หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 192 ตัวเลือกผู้เกี่ยวดอง (3)
เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหย่งจยาจวิ้นจู่ มู่ชิงอีก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาในใจ หลังจากไปมาหาสู่กันหลายวันนางก็มองออกว่าหย่งจยาจวิ้นจู่มีนิสัยไร้เดียงสาแต่ติดจะใจร้อนเล็กน้อย อีกทั้งยังรักในความเป็นธรรมซึ่งหาได้น้อยนักในเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั่วไป ส่วนมากคนแบบนี้มักจะหูเบาเชื่อคนง่าย แต่หย่งจยาจวิ้นจู่กลับมุ่งมั่นยืนอยู่ข้างนางทั้งๆ ที่ไปมาหาสู่กันไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“ขอบใจมากนะจวิ้นจู่” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง
องค์ชายหรงจิ่นผู้ใบหน้าหล่อเหลาจับจ้องหย่งจยาจวิ้นจู่ที่ทำให้ชิงชิงฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขด้วยสีหน้าถมึงทึง สองพี่น้องนี่ก็น่ารำคาญเหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ!
ไม่นานฮ่องเต้แคว้นหวากับพวกเกอซูฮั่นและหรงเหยี่ยนต่างก็หารือกันอย่าลงตัว งานอภิเษกขององค์หญิงไหวหยางและองค์ชายเก้าจะถูกจัดขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดซึ่งเป็นเวลาหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน อีกทั้งสตรีที่จะใช้เกี่ยวดองกับแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นต่างก็เลือกสรรไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งก็คือเหอซูจวิ้นจู่บุตรสาวของชินอ๋องพี่น้องของฮ่องเต้แคว้นหวา ส่วนอีกคนเหนือความคาดหมายอยู่ไม่น้อยเพราะนางคือคุณหนูสามแห่งจวนซู่เฉิงโหวมู่อวิ๋นหรง หลังจากมู่ชิงอีเข้าวังมา ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ทรงรับปากทำตามคำขอของจวนซู่เฉิงโหวและโหรวเฟยโดยการแต่งตั้งให้สะใภ้ซุนขึ้นเป็นฮูหยินประจำจวน แต่พระองค์กลับพระราชทานยศให้เป็นเพียงซูเหริน[1]ระดับสามเท่านั้น พร้อมทั้งถือโอกาสแต่งตั้งให้แม่แท้ๆ ของมู่เชินขึ้นเป็นระดับสี่ พอเป็นเช่นนี้เรื่องของสตรีในจวนซู่เฉิงโหวก็น่าสนุกขึ้นมาทันที เพราะเดิมทีฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหวควรเป็นโหวฮูหยินระดับหนึ่ง แต่สะใภ้จังภรรยาเอกของมู่ฉังหมิงกลับเป็นถึงฉินกั๋วฮูหยินซึ่งเหนือระดับหนึ่งไปด้วยซ้ำ ทว่าภรรยาที่ขึ้นมาเป็นภรรยาเอกคนใหม่ของเขากลับเป็นเพียงซูเหรินระดับสาม ถึงแม้ได้รับการแต่งตั้งจะดีกว่าไม่ได้รับการแต่งตั้งก็ตาม ทว่าตำแหน่งที่ไม่สอดคล้องกันเช่นนี้กลับชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือมีบางคนคิดว่านี่เป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นหวาทรงโปรดองค์หญิงหมิงเจ๋อ ดังนั้นจึงกดสถานะของฮูหยินคนใหม่ของจวนซู่เฉิงโหวไว้ไม่ให้ทัดเทียมกับฉินกั๋วฮูหยินที่ตายไปแล้ว ดูท่าแล้วฮ่องเต้แคว้นหวาจะทรงโปรดองค์หญิงหมิงเจ๋อมากกว่ามู่เฟยหลวนที่กำลังตั้งครรภ์และเตรียมขึ้นเป็นกุ้ยเฟยอยู่มากโข
