทีนางอาจจะรู้สึกแย่อยู่บ้างแต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นมู่ชิงอีคิดว่ารูปลักษณ์หน้าตาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด หากมีใบหน้างดงามสะสวยย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีก็จะไม่ร้องขอวิงวอนอะไร หากเทียบกับหย่งจยาจวิ้นจู่ที่เอ่ยถามตรงๆ โดยไม่ได้แฝงเจตนาอะไรเช่นนี้ มู่ชิงอีเกลียดพวกที่ต่อหน้าไม่พูดแต่กลับเอาไปนินทาลับหลังหรือทำหน้าสงสารพูดปลอบใจนางเช่นนั้นมากกว่าเสียอีก
องค์หญิงไหวหยางยิ้มน้อยๆ กล่าว “ฉังหนิงจวิ้นจู่คิดได้ดีจริงๆ หากเป็นข้า…เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่” ขณะที่พูดไป องค์หญิงไหวหยางก็อดลูบไล้แก้มเนียนละเอียดของตนไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านางพอใจกับหน้าตาของตัวเองมาก
หย่งจยาจวิ้นจู่แค่นเสียงเบาอย่างไม่ใส่ใจว่า “แค่เสียโฉมก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วหรือ เช่นนั้นหากแก่ตัวไปคงฆ่าตัวตายเลยกระมัง” ถึงจะสวยดูดีแค่ไหนก็คงไม่ได้ดูอ่อนวัยไปตราบชั่วชีวิต
องค์หญิงไหวหยางไม่ได้โกรธเคืองอะไรแค่ปิดปากหัวเราะ “หย่งจยาจวิ้นจู่คงไม่เข้าใจ ถ้าอายุมากขึ้นย่อมเปลี่ยนความคิดไปตามวัยอยู่แล้ว แต่สตรีในช่วงวัยเยาว์มีใครไม่อยากหน้าตาสะสวยบ้างเล่า”
“หน้าตาสะสวยแล้วมีประโยชน์อันใด แม้แต่เว่ยอู๋จี้ยังชอบแม่นางขี้โรคคนนั้นแทนที่จะชอบองค์หญิงหมิงฮุ่ยเลยมิใช่หรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่กล่าว หย่งจยาจวิ้นจู่จากแคว้นเป่ยฮั่นที่คลุกตัวอยู่แต่กับความองอาจกล้าหาญของผู้ชายมาตั้งแต่วัยเยาว์กลับมิอาจชื่นชอบความงามอันบอบบางของเชียนหลิงได้ หากพูดกันเรื่องความงามแล้วองค์หญิงหมิงฮุ่ยยังใบหน้างดงามหมดจดกว่าแม่นางเชียงหลิงมากโข อีกอย่างหย่งจยาจวิ้นจู่เองก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง ลำพังแค่บุคลิกที่ดูเป็นเอกลักษณ์ไม่ได้มีผลอะไรต่อนางเลย ในสายตาของนางแล้วแม่นางเชียนหลิงคือหญิงขี้โรคคนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการทำงาน ลำพังแค่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หย่งจยาจวิ้นจู่ก็ชื่นชอบสตรีแบบองค์หญิงหมิงฮุ่ยมากกว่าแล้ว
องค์หญิงไหวหยางส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “จวิ้นจู่ยังไม่เข้าใจ บุรุษค่อนข้างชอบสตรีแบบแม่นางเชียนหลิงมากกว่า”
หย่งจยาจวิ้นจู่มุ่นคิ้ว “ขี้โรคอ่อนแอแบบนั้นมีอะไรดีกัน”
องค์หญิงหมิงเวยมองพวกนางทั้งสองถกเถียงเรื่องนี้กันไปมาก็อดอมยิ้มไม่ได้
หญิงสาวเบื้องหน้าอย่างองค์หญิงไหวหยางเป็นคนที่ภายนอกดูฉลาดรอบรู้มากมาย แต่ความจริงไม่ได้ฉลาดอย่างที่นางแสดงออกมานัก ส่วนหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างแท้จริง นางเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาและไร้ซึ่งเจตนาร้ายใดๆ ซึ่งหาได้ยากในเหล่าราชนิกูล ทว่ามู่ชิงอีที่แอบอมยิ้มภายใต้ผ้าปิดหน้ากลับต่างออกไป มีเรื่องมากมายที่นางรู้อยู่แก่ใจดีแต่กลับไม่แสดงออกมาดั่งสาวคมในฝักอย่างแท้จริง
พวกนางนั่งชมทิวทัศน์อยู่ในศาลาพูดคุยกันไปพลางสอดส่องความเคลื่อนไหวด้านล่างสวนดอกไม้เป็นระยะๆ ในขณะเดียวกันก็จับจ้องไปทางศาลารั่วหวาที่เว่ยอู๋จี้ไม่โผล่ออกมาสักทีซึ่งคาดว่าคงอยู่เป็นเพื่อนเชียนหลิงที่นั่น เว่ยอู๋จี้ไม่มีตำแหน่งในราชสำนักเลยไม่ต้องติดตามฮ่องเต้ออกไปบูชาฟ้าดิน แต่เขาก็ไม่ได้ไปทักทายเหล่าแขกคณะทูตที่พระตำหนักส่วนหน้าเช่นกัน ในทางกลับกันเขาเอาแต่อยู่เป็นเพื่อนคู่หมั้นที่ป่วยอยู่อย่างอดทน ช่างรักกันอย่างลึกซึ้งไม่น้อย
ขณะที่พวกนางสี่คนพูดคุยกันอย่างออกรสก็มีนางในเดินเข้ามากราบทูลว่า “กราบทูลองค์หญิงใหญ่ โหรวเฟยเชิญตัวฉังหนิงจวิ้นจู่ไปสนทนาด้วยเพคะ”
