หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 204 น้ำใจขององค์ชาย (4)
“เอ๊ะ” มู่ชิงอีเผยท่าทีตกใจ “พี่ใหญ่หมายความว่าเช่นใดหรือ”
“จ้าวจื่ออวี้ไม่ใช่คนของมู่หรงเสีย แต่ที่ผ่านมาเขาพยายามใกล้ชิดมู่หรงเสียมาโดยตลอด ชิงอีรู้ไหมว่าเป็นเพราะเหตุใด” กู้ซิ่วถิงเอ่ยถาม มู่ชิงอีผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัวทันทีจึงโพล่งออกไปว่า “เพื่อรักษาความสมดุล! จ้าวจื่ออวี้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นหวา การกระทำทุกอย่างของเขาล้วนเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้แคว้นหวา”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดังนั้น…ไม่ต้องกังวลว่ามู่หรงจ้าวจะไม่ลงมือทำอะไร เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ามู่หรงอวี้ต่างหากที่เป็นศัตรูตัวฉกาจ ตอนนี้หากมีโอกาสได้กำจัดมู่หรงอวี้ เขาแทบอดใจรอไม่ไหวด้วยซ้ำ” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกเขา ท่านพี่ ทางฝั่งอวิ๋นผิน…”
กู้ซิ่วถิงส่ายศีรษะกล่าว “เอาข้อมูลเรื่องอวิ๋นผินและท่านน้าหญิงบอกมู่หรงเสียไปพร้อมกันเลย เขาต้องจัดการสืบต่อและย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรทำเช่นไรต่อไป” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ซิ่วถิงมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยถามว่า “ตกลงเรื่องมู่เฟยหลวน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่” จู่ๆ ข่าวแท้งลูกของมู่เฟยหลวนก็หลุดแพร่งพรายออกมา แม้แต่กู้ซิ่วถิงยังพลอยตกใจตามไปด้วย ถึงอย่างไรมู่เฟยหลวนก็เป็นสนมองค์โปรดที่กำลังตั้งครรภ์องค์ชายตัวน้อย หากชิงอีลงมือทำร้ายนางด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่นนี้คงวุ่นวายไม่น้อย แต่ครั้นเห็นท่าทีผ่อนคลายสบายๆ ของน้องสาว กู้ซิ่วถิงก็วางใจอย่างรวดเร็ว เขารู้นิสัยของน้องสาวเขาดีว่าไม่ใช่คนกระทำการหุนหันพลันแล่นแน่นอน
มู่ชิงอียกยิ้มเย็นชาที่มุมปากเชิงเยาะเย้ยแล้วถึงยิ้มหวานหยดย้อยเอ่ย “มู่เฟยหลวนหรือ นาง…ปรารถนาอยากแต่จะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นหวา กระทั่งยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นคนโปรด ข้าก็แค่…มอบความรักอันเร่าร้อนสะท้านฟ้าสะเทือนดินให้นางก็เท่านั้น ใครจะไปรู้ว่านางทนไม่ไหวจนแท้งไปเองเล่า” กู้ซิ่วถิงยังไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ ทว่าหรงจิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งทันทีแล้วปรบมือเอ่ยชื่นชมนางไม่หยุด “ความคิดของชิงชิงช่าง…ยอดเยี่ยมไปเลย เหอะๆ…ต่อให้เป็นข้าก็ยังนึกวิธีการยอดเยี่ยมขนาดนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แบบนี้ถือว่า…ทำมาเช่นใดก็เอากลับคืนไปเช่นนั้นกระมัง”
กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วมุ่น ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าน้องสาวทำอะไรลงไป แต่ขอแค่ไม่เป็นอันตรายต่อนางก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว เพียงแต่คนที่ไม่เข้าใจความหมายอย่างเขาพาลไม่ชอบใจหรงจิ่นที่เป็นคนนอกแต่กลับเข้าใจความหมายอย่างรวดเร็วไปด้วย ทว่าคุณชายซิ่วถิงกลับไม่รู้เลยว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกใบนี้จะเคยเจอเรื่องน่าสะอิดสะเอียนบนโลกนี้มาอย่างโชกโชนได้เฉกเช่นเดียวกับองค์ชายหรงจิ่น กระทั่งตัวเขาเองก็ร้ายกาจจนไร้หนทางรักษาได้แล้ว กระนั้นต่อให้คุณชายซิ่วถิงจะเคยได้รับความยากลำบากมาไม่น้อยแต่ก็ไม่ถึงขั้นเปิดโลกกว้างเห็นอะไรมามากมายขนาดนั้น
