หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 180 ยอมรับตัวตน เนี่ยอวิ๋นผู้โชคร้าย (2)
กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้อย่างจนใจ “ก็ได้ๆ…พี่ใหญ่ล้อเล่น”
ครั้นภายในสวนเงียบสงบ บรรยากาศก็พลอยเงียบเชียบลงไปด้วย มู่ชิงอีมองบุรุษรูปงามตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ ได้เจอท่านอีกครั้งช่างดีนัก” กู้ซิ่วถิงผ่อนลมหายใจเสียงเบากล่าว “พี่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าชั่วชีวิตนี้จะได้เจอเกอเอ๋อร์อีก”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มให้พี่ใหญ่ผู้หล่อเหลาเฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อน “พี่ใหญ่ เรียกข้าว่าชิงอีเถิด หากเกิดทำคนอื่นตกใจเข้าคงไม่เป็นการดีนัก” บนโลกนี้นอกจากพี่ใหญ่แล้ว คนอื่นล้วนเป็นคนนอก เรื่องที่นางตายแล้วฟื้นคืนชีพมาใหม่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ ขอแค่พี่ใหญ่รู้ว่านางเป็นใครก็เพียงพอแล้ว แน่นอน…รวมถึงเจ้าบ้าบางคนที่คิดว่าตนเองฉลาดนั่นด้วย! พอนึกถึงว่าวันนั้นมีใครบางคนแสดงท่าที ‘ร้องขอความรัก’ อย่างยากที่จะเข้าใจได้เช่นนั้นจากนาง ใบหน้าที่กำลังอมยิ้มของมู่ชิงอีก็บูดบึ้งขึ้นมาทันที
“มู่ชิงอีเป็นอันใดไปหรือ” กู้ซิ่วถิงมองเห็นสีหน้าแปลกๆ ของมู่ชิงอีก็ประหลาดใจเลยเอ่ยถามขึ้นมา
มู่ชิงอีรีบโยนใครบางคนในสมองทิ้งแล้วส่ายศีรษะกล่าว “เปล่าเจ้าค่ะ พี่ใหญ่…หลังจากนี้วางแผนจะทำอย่างไรต่อ” กู้ซิ่วถิงยิ้มบางกล่าว “ชิงอีอยากทำอะไร พี่ใหญ่ก็จะช่วยเจ้าทุกอย่างเลย”
มู่ชิงอีเงียบไป นางเข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ดี นางไม่ได้อยากทวงทรัพย์สมบัติและอำนาจที่ท่านปู่ทิ้งไว้ของตระกูลกู้กลับมาและไม่ได้คิดจะสร้างตระกูลกู้ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากคุยกับเฝิงจื่อสุ่ยแล้ว หลายวันมานี้มู่ชิงอีก็คิดมากไม่น้อย พี่ใหญ่แบกรับความลำบากมามากพอแล้ว เกียรติยศในการสร้างตระกูลกู้ขึ้นมาใหม่ไม่สำคัญเท่าพี่ใหญ่กลับมา พี่ใหญ่อยากใช้ชีวิตต่อไปเช่นใดถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ขอแค่นางกับพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลกู้ก็ยังคงดำรงอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นมู่ชิงอีเงียบไป กู้ซิ่วถิงก็ยกมือขึ้นสยายเส้นผมของนางอย่างเบามือแล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “พี่ใหญ่รู้…ว่าแต่ไหนแต่ไรมาพี่ใหญ่ไม่ได้มีปณิธานยิ่งใหญ่อะไรนัก ตอนนั้นเป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องคนโตของเจ้าเลย…”
“ชิงอีเข้าใจเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีเอ่ยพลางพยักหน้าขึ้นลงซ้ำๆ พี่ใหญ่เป็นคนสบายๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับใครมาตั้งแต่เด็ก เขายอมไขว่คว้าต่อสู้เพื่อความสงบของขุนเขาธรรมชาติมากกว่าอยู่ในราชสำนักเสียอีก หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในรุ่นลูกหลานล่ะก็ บางทีพี่ใหญ่คงไม่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางเคอจวี่แต่อยู่สบายๆ อย่างมีอิสระท่องเที่ยวผจญภัยทั่วใต้หล้าไปแล้ว
กู้ซิ่วถิงยิ้มบาง หว่างคิ้วปรากฏความเหนื่อยหน่ายอ่อนล้าเต็มที ทว่าปลายคิ้วและมุมปากกลับผุดความเย็นชาออกมา “แต่ว่า…ความแค้นของตระกูลกู้เช่นไรก็ต้องเอาคืน ชิงอีอยากทำอะไรก็บอกพี่ใหญ่มา พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าเอง”
มู่ชิงอีพิงกายในอ้อมอกของกู้ซิ่วถิงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เหมือนจูหมิงเยียนอย่างนั้นหรือ”
