หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 182 ยอมรับตัวตน เนี่ยอวิ๋นผู้โชคร้าย (4)
ฮ่องเต้แคว้นหวามองนางอย่างขบขันพลางตรัสถามว่า “อย่างนั้นหรือ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าเราจะปล่อยเขาไป”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ‘วีรบุรุษของแว่นแคว้นปฏิบัติกับข้าเช่นใด ข้าก็จะตอบแทนกลับไปเช่นนั้น’ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาแต่กลับยอมมาเป็นหัวหน้าองครักษ์ในวัง ย่อมเป็นเพราะพระกรุณาธิคุณอันล้นเกล้าของฝ่าบาทอยู่แล้ว หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นผู้รักความเป็นธรรมแล้วจะทรยศพระองค์ได้เช่นใดเล่าเพคะ และฝ่าบาทจะทรงหักหลังต่อความจงรักภักดีของหัวหน้าองครักษ์เนี่ยได้อย่างไร พระองค์คงไม่ทรยศต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกษัตริย์และขุนนางดั่งคำกล่าวนี้กระมัง”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองรอยยิ้มสดใสบนใบหน้างดงามของมู่ชิงอีพลางส่ายศีรษะอย่างจนใจตรัสขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ช่างพูดเป็นนัก หากเราไม่ปล่อยเขาไปคงทำให้เจ้าคิดว่าเราตาบอด และทำให้คนบนโลกนี้คิดว่าเราใจดำอำมหิตไร้ความเมตตา”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หมิงเจ๋อมิบังอาจ ทั้งคำกล่าวโทษและคำชมเชยล้วนเป็นดั่งพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ หากฝ่าบาทยอมปล่อยหัวหน้าองครักษ์เนี่ยไปก็ถือว่าเป็นความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ”
“เอาเถิด” ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือแล้วรับสั่งว่า “ไปเอาตัวเนี่ยอวิ๋นออกมาเถิด” ความจริงเนี่ยอวิ๋นมีความผิดหรือไม่ ฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่เหตุการณ์ในตอนนั้นหากเขาไม่จัดการเนี่ยอวิ๋นแล้วจะจบเหตุการณ์นั้นเช่นไร ฮ่องเต้แคว้นหวาทำความผิดได้ง่ายแต่จะให้ยอมรับผิดกลับเป็นเรื่องยาก เพื่อศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ทุกยุคทุกราชวงศ์จึงมีคนถูกใส่ความไม่น้อย เพียงแต่เนี่ยอวิ๋นถูกจับเข้าห้องขังชั่วคราวเท่านั้นเลยไม่ได้ถือว่าถูกใส่ความเรื่องใหญ่โตอะไร
มู่ชิงอียิ้มบางและไม่พูดอะไรอีก นางเพียงร้องขอให้ฮ่องเต้แคว้นหวาปล่อยตัวเขาไปเท่านั้น ส่วนฮ่องเต้แคว้นหวาจะเกลียดชังอะไรเนี่ยอวิ๋นหรือปลดเขาออกจากตำแหน่งโดยถาวร ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่นางจะยุ่งด้วยได้แล้ว จากความเข้าใจที่นางมีต่อฮ่องเต้แคว้นหวา ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้แคว้นหวาเอาแต่ใจมากทีเดียว ท่าทีเย่อหยิ่งเอาแต่ใจนี้ย่อมถูกเนี่ยอวิ๋นซึ่งเป็นองครักษ์ติดตามเห็นมาไม่น้อย พระองค์ขายหน้าขนาดนี้คงยากหากฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่มีความรู้สึกใดเลยกับเนี่ยอวิ๋นผู้ที่ซึ่งเคยเห็นเขาขายหน้ามาแล้วอย่างแน่นอน
โหรวเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ครั้นได้ฟังบทสนทนาที่มู่ชิงอีกล่าวกับฮ่องเต้แคว้นหวาก็นึกตกใจไม่น้อย ฮ่องเต้แคว้นหวาเอาใจยากขนาดไหน เข้าวังมาตั้งหลายปีนางย่อมรู้ดีแก่ใจ ฝ่าบาททรงเปลี่ยนความคิดเพียงเพราะคำพูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน จากที่ตนรู้มาสองวันมานี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากร้องขอชีวิตแทนเนี่ยอวิ๋นเลย เพียงแต่ส่วนใหญ่เพียงแค่เกริ่นเท่านั้นก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาทันที
มู่ชิงอีมีความสำคัญต่อฝ่าบาทขนาดไหนกัน เพียงเอ่ยคำพูดไม่กี่คำแค่นี้ก็…อีกทั้งเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่มีท่าทีไม่พอพระทัยใดๆ เลยด้วย เวลานี้ทำให้มู่เฟยหลวนสงสัยว่ามู่ชิงอีมีคาถาอาคมชั่วร้ายอะไรหรือเปล่า