จวนซู่เฉิงโหวไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่ได้นาน หลังจากพูดในสิ่งที่ควรพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว กู้ซิ่วถิงก็ลุกขึ้นออกจากจวนไป ทว่าหรงจิ่นไม่ได้เป็นคนไปส่งกู้ซิ่วถิงกลับด้วยตัวเองแต่เรียกให้อู๋ฉิงองครักษ์ติดตามพากู้ซิ่วถิงกลับไปแทน ถึงแม้คุณชายซิ่วถิงจะไม่พอใจในท่าทีของใครบางคน ทว่าคนที่มีความรู้เพียงเรื่องตำราแต่ร่างกายอ่อนแอพละกำลังน้อยนิดเหมือนไก่อ่อนจะทำอะไรได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ช่างเปรียบได้ดั่งสำนวนที่ว่า นักปราชญ์เจอทหาร[1]จริงๆ
“ชิงชิง เมื่อวานเจ้าเล่นละครได้สมบทบาทนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง” ทันทีที่คุณชายซิ่วถิงจากไป องค์ชายเก้าก็เผยธาตุแท้ของตนทันที มู่ชิงอียิ้มเย็นชา “มีอะไรให้น่าดูกัน ตอนนี้โหรวเฟยยังอยู่ในตำหนักเย็นอยู่เลย หากองค์ชายสนใจนักก็ลองไปเยี่ยมดูสิเพคะ”
หรงจิ่นรั้งร่างบางนุ่มนิ่มของสาวน้อยจากด้านหลังอย่างเบามือมาไว้ในอ้อมอกของตน จากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ชิงชิงคิดว่าตัวเองลงมือโหดเหี้ยมเกินไปอย่างนั้นหรือ”
“เหลวไหล!” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นหมายจะดันแขนของเขาออก แต่หากองค์ชายเก้าใจแข็งไม่ปล่อยมือล่ะก็ อาศัยแค่พละกำลังของสาวน้อยคนหนึ่งไม่ว่าเช่นไรก็ดันแขนเขาออกไม่ไหวอยู่แล้ว ถึงแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อนแต่อ้อมกอดของหรงจิ่นกลับไม่ได้อบอุ่นเท่าไรนัก หลังจากใช้เครื่องหอมโยวหันที่มู่ชิงอีทำขึ้นก็ยิ่งมีไอเย็นอ่อนๆ ติดตัวตลอด ทว่ามู่ชิงอีกลับเริ่มรู้สึกว่าอาการฟุ้งซ่านที่มีมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานก็ค่อยๆ สงบลงภายใต้ไอเย็นอ่อนๆ นั้น
“นั่นก็เพราะ…เด็กอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ชิงชิงไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก เจ้าเด็กนั่นเกิดในเชื้อพระวงศ์ อีกอย่างถ้ามีแม่แบบนั้น…สู้ไม่เกิดมาเสียยังดีกว่า แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ…เกิดมาในตระกูลเชื้อกษัตริย์กระมัง”
มู่ชิงอีแค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “องค์ชายคิดมากไปแล้วเพคะ หม่อมฉันจะนึกเสียใจทีหลังได้เช่นไร ตอนนั้นนางทำเรื่องแบบนั้นได้ลงคอ บัดนี้ข้าก็แค่เอาคืนนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่าง…องค์ชายคิดว่าหม่อมฉันจะใจอ่อนหรือ” ยามที่ตระกูลกู้ถูกทำลายย่อยยับ ยามที่นางถูกส่งตัวไปยังสถานเริงรมย์ ยามที่นางอยู่ท่ามกลางกองไฟขณะที่จุดไฟเผาตัวเองก่อนหน้านี้ นางก็ไม่หลงเหลือพื้นที่ความใจอ่อนให้แก่คนที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นอีกต่อไป นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกู้ที่แสนภาคภูมิ งดงามสะสวย เฉลียวฉลาดแต่ใสซื่อคนนั้นมานานแล้ว
“แต่ความไม่สบายใจก็คงมีบ้างกระมัง” หรงจิ่นยิ้มตาหยีกล่าว “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ค่อยๆ ชินไปเอง ครั้งแรกที่ข้าฆ่าคนก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าเท่าไรเลย”
มู่ชิงอีกระตุกยิ้มที่มุมปาก “องค์ชายเก้าฆ่าคนครั้งแรก…ตอนอายุเท่าไรหรือ”