ครั้นกู้ซิ่วถิงก้มหน้ามองนางที่กำลังมองตนตาปริบๆ เช่นกันก็ยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ชิงอีคิดว่าให้นางตายเร็วเกินไปหรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพยักหน้า เดิมทีนางไม่ได้อยากให้จูหมิงเยียนตายเร็วขนาดนี้ แต่นางก็เข้าใจในเจตนาของพี่ใหญ่ “ข้าเข้าใจเจตนาของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่อยากให้จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเกิดความขัดแย้งกับจวนกงอ๋อง”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้ากล่าว “ใช่ จูหมิงเยียนรู้เรื่องของมู่หรงอวี้ไม่น้อย ทันทีที่นางตายมู่หรงอวี้ย่อมสบายใจขึ้นมาก ทว่าจูเปี้ยนกลับเกิดความแค้นในใจมากกว่าเดิม อีกอย่าง…จูหมิงเยียนยังบอกเรื่องสำคัญมากกับข้าอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
“เรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีหยัดตัวนั่งตรง พี่ใหญ่บอกว่าสำคัญ เช่นนั้นย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่นอน
กู้ซิ่วถิงเอ่ยเสียงขรึม “อาหญิง…ถูกจูอวิ๋นผินฆ่าตาย”
“อะไรนะ” มู่ชิงอีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ อาหญิงก็คือมารดาของมู่หรงซีหรือก็คือกู้ฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อราวๆ สิบเอ็ดสิบสองปีก่อน ถึงแม้ตอนนั้นจูอวิ๋นผินจะให้กำเนิดองค์ชายสองพระองค์แล้วแต่กลับเป็นพระสนมที่ไม่ค่อยได้ความโปรดปรานสักเท่าไร ช่วงระยะเวลาที่อาหญิงสิ้นใจ ตอนนั้นพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไม่น้อย หลังจากนั้นมู่หรงอวี้ถึงค่อยๆ สนิทสนมกับลูกพี่ลูกน้องชายและพลอยรู้จักสนิทสนมกับคนตระกูลกู้ไปด้วย แต่ว่าในเวลานั้นจูอวิ๋นผินมีความสามารถใดกันถึงสามารถลอบสังหารฮองเฮาในวังหลังได้
กู้ซิ่วถิงเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ระหว่างอาหญิงกับจูอวิ๋นผินก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร อีกอย่างตั้งแต่อวิ๋นผินเข้าวังมาก็สงบเสงี่ยมไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใครทั้งนั้น อาหญิงไม่ทันระมัดระวังนางก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน เรื่องนี้ประเดี๋ยวพี่ใหญ่จะไปหารือกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้อง ให้เขาคิดหาวิธีตามสืบดู เพราะเรื่องในวังเขาสะดวกกว่าพี่ใหญ่มาก”
มู่ชิงอีชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “พี่ใหญ่ คิดจะเปิดเผยตัวกับเขาอย่างนั้นหรือ หลายปีมานี้เขาถูกคนคอยจับตาดูอยู่ตลอด แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นหวายังไม่ไว้วางใจในตัวเขาเลย เกรงว่าเขาเองก็คงไม่มีปัญญาเช่นกัน ในทางกลับกันเราจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขามากกว่า”
กู้ซิ่วถิงยิ้มกล่าว “ชิงอี เจ้าก็อย่าดูแคลนเขามากนักเลย อย่าลืมสิว่าเขาเป็นองค์รัชทายาทมาตั้งแต่เกิด อีกอย่างช่วงหลายปีนั้นเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นองค์รัชทายาทเสียเปล่า หากคิดจะทำเรื่องเล็กน้อยต่อให้คนพวกนั้นจับตาดูเขาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เขาก็แค่…รู้สึกท้อแท้จนหมดหวังก็เท่านั้น”
มู่ชิงอีพยักหน้า จะไม่ไห้เขารู้สึกท้อแท้หมดหวังได้เช่นไร เสด็จพ่อแท้ๆ ของตนทำลายตระกูลเสด็จแม่ของตนโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแต่กลับถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท บางทีลูกพี่ลูกน้องชายอาจจะมีจุดที่ทำผิดพลาดไป แต่หากเขาจะผิดก็ผิดที่ทำดีเกินไปและยังเยาว์วัยนัก เรื่องของตระกูลกู้มู่ชิงอีรู้ดีว่าลูกพี่ลูกน้องชายย่อมต้องชิงชังโกรธแค้นอยู่แล้ว แต่เขากลับตกที่นั่งลำบากมากกว่านางและพี่ใหญ่เพราะคนๆ นั้นก็คือบิดาแท้ๆ ของตัวเองหรือก็คือเสด็จพ่อนั่นเอง อีกอย่างในเมื่อดินแดนทั่วหล้าล้วนเป็นแผ่นดินและขอบเขตภายใต้การปกครองของกษัตริย์ และคนที่ใช้แผ่นดินทำมาหากินก็คือบรรดาขุนนางและเหล่าราษฎร ดังนั้นหากกษัตริย์อยากให้ขุนนางตาย…ขุนนางก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!
