หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 179 ยอมรับตัวตน เนี่ยอวิ๋นผู้โชคร้าย (1)
อิ๋งเอ๋อร์เลิกคิ้วเอ่ย “ท่านพ่อของข้าคิดว่าสถานะของเชียนหลิงน่าจะมีความเป็นไปได้สามข้อ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว นางเชื่อในความสามารถของเฝิงจื่อสุ่ย ย่อมต้องอยากลองฟังความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว อิ๋งเอ๋อร์กล่าว “ท่านพ่อบอกว่าจากท่าทีและพฤติกรรมที่แม่นางเชียนหลิงแสดงออกมา ข้อแรกนางอาจมาจากหอนางโลม ข้อที่สองนางอาจมาจากตระกูลบ่าวรับใช้ ข้อที่สามนางอาจเป็นสายลับที่ถูกฝึกฝนมาโดยเฉพาะ”
มู่ชิงอีตกใจอยู่บ้าง หากกล่าวว่าเชียนหลิงมาจากหอนางโลมถึงแม้จะดูไม่น่ามีความเป็นไปได้ทว่าท่าทีกลับเหมือนไม่น้อย แต่นางแปลกใจนักว่าเฝิ่งจื่อสุ่ยได้ข้อสรุปบ่าวรับใช้กับสายลับมาได้เช่นไร โดยเฉพาะสายลับ หากเชียนหลิงเป็นสายลับคนหนึ่งขึ้นมาจริงๆ คงตกเป็นเป้าสายตาของคนไม่น้อย
ครั้นเห็นท่าทีตกใจของมู่ชิงอี อิ๋งเอ๋อร์ก็ยิ้มเอ่ย “คุณหนูเองก็รู้สึกตกใจหรือ อิ๋งเอ๋อร์เองยังรู้สึกแปลกๆ เลย แต่ท่านพ่อบอกว่าสายลับมักชอบทำตัวไม่เตะตาคนนักหรืออาจเป็นคนที่มีทักษะความสามารถพิเศษซ่อนอยู่ในตัว บางทีเชียนหลิง…อาจเป็นสายลับที่ทางวังส่งตัวมาก็ได้เช่นกัน ท่านพ่อบอกว่าคุณชายเว่ยไม่ใช่คนที่จะเข้าใกล้ได้ง่ายๆ คนหนึ่งเลย คนที่พอจะทำให้เขาเอาใจรักใคร่ได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ได้อยู่ด้วยกันมาเป็นแปดปีสิบปีคงทำได้ยาก อีกอย่างรูปโฉมของเชียนหลิงเองก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ถึงเรื่องมารยาทจะถือว่าผ่านเกณฑ์แต่ว่าท่วงท่าการวางตัวกลับแฝงความเป็นชนชั้นต่ำอยู่บ้างจึงเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เกิดจากตระกูลสูงส่ง หากเป็นสายลับที่ส่งมาตามประกบคุณชายเว่ยคงไม่น่าพลาดจุดนี้ได้ ในเมื่อคุณชายเว่ยเป็นบุรุษที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง ตามหลักการแล้วเขาเองก็น่าจะชอบสตรีที่หน้าตาสะสวยโดดเด่นไม่แพ้ใครเช่นกัน เหตุที่เลือกเชียนหลิงมีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขานั้นโตมาด้วยกัน”
อู๋ชินมองมู่ชิงอีและอิ๋งเอ๋อร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเผยร่องรอยความตกใจบนใบหน้า เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ความจริงแล้วเชียนหลิงก็คือสาวรับใช้ติดตามของคุณชายเว่ย”
“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยท่าทีตกตะลึง
อู๋ซินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “องค์ชายเก้ากับคุณชายเว่ยมีความแค้นต่อกัน”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว คนที่เข้าใจตัวเองได้ดีที่สุดก็คือศัตรูของตัวเองแล้วกระมัง
อู๋ซินเอ่ย “ได้ยินมาว่าเชียนหลิงติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเว่ยมาสิบห้าปีแล้ว ยามลำบากที่สุดก็มีนางอยู่เคียงข้างคุณชายเว่ยเดินข้ามอุปสรรค์มาด้วยกัน อีกอย่างเมื่อสี่ปีก่อนเชียนหลิงเอาตัวเข้าไปขวางรับคมดาบแทนคุณชายเว่ย ดังนั้นสุขภาพของนางถึงได้ย่ำแย่เช่นนี้”