“จ้าวจื่ออวี้เองก็เป็นคนดีใช้ได้ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไปหาเขาได้เช่นกัน” ฮ่องเต้แคว้นหวาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยตรัสกับมู่ชิงอี
ครั้นเห็นท่าทีประหลาดใจของมู่ชิงอี ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ตรัสขึ้นว่า “จ้าวจื่ออวี้สนิทสนมกับเนี่ยอวิ๋นมาก หากเกิดเรื่องกับเนี่ยอวิ๋นแต่จ้าวจื่ออวี้ไม่ทำอะไรเลยเราจะแปลกใจมากกว่า แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปหาเจ้าด้วย เราเองก็แปลกใจไม่น้อยเช่นกัน”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หม่อมฉันเป็นองค์หญิงที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้มิใช่หรือเพคะ และนี่ถือเป็นครั้งแรกในยุคสมัยจิ้งอันเลยด้วย อานซีจวิ้นอ๋องย่อมคิดว่าหม่อมฉันคงสามารถเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้ แต่…หม่อมฉันได้ยินมาว่าเขาไปขอเข้าเฝ้าองค์หญิงหมิงเวยมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ทันได้เข้าเฝ้าก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อน”
ฮ่องเต้แคว้นหวาได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “แต่ไหนแต่ไรมาจ้าวจื่ออวี้เป็นคนสุขุม ทำอะไรรู้ขอบเขต เราเองก็อยากเห็นท่าทีตอนที่เขาถูกคนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนกัน”
หลังจากเห็นมู่เฟยหลวนที่นั่งอยู่อีกฝั่งทำสีหน้าไม่ถูก ในที่สุดมู่ชิงอีก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาหันไปถามนางด้วยรอยยิ้มแทน “ไม่รู้ว่าโหรวเฟยเรียกหม่อมฉันเข้าเฝ้ามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือแล้วตรัสขึ้นว่า “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก หลังจากวันงานเลี้ยงก็ต้องเตรียมงานอภิเษกเกี่ยวดองกับแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นแล้ว แต่องค์หญิงที่ให้เกี่ยวดองยังเลือกไม่ได้ เราเดาว่าคงมีคนไม่น้อยหลงคิดว่าเราแต่งตั้งเจ้าในเวลานี้ก็เพื่อใช้เกี่ยวดอง เจ้ามาอยู่ในวังสักสองสามวันก่อน รอเลือกองค์หญิงที่จะให้ไปเกี่ยวดองได้แล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย”
มู่ชิงอีชะงักไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “คือว่า…เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมังเพคะ หม่อมฉัน…”
ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสว่า “มีอันใดไม่เหมาะสมกัน เราคิดว่าจะให้องค์หญิงไหวหยางเป็นพระชายาขององค์ชายเก้า แต่นางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับขนบธรรมเนียมของแคว้นหวานัก ตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์อยากเห็นองค์หญิงไหวหยางในวันอภิเษกก่อนแล้วถึงกลับแคว้น หลายวันมานี้องค์หญิงไหวหยางเรียนรู้ขนบธรรมเนียมต่างๆ อยู่ที่เรือนรับรองหมิงฟังในวัง องค์หญิงห้า องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน หากเจ้าไปอยู่กับพวกนางก็คงไม่รู้สึกเบื่ออะไร ไม่เช่นนั้น…เราส่งคนไปเชิญหย่งจยาจวิ้นจู่มาด้วยเป็นเช่นใดเล่า”
มู่ชิงอีขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบกล่าวขอบพระทัยและเอ่ยปฏิเสธไป ด้วยนิสัยของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วคงไม่ชอบความน่าเบื่อในวัง ตัวนางถูกบีบบังคับก็มากพอแล้ว อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้นางเลยจะดีกว่า
