หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 193 ตัวเลือกผู้เกี่ยวดอง (4)
มู่ชิงอียิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินสาวเท้าเข้ามาช้าๆ พลางพยักหน้าให้องค์หญิงหมิงเหอที่นั่งพักผ่อนอยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง องค์หญิงหมิงเหอเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยสง่างามนิสัยอ่อนโยน ทว่าสองดวงตาที่อ่อนโยนกลับดูแน่วแน่ทำให้คนที่เห็นรู้ว่านางเป็นคนอ่อนนอกแข็งในคนหนึ่ง เงื่อนไขทุกอย่างของแคว้นเย่ว์ที่นางจะไปเกี่ยวดองนั้นดีกว่าเป่ยฮั่นอยู่มากโข อีกทั้งในฐานะที่เป็นจวิ้นจู่แห่งราชนิกุลย่อมต้องเตรียมใจเรื่องอภิเษกของตนไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว นางจึงไม่ได้ดูเกรี้ยวโกรธและไม่พอใจเหมือนมู่อวิ๋นหรง ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินมานางก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มให้เป็นการทักทายอีกด้วย
“พี่หญิงสามมีเรื่องอันใดอยากคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ
มู่อวิ๋นหรงกัดฟันเอ่ย “เจ้าหมายความว่าเช่นใด เจ้าทำร้ายข้ายังไม่แย่พอหรือ ตอนนี้ยังมาตีหน้าใสซื่อเช่นนี้อีก!” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “พี่หญิงสามหมายความว่าอะไร ข้าเคยทำร้ายพี่หญิงสามเมื่อใดกัน” ใบหน้าของมู่อวิ๋นหรงขึ้นสีแดงด้วยความโมโห “เจ้าจะยอมรับหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่ยอมไปเกี่ยวดอง แล้วเหตุใดฝ่าบาทต้องเลือกข้าด้วย!”
ที่แท้ก็เรื่องนี้เองหรือ มู่ชิงอีฉีกยิ้มน้อยๆ จับจ้องมู่อวิ๋นหรงที่ชักสีหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธตรงหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้อแรก เดิมทีฝ่าบาทไม่เคยตรัสว่าจะส่งข้าไปเกี่ยวดองมาก่อน ข้อสอง ต่อให้ข้าไม่ยอมแล้วอย่างไรเล่า หากพี่หญิงสามไม่อยากไปก็ไปกราบทูลฝ่าบาทสิเจ้าคะ” มู่อวิ๋นหรงโกรธจนตัวสั่น หากนางกราบทูลขอฝ่าบาทได้แล้วจะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับมู่ชิงอีอยู่ตรงนี้หรือ นางเคยขอร้องพี่หญิงแล้ว แม้แต่พี่หญิงเองยังไม่กล้ารับปากว่าจะช่วยนางขอร้องฝ่าบาทได้เลย แล้วนางจะกล้าได้เช่นไรเล่า
“ข้าไม่สน! เป็นเพราะเจ้าทำร้ายข้า!” จู่ๆ มู่อวิ๋นหรงก็ตีโพยตีพายสติหลุดขึ้นมา ถึงแม้ดูท่าทางเกอซูฮั่นจะดีไม่หยอกแต่นางก็ไม่ลืมฉายาอันเลื่องชื่อว่าเป็นเทพปีศาจแห่งเป่ยฮั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทันทีที่ได้ยินชื่อแคว้นเป่ยฮั่น นางก็รู้แล้วว่าไม่ใช่แคว้นที่ดีสักเท่าไร อีกอย่างจะเงียบสงบสุขสบายเท่าเมืองหลวงได้เช่นไร “เอาเป็นว่าเจ้าต้องช่วยข้าไปกราบทูลฝ่าบาทขอให้พระองค์ทรงยกเลิกพระราชโองการเสีย!”
องค์หญิงหมิงเหอและองค์หญิงไหวหยางทุกคนตรงนั้นต่างมองมู่อวิ๋นหรงพลางทำสีหน้าเหมือนเห็นคนบ้าก็มิปาน ฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการออกมาแล้ว กระทั่งพระราชทานนามให้แล้วจะยกเลิกได้เช่นไร นางคิดว่าพระราชโองการของฮ่องเต้เป็นเพียงกระดาษที่ไร้ราคาอย่างนั้นหรือ แต่องค์หญิงไหวหยางไม่ชอบขี้หน้ามู่ชิงอีมากกว่า ดังนั้นพอเห็นมู่อวิ๋นหรงหาเรื่องมู่ชิงอีนางก็ยิ่งดีอกดีใจ ทว่าองค์หญิงหมิงเหอกลับขมวดคิ้วเอ่ยโน้มน้าวเสียงแข็งว่า “เหอหรงจวิ้นจู่ ในเมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ต่อให้สร้างความลำบากใจให้องค์หญิงหมิงเจ๋อเช่นนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก”
มู่อวิ๋นหรงกัดฟัน โกรธจนตัวสั่น “ข้าสร้างความลำบากใจให้นางหรืออย่างไร ทั้งๆ ที่นาง...เป็นคนทำร้ายข้าแท้ๆ!”