มู่ชิงอีลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ เรื่องของข้า…อย่าบอกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงผงะไป แต่ไม่นานก็กลับมาคลี่ยิ้มหวานเอ่ย “วางใจเถิด พี่ใหญ่ไม่บอกใครหรอก ถือว่าเป็น…ความลับระหว่างเราอย่างไรเล่า” มู่ชิงอีหวั่นใจอยู่บ้าง เพราะความลับนี้ถูกเจ้าบ้าอีกคนเดาออกนานแล้ว
“ชิงอีวางแผนจะต่อกรกับมู่หรงอวี้เช่นใดหรือ” กู้ซิ่วถิงมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยเสียงขรึม กู้ซิ่วถิงไม่มั่นใจว่าน้องสาวรู้สึกเช่นใดกับมู่หรงอวี้กันแน่ ในเมื่อมู่หรงอวี้เคยเป็นคู่หมั้นของมู่ชิงอีมาก่อน อีกอย่างพวกเขาสองคนก็เข้ากันได้ไม่เลวด้วย ไม่ว่าเช่นไรกู้ซิ่วถิงก็ไม่อยากเห็นน้องสาวตนต้องเจ็บปวดอีก
มู่ชิงอีเม้มปากยิ้มบางกล่าว “พี่ใหญ่ อย่ากังวลไปเลย มู่หรงอวี้…ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น” เพราะในสายตาของนางมู่หรงอวี้ไม่ใช่คู่หมั้นที่อ่อนโยนอบอุ่นเหมือนในครานั้นอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นตอนนั้นกู้อวิ๋นเกอก็เห็นกงอ๋องเป็นเพียงคู่หมั้นคนหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเรื่องน่ายินดีเพียงอย่างเดียวในตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ เพราะนางไม่เคยรักมู่หรงอวี้เลย
กู้ซิ่วถิงเบาใจไม่น้อย เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยกมู่หรงอวี้ให้พี่เป็นคนจัดการเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้าราวกับว่าตามใจเลย “แต่ตอนนี้ข้าเป็นคนของจวนจื้ออ๋อง…หรือจะนับว่าเป็นผู้ช่วยในกองบัญชาการทหารก็ได้” หลังจากผ่านเรื่องครั้งก่อนมา ถึงแม้มู่หรงเสียจะไม่ได้เชิญนางไปจวนจื้ออ๋องอีก แต่เขามักจะส่งคนเอาของกำนัลต่างๆ มาที่จวนตระกูลจังอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็ไถ่ถามเรื่องเล็กน้อยเพื่อถามความคิดเห็นนาง ทว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ หากอยากให้มู่หรงเสียไว้วางใจนางจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
กู้ซิ่วถิงเองก็ฉลาดหลักแหลมไม่เบาเช่นกัน ครั้นได้ฟังคำพูดของมู่ชิงอีเขาก็เข้าใจแผนการที่นางวางไว้ทันที เขาเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่…ก็จะช่วยองค์ชายเจ็ด ชิงอีคิดเห็นอย่างไรบ้าง”