องค์หญิงในวัง หลังจากอายุครบสิบห้าหรือเรียกว่าวัยปักปิ่นก็จะประทับอยู่ในพระตำหนักเรือนรับรองหมิงฟังจนกว่าจะอภิเษก บัดนี้องค์หญิงที่อายุเหมาะสมก็มีองค์หญิงห้า องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า แต่นอกจากองค์หญิงห้าแล้ว องค์หญิงอีกสองพระองค์ล้วนมีพระคู่หมั้นแล้วทั้งสิ้น เกรงว่าหญิงงามที่จะใช้เกี่ยวดองคงเลือกจากจวิ้นจู่ในราชวงศ์และบุตรสาวภรรยาเอกในตระกูลใหญ่มีอิทธิพลมากกว่า มิน่าฮ่องเต้แคว้นหวาถึงให้นางมาอยู่ในวัง เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่อยากให้องค์หญิงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่อย่างนางไปเกี่ยวดองต่างแคว้น หากนางยังอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวต่อ คงยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีท่านผู้เฒ่าอาวุโสบุกมาพูดจาหว่านล้อมนางถึงจวนได้
ไม่นานนักเนี่ยอวิ๋นก็ถูกนำตัวเข้ามา ถึงแม้เขาจะอยู่ในคุกมาหลายวันแต่นอกจากสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้วก็ไม่เห็นจะได้รับการทรมานใดๆ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการปรนนิบัติไม่แย่นัก มู่ชิงอีตั้งใจสำรวจบุรุษผู้ที่ได้รับสมญานามว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นหวาเป็นครั้งแรก หากกล่าวถึงเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา เนี่ยอวิ๋นอาจหล่อเหลาสู้จ้าวจื่ออวี้ไม่ได้และไม่ได้บุคลิกสง่างามอย่างเซ่าจิ่น และหากยึดตามมาตรฐานของหย่งจยาจวิ้นจู่อาจจะใช้คำว่าหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางไม่ได้เพราะหน้าตาของเขาออกจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่เพราะความสามารถของยอดฝีมืออันดับหนึ่งกลับขับให้บุคลิกของเขาดูสุขุมลึกลับจนมองข้ามเขาไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะแววตานิ่งสงบคู่นั้น ทันทีที่เผลอไปสบตาก็เหมือนดั่งถูกสายตาอันแหลมคมนั้นรู้ทันทุกอย่าง
“กระหม่อมนักโทษเนี่ยอวิ๋นถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เนี่ยอวิ๋นคุกเข่าทำความเคารพ
เมื่อฮ่องเต้แคว้นหวาเห็นท่าทีเคารพนอบน้อมของเนี่ยอวิ๋นก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วตรัสขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เนี่ยอวิ๋นกล่าวขอบพระทัยเสร็จก็ลุกขึ้น ทว่าพอเห็นมู่ชิงอีที่นั่งถัดจากฝ่าบาทลงมาฉีกยิ้มสดใสมองมาที่ตนก็ปรากฏแววตาแปลกใจและสงสัยเป็นประกายพาดผ่าน “ถวายบังคมโหรวเฟยและองค์หญิงหมิงเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
โหรวเฟยอมยิ้มบอกให้เนี่ยอวิ๋นลุกขึ้น ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ตรัสเสียงเรียบว่า “เรื่องในครั้งนี้เราเชื่อว่าเจ้าบริสุทธิ์ หลายวันมานี้คงให้ความไม่เป็นธรรมกับเจ้าเสียแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้ากลับไปทำหน้าที่ในตำแหน่งเดิมเถิด”
เนี่ยอวิ๋นชะงักไป เขาเข้าใจนิสัยของพระองค์ดี เลยคิดไม่ถึงว่าเรื่องครั้งนี้จะจบง่ายดายขนาดนี้จึงรีบเอ่ยว่า “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท กระหม่อมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังที่เชื่อใจกระหม่อมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี หากเจ้ายังสะเพร่าอีกก็อย่าโทษว่าเราไม่เห็นแก่เจ้าแล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ”
ครั้นเห็นท่าทีนอบน้อมระแวดระวังของเนี่ยอวิ๋น มู่ชิงอีก็อดเสียดายไม่ได้ ยอดฝีมืออย่างเนี่ยอวิ๋น หากหลุดพ้นเงื้อมมือของฮ่องเต้ในวังไปได้ มีที่ใดในใต้หล้านี้บ้างที่ไปไม่ได้ พอถึงตอนนั้นคงเป็นอิสระเปรียบดั่งปักษาโบยบินบนท้องนภา เปรียบดั่งมัจฉาที่แหวกว่ายในท้องทะเลเลยกระมัง ห้ายอดฝีมือในใต้หล้านี้ เว่ยอู๋จี้มหาเศรษฐีร่ำรวยมั่งคั่ง หรงจิ่นเป็นองค์ชายของแคว้นเย่ว์ หนานกงเจวี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่ทรงอิทธิพลของแคว้นเย่ว์ เกอซูฮั่นเป็นเลี่ยอ๋องผู้ทรงศักดิ์แห่งเป่ยฮั่น มีเพียงหัวหน้าองครักษ์วังหน้าของแคว้นหวาอย่างเนี่ยอวิ๋น ฟังดูแล้วอาจน่าเกรงขามแต่หากเทียบกับคนอื่นกลับดูห่างชั้นอยู่มากโขมิใช่หรือ