“น่าขันนัก ขนาดองค์หญิงหมิงเหอยังน้อมรับพระราชโองการยอมไปเกี่ยวดองแต่โดยดี เจ้ามีตำแหน่งสูงส่งนักหรืออย่างไร” ด้านนอกศาลา หย่งจยาจวิ้นจู่ในชุดสีแดงเพลิงเดินเข้ามาพร้อมเล่นแส้ในมือ นางเหลือบมองมู่อวิ๋นหรงแวบหนึ่งแล้วยิ้มเย็นชากล่าว “องค์หญิงหมิงเหอและองค์หญิงไหวหยางต่างเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์อย่างแท้จริง พวกนางยังไม่ว่าอะไรเลย เจ้าคิดว่าเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมกว่าพวกนางอีกอย่างนั้นหรือ เป่ยฮั่นของข้ายังไม่เห็นรังเกียจที่เจ้ามาจากตระกูลต่ำต้อยเลย”
ข้ายอมให้เจ้ารังเกียจความต่ำต้อยของข้าเสียยังดีกว่า! มู่อวิ๋นหรงรู้สึกว่าตนใกล้เป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว นางไม่อยากไปเกี่ยวดองต่างแคว้นเลยสักนิด นางยังอยากอยู่เสพสุขใช้ชีวิตอันสุขสำราญนี้ในเมืองหลวงต่อ นางไม่อยากไปทนเห็นคนชักสีหน้าใส่นางถึงเป่ยฮั่น! แต่ไม่ว่า…ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่าหรือพี่หญิงต่างก็ไม่มีใครช่วยนางเลย ท่านย่าแค่ดีใจที่ตระกูลมู่มีจวิ้นจู่เพิ่มมาอีกคน ท่านแม่มัวแต่เศร้าสร้อยเรื่องการตายของพี่รองและดีใจที่ในที่สุดตัวเองก็ได้เป็นฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหวจริงๆ สักทีแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจที่เป็นเพียงซูเหรินระดับสามเท่านั้น ถึงแม้จะทำใจห่างบุตรสาวอย่างนางไม่ได้แต่ก็ขัดพระราชโองการไม่ได้เช่นกัน! ระยะเวลาอันสั้นเพียงสองวันมู่อวิ๋นหรงกลับรู้สึกว่าทุกคนต่างทอดทิ้งนางกันหมดแล้ว
หย่งจยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาพลางกวาดตามองสีหน้าขึงขังของมู่อวิ๋นหรงด้วยท่าทีรังเกียจแวบหนึ่งแล้วแค่นเสียงเบากล่าว “ทางที่ดีเจ้าทำหน้าที่เป็นจวิ้นจู่ไปเกี่ยวดองต่างแคว้นดีๆ เถิด มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจเจ้าแล้วกัน”
“เจ้า! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไร้มารยาทกับข้า ในเมื่อเจ้าก็เป็นเพียงจวิ้นจู่คนหนึ่งเท่านั้น!”
หย่งจยาจวิ้นจู่ยิ้มเยาะเอ่ย “ก็สิทธ์ที่ข้าเป็นจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่นของจริงอย่างไรเล่า แต่เจ้า…เป็นตัวอะไรกันล่ะ หากไม่ใช่เพราะมีประโยชน์ใช้งานได้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นจวิ้นจู่ได้หรือ”
“ปิงเอ๋อร์” มู่ชิงอีเรียกนางเสียงเบา จากนั้นก็ลากตัวหย่งจยาจวิ้นจู่ที่พูดจาดุดันผลีผลามเกินไปมา ถึงแม้สิ่งที่หย่งจยาจวิ้นจู่พูดจะเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไรเสียเรื่องเกี่ยวดองก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับสองแคว้นและจะหักหน้าทั้งสองแคว้นเช่นนี้ไม่ได้ ทว่ามู่อวิ๋นหรงกลับไม่รับน้ำใจนี้ อีกทั้งยังถลึงตามองมู่ชิงอีแล้วรีบร้อนเดินหนีไป
“เจ้าจะไปไหน” หย่งจยาจวิ้นจู่มองแผ่นหลังของมู่อวิ๋นหรงที่เดินจากไปพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“พระตำหนักหวาหยาง” มู่อวิ๋นหรงขานตอบเสียงเรียบ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วมู่อวิ๋นหรงไปที่ใดก็คงไม่มีประโยชน์ ฮ่องเต้แคว้นหวาตัดสินใจเลือกนางไปเกี่ยวดอง ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของมู่เฟยหลวนแล้วจะกล้าขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้เช่นใด