“หรงจิ่นกำลังตามสืบเรื่องของเว่ยอู๋จี้หรือ” ไม่เช่นนั้นจะรู้เรื่องราวชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร
“เอ๊ะ เช่นนั้นเชียนหลิงอายุเท่าไรแล้วล่ะ” ติดตามเว่ยอู๋จี้มาสิบห้าปี? หรือว่านางเพิ่งเกิดมาได้ไม่นานก็ติดตามดูแลเว่ยอู๋จี้แล้วอย่างนั้นหรือ อิ๋งเอ๋อร์จินตนาการไปไกลแล้ว
เว่ยอู๋จี้มองค้อนนางไปทีแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เพราะดาบเล่มนั้นเป็นฝีมือขององค์ชายเก้า” เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงตอบว่า “ยี่สิบสามปี”
“แก่ขนาดนั้นเชียว” อิ๋งเอ๋อร์ตกใจไม่น้อย เชียนหลิงดูบอบบางอ่อนแอเสียขนาดนั้น มองดูแล้วนึกว่ามากสุดคงอายุสิบแปดเสียอีก
มู่ชิงอีเองก็ตะลึงไปเช่นกัน ที่แท้หรงจิ่นก็มีความแค้นกับเว่ยอู๋จี้มานานแล้วหรือ แต่ดูท่าทางเว่ยอู๋จี้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดกับหรงจิ่นเลยนี่นา อวิ๋นอิ่นน่าจะผูกปมแค้นนี้มากกว่า
มู่ชิงอีใคร่ครวญดูแล้วถึงเอ่ยว่า “เรื่องสถานะของเชียนหลิงอย่าเพิ่งสืบต่อ อย่าทำให้เว่ยอู๋จี้แตกตื่นเลยจะดีกว่า”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนู คุณชายใหญ่อยากพบคุณหนูเจ้าค่ะ”
มือที่ถือแก้วชาของมู่ชิงอีชะงักลง นางเงียบไปสักพักถึงพยักหน้ากล่าว “ข้ารู้แล้ว”
“พี่ใหญ่”
หลังสวนของจวนฉิน มู่ชิงอีที่มีสีหน้าสับสนมองบุรุษในชุดสีขาวที่กำลังนั่งพลิกม้วนกระดาษในมือด้วยสีหน้าสงบภายใต้ร่มเงาไม้
มือที่ถือม้วนกระดาษของกู้ซิ่วถิงชะงักไป เขาเงียบไปชั่วขณะถึงค่อยๆ หมุนตัวหันมามองสาวน้อยในคราบชุดบุรุษสีขาวที่หล่อเหลาตรงหน้า ทันใดนั้นพวกเขาสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบโดยไม่มีใครพูดอะไร
ผ่านไปเนิ่นนานกู้ซิ่วถิงถึงลุกขึ้นเดินมาตรงหน้ามู่ชิงอี จากนั้นก็ยื่นมือยกดวงหน้าเล็กของนางขึ้นเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจนักว่า “เกอร์เอ๋อร์”
“พี่ใหญ่”น้ำตาพรั่งพรูไหลเป็นสายอาบใบหน้างดงามของนาง มู่ชิงอีมองกู้ซิ่วถิงแน่นิ่งราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยากจะเอื้อนเอ่ยและหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม เวลานี้ตนพูดอะไรไม่ออกจึงทำได้แค่เรียกเขาเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่”
“เป็น…เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” เสียงของกู้ซิ่วถิงเองก็ปนสะอื้นและเจือความตื่นเต้นไว้เช่นกัน นับตั้งแต่ตนเดาตัวตนที่แท้จริงของมู่ชิงอีออก เขาก็เริ่มตกอยู่ในห้วงของความลังเลและความขัดแย้งอย่างน่าประหลาด บางครั้งเขายังนึกกลัวว่าหากทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่ตนจินตนาการขึ้น ชิงอีเป็นเพียงชิงอีแต่ไม่ใช่น้องสาวของตนจะทำเช่นไร บางครั้งเขากังวลจนนึกหวาดกลัวมากกว่าเดิมว่าหากเป็นอวิ๋นเกอขึ้นมาจริงๆ นางจะโทษที่พี่ชายอย่างเขาไม่ได้ปกป้องนางให้ดีจนนางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เดิมทีคนอายุน้อยอย่างนางไม่มีทางคาดถึงหรือเปล่า จนกระทั่งเวลานี้หินก้อนนั้นในหัวใจของเขาถึงดิ่งลงพื้นพร้อมอดผุดรอยยิ้มโล่งใจออกมาไม่ได้