ในเมื่อต้องไปเกี่ยวดองกับแคว้นอื่น มู่อวิ๋นหรงก็ต้องมีตำแหน่งอะไรติดตัวบ้าง เหอซูจวิ้นจู่ของจวนชินอ๋องถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหมิงเหอ ส่วนมู่อวิ๋นหรงถูกแต่งตั้งเป็นเหอหรงจวิ้นจู่ ถึงแม้การถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่จะเป็นเรื่องดีแต่มู่อวิ๋นหรงในเวลานี้กลับอยากเป็นเพียงบุตรอนุของจวนซู่เฉิงโหวเหมือนเดิมที่ไม่มีอะไรเลยมากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนี้นางก็ไม่ต้องไปเกี่ยวดองกับแคว้นอื่นแล้ว องค์หญิงหมิงเหอจะไปเกี่ยวดองกับแคว้นเย่ว์ ถึงแม้จะยังระบุไม่ได้ว่าต้องอภิเษกกับใครแต่ในเมื่อแคว้นเย่ว์ส่งตัวองค์หญิงมาแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาเลยต้องส่งตัวองค์หญิงที่มีสถานะสูงส่งทัดเทียมไปเพื่อแสดงความจริงใจ ภายในวังนอกจากองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็ไม่มีองค์หญิงคนใดเหมาะสมแล้ว แต่หรงเหยี่ยนกลับแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่เอาองค์หญิงหมิงฮุ่ยเด็ดขาด ฮ่องเต้แคว้นหวาเลยทำได้เพียงเลือกจวิ้นจู่ที่มีสถานะสูงส่งในเชื้อพระวงศ์สักคนมาแทน แต่เป่ยฮั่นไม่มีความต้องการนั้นเพราะเกอซูฮั่นเคยบอกแล้วว่าเป่ยฮั่นเองก็ไม่มีองค์หญิงที่เหมาะสมส่งมาเช่นกัน อย่างไรเสียเดิมทีการเกี่ยวดองก็เป็นเพียงเรื่องที่ไว้แสดงให้คนอื่นดู ดังนั้นขอเพียงสถานะที่ฉาบหน้าไว้พอใช้ได้ก็พอแล้ว แคว้นเป่ยฮั่นอาจจะแย่กว่าแคว้นเย่ว์ ถึงแม้จะไม่ใช่ดินแดนรกร้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมและความอุดมสมบูรณ์กลับแตกต่างกับแคว้นหวาอย่างสิ้นเชิง ในราชวงศ์เองก็ใช่ว่าจะมีจวิ้นจู่มากมายส่งตัวมาละเลงทิ้งเล่นได้ตามใจชอบ ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาเลยส่งตัวมู่อวิ๋นหรงของจวนซู่เฉิงโหวที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาไปโดยไม่คิดลังเลสักนิด กระทั่งลืมไปเสียสนิทว่าความจริงแล้วมู่อวิ๋นหรงยังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายกับมู่หรงอานเลยด้วย
ถึงแม้เกอซูฮั่นจะรู้แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะสุดท้ายเหอหรงจวิ้นจู่อะไรนี่ก็ต้องถูกทิ้งอยู่ในกองเหล่าสนมของเสด็จพี่อยู่ดี วังหลังของเป่ยฮั่นอาจจะมีเหล่าสนมไม่ถึงร้อยแต่ราวๆ ห้าสิบหกสิบย่อมมีถึงแน่นอน อีกอย่างไม่ว่าแคว้นหวาจะส่งผู้หญิงแบบไหนไปก็ไม่มีทางต้องตาเสด็จพี่อยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะสนใจไปทำไมว่าเอาใครกลับไปเล่า หากไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว เมื่อถึงเป่ยฮั่นเมื่อใดมู่อวิ๋นหรงก็เตรียมตัวป่วยเป็นผักได้เลย
