หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 203 น้ำใจขององค์ชาย (3)
เซ่าจิ่นเลิกคิ้วพลางยิ้มกล่าว “ใครจะไปรู้เล่า ไม่แน่เขาอาจจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเผลอไปล่วงเกินใครเข้าก็ได้” ด้วยนิสัยของมู่หรงอานหากจะล่วงเกินใครเข้าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่ด้วยสถานะของเขาในเมืองหลวงเลยทำให้ใครๆ ต่างต้องยอมเขาทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นคนนอกก็คงต่างกันออกไป
มู่ชิงอีมองพวกเขาสามคนอย่างนึกแปลกใจแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเซ่ามีหน้าที่ปกป้องดูแลความสงบสุขของประชาราษฎร์ เช่นนั้น…ต้องไปตามจับตัวคุณชายอวิ๋นอิ่นมาหรือไม่เล่า”
“จับหรือ หากคุณชายอวิ๋นอิ่นเก่งกาจดั่งที่จื่ออวี้ว่าจริงๆ กระหม่อมจะจับเขาไหวได้เช่นใด” เซ่าจิ่นฉีกยิ้มแสร้งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกใจ มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้ใต้เท้าเนี่ยเองก็ว่างคงช่วยงานใต้เท้าเซ่าได้บ้าง”
เห็นได้ชัดว่าเซ่าจิ่นไม่ได้สนใจเรื่องจับตัวคุณชายอวิ๋นอิ่นนี่เลย เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง “พวกเราก็แค่คุยเล่นกันเฉยๆ เท่านั้น โปรดองค์หญิงอย่าไปพูดเรื่องนี้กับใครเชียว”
“คุยเล่นกันเฉยๆ หรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม เซ่าจิ่นฉีกยิ้มใสซื่อแต่แฝงความใจดี “แล้วมิใช่การคุยเล่นกันหรืออย่างไร เรื่องที่เล่าต่อกันมาผ่านการใส่สีตีไข่เช่นนี้ก็แค่หยิบยกมาพูดคุยกันเล่นๆ เท่านั้น พวกเราไม่มีหลักฐาน ต่อให้คุณชายอวิ๋นอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าก็จับตัวเขาไม่ได้อยู่ดี”
ครั้นเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของพวกเขาสามคนอย่างชัดเจนเช่นนั้น มู่ชิงอีก็ลอบถอนหายใจให้กับปฏิสัมพันธ์อันย่ำแย่ของมู่หรงอานผู้นี้อย่างอดไม่ได้ แม้แต่บุรุษหนุ่มมากความสามารถที่มีใจจงรักภักดีต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์ยังไม่คิดจะสนใจต่อความเป็นความตายและฆาตกรเบื้องหลังขององค์ชายอย่างเขาเลย
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกสักพัก มู่ชิงอีก็ลุกขึ้นพาอิ๋งเอ๋อร์ขอตัวกลับ เดิมทีเนี่ยอวิ๋นคิดจะลุกขึ้นติดตามไปด้วย แต่มู่ชิงอีกลับยกมือขึ้นแล้วกดเขาให้นั่งลงไปเหมือนเดิม “ข้าก็แค่อยากเดินเล่นเรื่อยเปื่อยเท่านั้น หากมีหัวหน้าองครักษ์เนี่ยคอยติดตามแล้วข้าจะเดินไปไหนได้” ในเมืองหลวงคนที่รู้จักมู่ชิงอีมีน้อยนัก แต่คนที่ไม่รู้จักเนี่ยอวิ๋นเกรงว่าจะมีอยู่ไม่กี่คน หากพาองครักษ์คนหนึ่งไปเดินเล่นด้วย แบบนั้นคงตกเป็นเป้าสายตามากเกินไปจริงๆ เนี่ยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงนั่งลงไปเหมือนเดิมในที่สุด
เมื่อเห็นมู่ชิงอีเดินลงไปแล้ว เซ่าจิ่นก็ชะโงกศีรษะไปทางช่องหน้าต่างมองเงาร่างอันงดงามของมู่ชิงอีที่เดินเข้าสู่ฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมาอย่างช้าๆ จากนั้นถึงหันศีรษะกลับมามองเนี่ยอวิ๋นยิ้มเอ่ย “ดูท่าทางเนี่ยอวิ๋นจะดูเป็นกังวลไม่เบา องค์หญิงผู้นี้…เป็นอย่างไรบ้างหรือ”
เนี่ยอวิ๋นเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเรียบ “ร้ายไม่เบา”