กู้ซิ่วถิงยื่นมือรั้งตัวน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด “เกอเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วช่างดีจริงๆ” ใช่แล้ว เกอร์เอ๋อร์ของเขา น้องสาวเพียงคนเดียวของเขา นางจะตำหนิเขาได้เช่นใดกัน ถึงแม้พี่ชายอย่างเขาจะไร้ความสามารถแต่เขารู้ว่าเกอร์เอ๋อร์ของเขาไม่มีทางตำหนิเขาแน่นอน ถึงแม้เขาจะรู้สึกผิดกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องคนเล็กอยู่บ้าง แต่เวลานี้กู้ซิ่วถิงแค่อยากฉีกยิ้มกว้างเท่านั้น น้องสาวเพียงคนเดียวของเขา วินาทีที่เห็นเกอร์เอ๋อร์ตายอย่างน่าอนาถ เขาก็ปรารถนาให้ตนหรือกระทั่งดวงวิญญาณตนหลุดพ้นจากโลกใบนี้ไปเสีย แต่เพราะเบื้องบนเห็นอกเห็นใจ น้องสาวของเขาถึงได้กลับมาอีกครั้ง
“พี่ใหญ่” ในที่สุดมู่ชิงอีก็ทนไม่ไหว ดึงสาบคอเสื้อของพี่ใหญ่ไว้พลางร้องไห้ราวกับเด็กที่หวาดกลัวจนขวัญเสียก็มิปาน ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบแปดปีเท่านั้น หลังจากตระกูลกู้ถูกทำลายและถูกบีบบังคับให้เข้าไปอยู่ในหอนางโลมชุ่ยหงซึ่งตอนนั้นนางยังอายุไม่ถึงสิบห้าปีดีเสียด้วยซ้ำ แต่สภาพแวดล้อมที่สกปรกมีคนดีเลวปะปนกันอยู่มากมายเช่นนั้น นางกลับทำได้เพียงกลั้นใจอดทนและปกป้องตนเองอย่างระมัดระวัง ครั้นได้ยินข่าวว่าพี่ใหญ่จากโลกนี้ไปแล้วนางกลับร้องไห้ไม่ออก คิดแค่อยากลอบสังหารมู่หรงอานแล้วฆ่าตัวตายเสีย แต่อย่างไรก็ตามหลังจากถูกเพลิงไฟแผดเผามาเช่นนั้นแต่กลับมีชีวิตรอดมาได้ นางมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะหลุดพ้น นางต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เคยทำร้ายตระกูลกู้และฆ่าพี่ใหญ่ซึ่งต้องวางแผนอย่างระแวดระวังยิ่งกว่าตอนอยู่ในหอนางโลมเสียอีก นางทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะออกมาอย่างสบายใจราวกับทุกอย่างเป็นเพียงความทรงจำของภพก่อนไปแล้ว
“พี่ใหญ่…พี่ใหญ่…” มู่ชิงอีพิงกายอยู่ในอ้อมอกของกู้ซิ่วถิงพลางระบายความเศร้าและความเจ็บปวดในใจออกมาจนหมด
กู้ซิ่วถิงโอบนางไว้โดยไม่นึกรำคาญใจแม้แต่น้อย แล้วเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่อยู่นี่แล้ว…เกอเอ๋อร์…ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
เดิมทีนึกว่าการยอมรับตัวตนของสองพี่น้องคงเผชิญหน้ากันได้ยาก แต่ฉากร้องไห้นี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องง่ายดายไปโดยปริยาย รอกระทั่งมู่ชิงอีค้นพบว่าตนร้องไห้จนซึมเปียกเสื้อผ้าของกู้ซิ่วถิงเป็นวงกว้างแล้วถึงรีบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอีก เพียงแต่ดวงตาคู่งามสองข้างกลับน้ำตาเอ่อล้นจนขับให้ดูสุกใสยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังร้องไห้จนเบ้าตาบวมเป่งไปหมดแล้ว
มู่ชิงอีก้มหน้าอย่างเก้อเขิน “พี่ใหญ่…” นับว่านางมีชีวิตมาสองภพชาติแล้ว รวมทั้งสองภพชาติเข้าด้วยกันนางยังไม่เคยทำตัวน่าอับอายต่อหน้าพี่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย
กู้ซิ่วถิงอมยิ้มแล้วดึงตัวน้องสาวมานั่ง ยิ้มกล่าว “เกอร์เอ๋อร์จะเขินไปทำไมกัน ตอนเด็กๆ เจ้าร้องไห้ดีดดิ้นอยู่บนเตียง ข้ายังเคยเห็นมาแล้วเลย”
“พี่ใหญ่!” มู่ชิงอีอับอายจนนึกโกรธขึ้นมาเลยขึงตาใส่กู้ซิ่วถิงไปหนึ่งที