“หกชันษา” องค์ชายเก้ากล่าวอย่างภาคภูมิราวกับได้กระทำการยิ่งใหญ่ทำนองนั้นก็มิปาน “ดังนั้นชิงชิงก็ไม่ต้องกลัวไป เรื่องนี้ข้ามีประสบการณ์โชกโชนนัก” มู่ชิงอีกลอกตามองใส่ไปที จากนั้นก็ลุกขึ้นผลักเขาออก “องค์ชายคิดมากไปแล้วเพคะ” นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ ในเมื่อครั้งนี้นั้นถือเป็นการปลิดชีวิตด้วยน้ำมือของนางเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างกว่าลอบวางแผนแล้วส่งคนไปจัดการเหมือนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง อีกอย่างยังเป็น…เด็กอายุไม่กี่เดือนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยหนึ่งชีวิต แต่พอถูกหรงจิ่นหยอกเย้าเช่นนี้ ความไม่สบายใจที่มีอยู่น้อยนิดก็มลายหายไปจนสิ้น
นางไม่ได้ซักไซ้ถามหรงจิ่นว่าเหตุใดถึงฆ่าคนตอนอายุเพียงหกชันษา เพราะแต่ละคนมีความทุกข์ใจเป็นของตัวเอง องค์ชายเก้าย่อมไม่มีทางเกิดมาแล้วลงมือกระทำการเหี้ยมโหดโดยไร้เหตุปัจจัยจุดประสงค์ใดเลยเช่นนั้นกระมัง
หรงจิ่นกลับไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เขารั้งมู่ชิงอีไว้ไม่คลายมือแต่อย่างใดแล้วเอ่ยยิ้มๆ เสียงต่ำ “พูดถึง…สิ่งที่ชิงชิงทำไปเมื่อวานก็เสี่ยงอันตรายมากจริงๆ ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “เสี่ยงอันตรายหรือ” หรงจิ่นเอ่ย “มิใช่หรือ ชิงชิงเชื่อใจเนี่ยอวิ๋นขนาดนั้นเชียวหรือ หากเขาไม่ช่วยเจ้าจะทำเช่นใดเล่า”
มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว “เช่นนั้นข้าก็คง…ทำได้แค่นี้แล้วล่ะ!” มู่ชิงอีหันไปมองพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นทันทีที่ยกแขนเสื้อขึ้นก็ปรากฏแสงประกายวาววับพุ่งออกมา หรงจิ่นรีบเบี่ยงตัวหลบอาวุธที่มู่ชิงอีส่งมาอย่างว่องไว พอหันกลับไปมองอาวุธลับแสงวาววับสีน้ำเงินที่ปักอยู่บนกำแพง หรงจิ่นก็มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าแค้นใจ “ชิงชิง เจ้าช่างโหดนัก” ถึงแม้ไม่ได้ดูใกล้ๆ แต่ทันทีที่เขาเห็นสีก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นยางน่อง[2]ซึ่งมีพิษร้ายแรง เกรงว่าถึงจะโดนเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้ตายได้เลยทีเดียว
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “นั่นเป็นเพราะข้าเชื่อมั่นในฝีมือขององค์ชายเก้ามิใช่หรือ”
หากคนที่ใช้เจ้าอาวุธลับนี้คือเนี่ยอวิ๋นหรือเว่ยอู๋จี้ตอนยังไม่ทันตั้งตัว บางทีอาจะโดนหรงจิ่นเข้าก็ได้ แต่หากเป็นมือใหม่ที่ไม่มีวิทยายุทธ์ติดตัวเลยสักนิดอย่างมู่ชิงอี ต่อให้จะให้เวลานางเป็นฝ่ายลงมือก่อน นางก็ไม่มีทางทำอะไรหรงจิ่นได้ หรงจิ่นคว้ามือของมู่ชิงอีมาดูด้วยท่าทีสนใจ ที่แท้ไม่ใช่เพราะมู่ชิงอีใช้อาวุธลับได้อย่างช่ำชองภายในระยะไม่กี่วัน แต่เป็นเพราะบนข้อมือของมู่ชิงอีแอบซ่อนอาวุธลับขนาดเล็กใส่ไว้ในกำไลอันหนึ่ง ซึ่งรูปลักษณ์คล้ายเกาทัณฑ์แขนเสื้อ[3] แต่กลับประณีตงดงามกว่าเกาทัณฑ์แขนเสื้อนัก อานุภาพอาจน้อยกว่าหน่อยแต่ใช้งานง่ายกว่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจทำให้โดยเฉพาะ
——————
[1] นักปราชญ์เจอทหาร แปลว่า นักปราชญ์มักใช้เหตุผลแก้ปัญหา แต่ทหารกลับชอบใช้แต่กำลังแก้ปัญหา ดังนั้นนักปราชญ์จึงสู้ทหารไม่ได้
[2]ยางน่อง เป็นยางไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีพิษร้ายแรง ปกติใช้ชุบลูกดอกยิงสัตว์
[3]เกาทัณฑ์แขนเสื้อเป็นอาวุธลับโบราณชนิดหนึ่ง กระบอกยิงและตัวลูกศรขนาดเล็กพอที่จะมัดติดแขน ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อได้ ใช้กลไกในการยิง