ทว่าเซ่าจิ่นกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร ยิ้มพลางเอ่ย “เรื่องในวังหลายวันนี้คงเป็นฝีมือขององค์หญิงผู้นี้กระมัง” เนี่ยอวิ๋นมองเซ่าจิ่นด้วยท่าทีตกตะลึง เซ่าจิ่นยิ้มกล่าว “เรื่องนี้มีอะไรให้เดายากกัน โหรวเฟยกับอวิ๋นผินอยู่เป็นสุขดีไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย ทว่าพอองค์หญิงหมิงเจ๋อประทับอยู่ในวังดันเกิดเรื่องขึ้นได้ เพียงแต่ข้ารู้สึกค่อนข้างแปลกใจว่าองค์หญิงผู้นี้กลบเกลื่อนจุดน่าสงสัยของตนได้เช่นใด เกิดเรื่องในวังใหญ่โตขนาดนี้แต่กลับยังมีอารมณ์ออกมาเดินเล่นนอกวังได้” เซ่าจิ่นตัดสินคดีมามาก พอเห็นคดีน่าสนใจเลยอดสืบหาต้นตอของเรื่องไม่ได้
เนี่ยอวิ๋นมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสงบว่า “นางไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย”
“หมายความว่าเช่นไร”
“บุตรของโหรวเฟยไม่ใช่ฝีมือขององค์หญิงหมิงเจ๋อ รวมถึงเรื่องที่อวิ๋นผินถูกลดตำแหน่งก็ไม่ใช่ฝีมือขององค์หญิงหมิงเจ๋อเช่นกัน” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ
เซ่าจิ่นลูบคางพลางใช้ความคิด “เช่นนั้นนางทำอะไรไปอย่างนั้นหรือ”
“หากแค่ยั่วโมโหโหรวเฟยและอวิ๋นผิน เช่นนี้นับหรือไม่เล่า” เนี่ยอวิ๋นกล่าว
เซ่าจิ่นเงียบไปนาน ในที่สุดก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้ว่า “ยอดฝีมือชัดๆ! เนี่ยอวิ๋น เจ้าอย่าไปหาเรื่ององค์หญิงหมิงเจ๋อเด็ดขาด ระวังโดนนางเอาถึงตายได้เลย” เนี่ยอวิ๋นเงียบไม่ปริปากพูดอะไร จ้าวจื่ออวี้เอ่ยพลางครุ่นคิดบางอย่าง “ข้ากลับอยากรู้มากกว่าว่าโหรวเฟยแท้งลูกได้เช่นใด”
เนี่ยอวิ๋นมองจ้าวจื่ออวี้แวบหนึ่งอย่างเงียบๆ แต่ก็ยังคงปิดปากเงียบเช่นเคย เพียงแต่สีหน้าที่ปรากฏกลับดูแข็งทื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัดราวกับนึกถึงเรื่องที่ไม่ค่อยดีบางอย่างขึ้นได้
“พี่ใหญ่” ตอนที่มู่ชิงอีเห็นกู้ซิ่วถิง กู้ซิ่วถิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในเรือนหลานจื่อ เดิมทีนางยังนึกแปลกใจว่าพี่ใหญ่โผล่มาอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวโดยไร้สุ่มไร้เสียงเช่นนี้ได้อย่างไร ทว่าพอเห็นใครบางคนฉีกยิ้มแต่งแต้มใบหน้านั่งอยู่อีกฝั่ง นางก็ตัดความสงสัยนั้นทิ้งไปทันที
“พี่ใหญ่…” แค่เห็นสีหน้าของกู้ซิ่วถิง มู่ชิงอีก็รู้ทันทีว่าพี่ใหญ่กำลังโกรธอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาต่อให้กู้ซิ่วถิงโกรธก็ไม่เคยตวาดเสียงใส่หรือเปิดปากด่าทอสั่งสอนเลยสักครั้ง เขาแค่จับจ้องด้วยสายตาแน่นิ่งโดยไม่พูดอะไรแต่กลับชวนให้คนๆ นั้นรู้สึกละอายใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้า มู่ชิงอีที่เติบโตมาภายใต้การอบรมสั่งสอนที่อ่อนโยนของพี่ใหญ่เช่นนี้มาตั้งแต่เด็กย่อมคุ้นเคยมากเป็นธรรมดา “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่มาได้อย่างไรเจ้าคะ หากถูกใครสังเกตเห็นเข้า…”
“หากข้าไม่มา อีกเดี๋ยวเจ้าคงกลับวังไปโดยไม่คิดจะแวะหาข้าเลยกระมัง” กู้ซิ่วถิงวางหนังสือลงแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบ
“ข้า…” มู่ชิงอีรู้แก่ใจดีว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรนัก นางเหลือบมองกู้ซิ่วถิงแวบหนึ่งอย่างระมัดระวังถึงเอ่ยว่า “ข้าวางแผนทุกอย่างไว้นานแล้ว ข้าไม่มีอันตรายใดหรอก เนี่ยอวิ๋นเองก็แอบติดตามข้าอยู่ตลอด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ เขาย่อมต้องช่วยข้าออกมาอยู่แล้ว ข้า…ไม่ได้มีอันตรายใดเลย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงไม่มาเจอข้า ไม่อยากเห็นหน้าพี่ใหญ่แล้วหรือ” กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วเอ่ยถาม