ด้วยเหตุนี้มู่หรงอานผู้โชคร้ายที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงในเวลานี้ก็เสียพระคู่หมั้นไปอีกคน ครั้งแรกถูกจวนซู่เฉิงโหวชิงตัดหน้าเปลี่ยนตัวไปก่อน พอครั้งที่สองก็ถูกเสด็จพ่อเอาไปใช้ประโยชน์เสียแล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะเคยไตร่ตรองเรื่องอภิเษกเพื่อแก้เคล็ดให้มู่หรงอาน แต่ความจริงฮ่องเต้แคว้นหวากลับไม่อยากให้มู่ฉังหมิงและมู่หรงอวี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนัก ดังนั้นเรื่องอภิเษกเพื่อแก้เคล็ดจึงยกเลิกไป ประจวบกับมู่อวิ๋นหรงที่ต้องเป็นหม้ายครองเรือนซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะขายไม่ออก เขาแต่งตั้งให้นางเป็นจวิ้นจู่แล้วแต่งงานออกเรือนไป แบบนี้นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเกล้ามากกว่ามิใช่หรือ
พอได้ฟังข้อสรุปจากการหารือกันในตอนสุดท้าย มู่ชิงอีและหรงจิ่นก็มองหน้ากันพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ความจริงจากตัวเลือกในการเกี่ยวดองก็พอทำให้มองความสัมพันธ์ระหว่างสามแคว้นออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แคว้นหวาลำเอียงไปทางแคว้นเย่ว์มากกว่าแต่นั่นก็พอเข้าใจได้ กองกำลังทหารของเป่ยฮั่นในตอนนี้เหนือใครในสามแคว้น อีกทั้งเกอซูฮั่นเองก็มีวิทยายุทธ์โดดเด่นชำนาญเรื่องศึกสงครามเหนือใครทั้งที่อายุยังน้อยย่อมไม่แปลกที่จะทำให้สองแคว้นต่างเกรงกลัว หลายปีก่อนทั้งสามแคว้นทำศึกสงครามต่อเนื่องไม่หยุด แต่เพื่อความสุขสงบของประชาราษฎร์และอยากพัฒนาบ้านเมืองถึงได้หยุดสงครามลง แต่หากทันทีที่ฟื้นตัวได้เมื่อไรคงได้เห็นแคว้นเย่ว์และแคว้นหวาร่วมมือกันต่อกรกับเป่ยฮั่นแน่นอน ในตอนนี้ฮ่องเต้เป่ยฮั่นเพิ่งจะอายุสามสิบสองชันษาเท่านั้น อีกทั้งพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถมากพอสมควรซึ่งมีให้เห็นน้อยนัก ไม่เพียงเท่านั้นยังมีแม่ทัพชื่อเสียงโด่งดังอย่างเกอซูฮั่นเป็นกำลังเสริมจึงย่อมมีความทะเยอทะยานไม่น้อยอยู่แล้ว ดังนั้นศึกสงคราม…จึงได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าคงมาเยือนในภายภาคหน้าอันใกล้นี้แน่นอน ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวาและฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มู่หรงเทียนนั้นทรงชรามากทั้งคู่
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครเกี่ยวดองด้วยความจริงใจสักคนเลยต้องหาผู้เสียสละที่ไร้ค่าส่งไปแทน อีกทั้งผู้เสียสละที่ฮ่องเต้แคว้นหวาเลือกให้รับหน้าที่นี้ก็คือมู่อวิ๋นหรง มู่ชิงอีไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่มองทุกอย่างออก แต่อย่างน้อยมู่อวิ๋นหรงก็ไม่พอใจที่ตนต้องถูกส่งตัวไปเกี่ยวดองอย่างมาก