ได้ยินเช่นนั้นองค์หญิงหมิงเวยก็ขมวดคิ้วมองไปทางมู่ชิงอี เรื่องที่มู่ชิงอีไม่ถูกกับแม่เลี้ยงและบรรดาพี่น้องของมู่เฟยหลวนนั้นองค์หญิงหมิงเวยรู้มานานแล้ว เพราะเรื่องของมู่หลิงองค์หญิงหมิงเวยเลยไม่ค่อยชอบใจแม่ลูกสะใภ้ซุนนัก นางย่อมกังวลว่าโหรวเฟยจะจงใจทำให้มู่ชิงอีลำบากใจ มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูดขึ้น “องค์หญิงอย่าได้กังวลไปเลย ประเดี๋ยวชิงอีก็กลับมาแล้วเพคะ”
องค์หญิงหมิงเวยถอนหายใจเบาๆ แล้วดึงมือของมู่ชิงอีมากุมไว้ “โหรวเฟยไม่ธรรมดา เจ้าต้องระวังให้มาก ไม่เช่นนั้น…ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ขอบพระทัยในความหวังดีขององค์หญิงเพคะ แต่ในเมื่อโหรวเฟยเป็นพี่สาวของชิงอีคงไม่ยอมปล่อยให้ชิงอีเป็นอะไรไปในตำหนักของนางกระมัง คาดว่าคงเรียกหม่อมฉันไปเข้าเฝ้าเพื่อตรัสถามไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
องค์หญิงหมิงเวยเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “ที่เจ้าพูดก็ถูก เช่นนั้นก็ไปเถิด” ถึงจะกล่าวเช่นนี้ แต่องค์หญิงหมิงเวยก็ยังรับสั่งให้นางในที่คอยประกบติดตามรับใช้นางไปเป็นเพื่อนมู่ชิงอีอยู่ดี ในฐานะที่องค์หญิงหมิงเวยเป็นพระธิดาคนโตของฮ่องเต้แคว้นหวา ถึงนางจะไม่ได้เป็นบุตรีของพระชายาเอกแต่เมื่อเทียบกับองค์หญิงคนอื่นแล้วกลับได้รับการโปรดปรานที่แตกต่างเป็นพิเศษ ต่อให้โหรวเฟยจะเป็นที่โปรดปรานมากเท่าใดก็ยังไม่กล้าหาเรื่องด้วย
ในพระตำหนักหวาหยางมู่หรงเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดพลางลูบท้องเบาๆ เป็นครั้งคราว ด้านล่างมีมู่ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ซุน มู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงนั่งเรียงกันตามลำดับ ทว่ามู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนกลับยืนอยู่ด้านหลังมู่ฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมทุบไหล่ให้นางเบาๆ
มู่ชิงอีเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พลางเหลือบมองสตรีด้านบนที่อยู่ในชุดตำแหน่งพระสนมของราชสำนักสีเหลืองอมส้มปักลายปักษาห้าตัวแวบหนึ่ง ผมถูกเกล้าขึ้นสูงพร้อมปักปิ่นดอกโบตั๋นสีแดงอ่อน ตรงกลางมวยผมปักปิ่นหงส์รำแพนหนึ่งอัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับหงส์รำแพนสีทองอร่ามเก้าหางอันสง่างามสูงส่งของฮองเฮาที่ดูประณีตชดช้อยกว่าแล้ว จึงชวนให้ดูขาดความสูงศักดิ์และความเย่อหยิ่งของพญาหงส์ลดลงไปบ้าง เดิมทีมู่เฟยหลวนเป็นหญิงงามอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังรู้ดีว่าจะแสดงความงามของตนเช่นไร ถึงแม้ตอนนี้นางจะตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้วแต่กลับไม่ได้ทำลายบุคลิกความอ่อนโยนที่แฝงความเจ้าเสน่ห์ของนางได้เลย ไม่น่าแปลกใจที่หลายปีมานี้ฝ่าบาทถึงเอาแต่โปรดปรานนางมาโดยตลอด
ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินเข้ามา นัยน์ตาของมู่เฟยหลวนก็เผยความซับซ้อนเป็นประกายพาดผ่าน ยังคงมีความชิงชังและริษยาเฉกเช่นเคย
“ชิงอีถวายพระพรโหรวเฟยเพคะ” มู่ชิงอียิ้มพร้อมเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“ลุกขึ้นเถิด” โหรวเฟยมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
มู่ชิงอีลุกขึ้นยืน ครั้นเห็นว่าโหรวเฟยไม่ได้บอกให้ตนไปนั่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะตนเองก็ไม่ได้อยากนั่งคุยเรื่องไร้สาระกับพวกนางให้เสียเวลาอยู่ที่นี่เช่นกัน จึงเปิดปากเอ่ยถามตรงๆ ไปว่า “ไม่รู้ว่าโหรวเฟยเรียกเข้าเฝ้ามีเรื่องอันใดรับสั่งหรือเพคะ”
โหรวเฟยกวาดตาสำรวจนางด้วยท่าทีจริงจังอยู่นาน ฉับพลันก็ยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหญิงสี่ พูดอะไรของเจ้ากัน พวกเราเป็นพี่น้องข้าเชิญเจ้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าไม่ได้เลยหรือ พูดถึงแล้วตั้งแต่ข้าเข้าวังมาพวกเราก็ไม่ได้เจอกันเลย”