มู่ชิงอีแอบร้องโอดครวญในใจ จากนั้นก็ถลึงตาจ้องใครบางคนที่กำลังนั่งดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง องค์ชายหรงจิ่นรู้สึกน้อยใจขึ้นมาชั่วขณะ เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง เหตุใดชิงชิงถึงต้องโกรธเขาด้วยเล่า
“พี่ใหญ่ ชิงชิงสำนึกผิดแล้ว พี่ใหญ่อย่าถือโทษนางเลย” ครั้นเห็นความทุกข์ใจบนดวงหน้าเล็กของชิงชิง องค์ชายเก้าก็รีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างปวดใจ
ทว่ากู้ซิ่วถิงกลับแววตาหม่นลงเล็กน้อย จากนั้นแววตาเรียบนิ่งก็กวาดไปมองทางหรงจิ่น “องค์ชายเก้าเกรงใจกันเกินไปแล้ว องค์ชายเรียกข้าว่าคุณชายกู้ก็พอ” พวกเราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นสักหน่อย หรงจิ่นยิ้มตาหยีกล่าว “คนกันเองทั้งนั้น เหตุใดถึงต้องทำตัวห่างเหินกันด้วยเล่า ชิงชิงรีบขอโทษพี่ใหญ่เร็วเข้า” แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายเก้ามักเมินเฉยต่อคำพูดที่ตนไม่อยากฟังอยู่แล้ว
มู่ชิงอีกลอกตาใส่หรงจิ่นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็กระตุกแขนเสื้อของกู้ซิ่วถิงเบาๆ ไปมา“พี่ใหญ่…ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็นะ ไม่คิดบ้างเลยว่าหากเป็นอะไรขึ้นมา…” กู้ซิ่วถิงถอนหายใจอย่างเอือมระอา จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มสลวยของนาง องค์ชายเก้าถลึงตาจับจ้องมือที่อยู่บนศีรษะของมู่ชิงอีอย่างอิจฉา ชิงชิงไม่เคยอ่อนโยนว่าง่ายเช่นนี้ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง!
ครั้นเห็นพี่ใหญ่คลายความโกรธลงบ้างแล้ว มู่ชิงอีถึงผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็รีบดึงให้กู้ซิ่วถิงนั่งลงพร้อมเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่เป็นที่พักพิงของมู่หรงจ้าวแล้วหรือ พี่ใหญ่สุดยอดมากจริงๆ เจ้าค่ะ” กู้ซิ่วถิงส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้ขาดก็แค่โอกาส”
มู่ชิงอีดวงตาลุกวาว “พี่ใหญ่คิดจะทำอะไรหรือ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มบางเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป อย่าก่อเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็นในวังอีกก็พอ แต่หากออกวังเร็วหน่อยข้าก็จะได้วางใจ ส่วนอีกเรื่องเจ้าส่งสารไปให้มู่หรงเสียทีว่าให้เขาร่วมมือกับมู่หรงจ้าวเพื่อต่อกรกับมู่หรงอวี้”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้มู่หรงจ้าวเริ่มผงาดขึ้นมาแล้ว แต่หากให้มู่หรงเสียเลือกล่ะก็ เขาคงยอมสู้กับมู่หรงจ้าวแทนมู่หรงอวี้มากกว่า แต่ถ้ามู่หรงจ้าวเป็นใหญ่ขึ้นมาจริงๆ คงวุ่นวายยุ่งยากกว่ามู่หรงอวี้มาก” ไม่ได้หมายความว่ามู่หรงจ้าวเก่งกาจอะไรนักหนา แต่ด้วยภูมิหลังของหรงเฟยดีกว่าจูอวิ๋นเฟยอยู่มาก ตระกูลทรงอิทธิพลในเมืองหลวงต่างซับซ้อนรับมือยากและพัวพันกันไปหมด อีกอย่างจุดอ่อนของมู่หรงอวี้และมู่หรงเสียก็คือความอ่อนแอของตระกูลทางฝั่งมารดาต่างหาก
กู้ซิ่วถิงเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องห่วงไปหรอก พอถึงตอนนั้น…จ้าวจื่ออวี้ต้องช่วยเขาอยู่แล้ว”