ไม่นานวังหลวงก็มีสตรีเพิ่มมาอีกสองคนนั่นก็คือองค์หญิงหมิงเหอและเหอหรงจวิ้นจู่ เพราะพวกนางต้องไปเกี่ยวดองต่างแคว้นเลยต้องเข้าวังมาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทขององค์หญิงแคว้นหวา รวมถึงธรรมเนียมมารยาทของแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่น นี่เลยทำให้มู่อวิ๋นหรงยิ่งเกลียดชังมากกว่าเดิม เฉกเช่นเดียวกับความชิงชังต่อมู่ชิงอีที่ตอนนี้พักอยู่ในเรือนรับรองหมิงฟังกับนางด้วย ทั้งๆ ที่เป็นคุณหนูตระกูลมู่เหมือนกันแต่มู่ชิงอีเป็นองค์หญิงแต่นางเป็นเพียงจวิ้นจู่ นางต้องถูกส่งตัวไปเกี่ยวดองในดินแดนบ้าๆ อย่างเป่ยฮั่น ทว่ามู่ชิงอีกลับแค่เสพสุขตำแหน่งสูงส่งอันทรงเกียรตินี้อยู่ในวัง กระทั่งนางจำเป็นต้องมาเรียนธรรมเนียมมารยาทบ้าๆ นี่ในวัง ในทางกลับกันวันๆ มู่ชิงอีกลับอ่านหนังสือดื่มชาเดินเล่นไปทั่ววังได้ตามอัธยาศัย อีกทั้งฝ่าบาทยังส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดที่คอยเฝ้าอารักขาพระองค์มาปกป้องนางอีกต่างหาก มู่อวิ๋นหรงรับไม่ได้จริงๆ เหตุใดบนโลกใบนี้ถึงมีความอยุติธรรมถึงขั้นนี้ได้นะ
เหตุใดนางต้องไปเกี่ยวดองต่างแคว้นด้วย นางยอมอภิเษกกับหนิงอ๋องเป็นหม้ายเฝ้าเรือนดีกว่าไปเป่ยฮั่น! พอเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของตัวเอง มู่อวิ๋นหรงมักได้สติและเฉลียวฉลาดจนน่าทึ่ง นางรู้ดีว่าหากตนอภิเษกไปอยู่แคว้นเป่ยฮั่นคงไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายแน่ ในอดีตที่ผ่านมาองค์หญิงที่ต้องไปเกี่ยวดองไม่มีใครอยู่อย่างสุขสงบเลยสักคน มิเช่นนั้นเหล่าราชวงศ์คงไม่ส่งตัวจวิ้นจู่หรือสาวตระกูลผู้ดีในราชวงศ์ไปเกี่ยวดองต่างแคว้น อีกทั้งองค์หญิงคนอื่นๆ ต่างก็ถูกกำหนดเรื่องงานอภิเษกไว้แล้ว หากไปถึงแคว้นเป่ยฮั่นนางก็คงเป็นดั่งคนไร้ญาติอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นคงลำบากไม่มีใครสักคนยอมช่วยนางเป็นแน่ ในขณะที่อยู่ในอารมณ์คุกรุ่นมู่อวิ๋นหรงปักใจเชื่อว่าเหตุที่ฮ่องเต้แคว้นหวาให้ตนไปเกี่ยงดองคงเป็นเพราะมู่ชิงอีไม่ยอมไปแน่นอน เพราะตอนแรกเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าอยากอภิเษกกับมู่ชิงอี ทว่าคนที่ต้องไปทนทุกข์ทรมานกลับเป็นนางเสียได้
“น้องหญิงสี่!” สวนเล็กๆ ภายในเรือนรับรองหมิงฟัง มู่อวิ๋นหรงร้องแหวเสียงสูงเรียกมู่ชิงอีที่เดินผ่านจากด้านข้างไว้ มู่ชิงอีชะงักฝีเท้าก่อนเงยหน้าขึ้นมองมู่อวิ๋นหรงพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “พี่หญิงสาม มีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามพลางแสร้งทำหน้านิ่งกลบรอยยิ้มไว้
“ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วเหตุใดข้าเข้าวังมาน้องหญิงสี่ถึงไม่มาคุยกับข้าบ้างเลยเล่า เป็นเพราะไม่อยากเห็นหน้าพี่หญิงสามแล้วอย่างนั้นหรือ”
—————————
[1]ซูเหริน แปลว่าหญิงผู้มีคุณสมบัติดีงามและบริสุทธิ์ เป็นตำแหน่งของสตรีที่ผ่านการแต่งงานแล้วหรือภรรยาเอกในเชื้อพระวงศ์