มู่อวิ๋นหรงไม่ยินดีเกี่ยวดองด้วย หย่งจยาจวิ้นจู่เองก็ไม่พอใจที่ต้องมีพี่สะใภ้ในอนาคตอย่างนี้เช่นกัน ต่อให้จะเป็นหนึ่งในพระสนมของเสด็จพี่ก็ตามที “ไม่รู้ว่าพี่สิบเอ็ดคิดเห็นเช่นใดถึงเห็นด้วยยอมให้มู่อวิ๋นหรงไปอภิเษกเกี่ยวดองถึงเป่ยฮั่น การเกี่ยวดองเช่นนี้ช่าง…” เห็นได้ชัดว่าเดิมทีหย่งจยาจวิ้นจู่นึกว่าการเกี่ยวดองเป็นเรื่องสำคัญศักดิ์สิทธิ์มากเรื่องหนึ่ง เพื่อความสันติของสองแคว้น ต่อให้เสด็จพี่ต้องการให้นางไปเกี่ยวดองต่างแคว้นนางก็ยินดีเป็นองค์หญิงเพื่อไปเกี่ยวดองอย่างไม่อิดออดเลย แต่ดูท่าทีจากการเลือกผู้เกี่ยวดองระหว่างสองแคว้นนี้แล้วกลับสะเพร่าราวกับเป็นเพียงเกมหนึ่งที่ไม่สำคัญอะไรมากกว่า
มู่ชิงอีฉีกยิ้มหวาน หย่งจยาจวิ้นจู่ยังเยาว์วัยเกินไปจริงๆ ดังนั้นนางถึงไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอีกมากมายที่ดูดีแค่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากไม่ใช่คนในเหตุการณ์ก็ไม่มีใครรู้ว่ามีเรื่องสกปรกอะไรซ่อนอยู่ข้างในนั้น
ในพระตำหนักหวาหยาง
มู่อวิ๋นหรงนั่งอยู่ด้านล่างของมู่เฟยหลวนพลางร่ำไห้คร่ำครวญ ทั่วทั้งพระตำหนักมีเพียงเสียงร้องไห้สะอื้นเศร้าโศกของนาง มู่เฟยหลวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วคู่งาม ฉับพลันแววตาก็ปรากฏความรำคาญใจให้เห็น “พอแล้ว เจ้าจะร้องไปถึงเมื่อใดกัน” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “พี่หญิง ข้าไม่อยากไปเกี่ยวดองต่างแคว้น ท่านช่วยขอร้องฝ่าบาททีเถิด ให้ส่งคนอื่นไปแทน”
“ขอร้องหรือ” พอพูดถึงเรื่องนี้ไฟโทสะของนางก็ปะทุขึ้นมาทันทีแล้วยิ้มเย็นชากล่าว “เจ้าก็พูดง่ายนี่! ข้าจะขอร้องเช่นใด นับตั้งแต่นังมู่ชิงอีโผล่หน้าเข้ามาในวัง ฝ่าบาทก็ไม่เคยแวะมาเหยียบพระตำหนักหวาหยางอีกเลย ข้าไม่เห็นแม้แต่เงาของพระองค์แล้วจะไปช่วยขอร้องแทนเจ้าได้อย่างไรกัน”
“เหตุ…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้” มู่อวิ๋นหรงนิ่งงันไป ตนเข้าใจว่าพี่หญิงได้รับการโปรดปรานถึงจะถูกสิ มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่รับปากว่าหลังจากให้กำเนิดบุตรแล้วจะทรงแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟยมิใช่หรือ มู่เฟยหลวนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า!” หลายวันมานี้เหมือนว่าฝ่าบาทจะชอบแวะไปหาหรงเฟย ระยะนี้คนในวังที่เข้ากับมู่ชิงอีได้เป็นอย่างดีก็คือหรงเฟย หรือมู่ชิงอีพูดกล่าวชื่นชมอะไรหรงเฟยต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท? ครั้นนึกถึงตรงนี้ก็ปรากฏความโกรธและเจ็บใจพาดผ่านแววตา
“เช่นนั้น…ข้าจะทำอย่างไรดีเล่า” มู่อวิ๋นหรงเอ่ยพร้อมน้ำตาคลอเบ้า
มู่เฟยหลวนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “แล้วจะทำอย่างไรได้ ไปเกี่ยวดองต่างแคว้นตามพระราชโองการของฝ่าบาทอย่างว่าง่ายเถอะ”
“ไม่เอา!” มู่อวิ๋นหรงตะโกนเสียงดังลั่น “ข้าไม่อยากไปเกี่ยวดอง พี่หญิงข้าขอร้องท่าน ข้าไม่อยากไปเป่ยฮั่น”
มู่เฟยหลวนถอนหายใจกล่าว “ข้าเองก็อับจนหนทางเช่นกัน เวลานี้น้ำหนักในการพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทของข้าห่างชั้นกับน้องหญิงสี่อยู่มากนัก หากเจ้าไม่อยากไปจริงๆ สู้เจ้าไปวิงวอนน้องหญิงสี่เสียยังดีกว่า”
มู่อวิ๋นหรงกัดฟันเอ่ย “เป็นเพราะนางทำให้ข้าต้องไปเกี่ยวดอง แล้วนางจะยอมช่วยข้าได้เช่นไร”