หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 205 สภาพที่น่าเวทนาของโหรวเฟย (1)
“อาวุธนี่…ฝีมือเนี่ยอวิ๋นหรือ” หรงจิ่นเอ่ยถามอย่างปวดใจ คนในวังที่พอจะทำอาวุธนี้ให้ชิงชิงได้ก็มีแค่เนี่ยอวิ๋นแล้วล่ะ มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบัง “ใช่แล้ว แต่ว่า…เดิมทีด้านบนชุบยาสลบไว้ด้วย” นางรู้สึกว่าประสิทธิภาพของยาสลบยังไม่เพียงพอเลยเปลี่ยนเป็นยาพิษร้ายแรงที่ส่องแสงประกายวาววับสีน้ำเงินนี่แทน
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ล้วงของที่ซ่อนไว้บนทรวงอกมาวางไว้บนโต๊ะกองโต จากนั้นก็ลากตัวมู่ชิงอีนั่งลงค่อยๆ เลือก มู่ชิงอีมองสิ่งของที่วางเรียงรายนานาชนิดบนโต๊ะด้วยท่าทีงุนงง นางมองไม่ออกว่าเจ้าของพวกนี้มีประโยชน์เช่นไรอย่างสิ้นเชิง
ทว่าเหมือนหรงจิ่นจะพึงพอใจกับเจ้าของพวกนี้พอควร เขายิ้มตาหยีคว้าสร้อยคอไข่มุกที่ไม่ค่อยเตะตาเท่าไรส่งให้มู่ชิงอี แล้วเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มสดใส “เจ้าของพวกนี้ข้าตั้งใจหามาให้ชิงชิงในหลายวันมานี้เลยนะ อันนี้ใส่ไว้…”
“หม่อมฉันขอถามได้ไหมเพคะว่านี่คืออะไร” มู่ชิงอีคว้ามือของหรงจิ่นที่หมายจะใส่สร้อยคอให้ตนไว้ นางรู้สึกว่าเจ้าของสิ่งนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร หรงจิ่นคลี่ยิ้มแต่งแต้มใบหน้า “เจ้านี่…ก็คือไข่มุกทลายศพ ของชั้นดีที่ควรมีเตรียมไว้ฆ่าปิดปากคน ทำลายศพและลบร่องรอย” จากนั้นก็หยิบไข่มุกสีม่วงอ่อนที่มีเสียงกระดิ่งอีกเม็ดขึ้นมาเอ่ย “ในนี้มียาสลายพิษซ่อนอยู่ มันช่วยขจัดพิษได้มากทีเดียว ต่อให้จะขจัดพิษนั้นทิ้งไม่ได้แต่ก็ห้ามไม่ให้พิษกระจายตัวได้ชั่วคราว” มู่ชิงอีมองไข่มุกสีชมพูและสีม่วงบนสร้อยคอ หลังจากไตร่ตรองไข่มุกทลายศพอะไรนั่นดูแล้วก็พลันเอือมระอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ชิงชิงไม่ต้องกลัวไป หากคนยังไม่ตายของพวกนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลหรอก แล้วก็อีกอย่าง…เจ้านี่ใช้ดีกว่ากำไลอาวุธลับอะไรนั่นเสียอีก” หรงจิ่นเลือกหยิบแหวนหยกขาวที่ดูเรียบง่ายแต่ประณีตวงหนึ่งขึ้นมาจากกองของที่วางกระจัดกระจายเต็มไปหมด บนแหวนวงนั้นยังสลักภาพกิ่งก้านดอกกล้วยไม้ไว้ด้วย ถึงจะงดงามเรียบง่ายแต่กลับไม่ได้ดูมีราคาค่างวดอะไร หรงจิ่นคว้ามือนางขึ้นมาแล้วสวมแหวนวงนี้ใส่นิ้วเรียวงามของนางอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีกล่าว “ตรงนี้…ทำเพียงเท่านี้…ด้านในก็จะปล่อยเข็มเล็กที่อาบไปด้วยพิษออกมา อย่างมองแค่ว่ามันเป็นเพียงแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งเท่านั้นนะ เพราะด้านในมีเข็มพิษทั้งหมดสิบเก้าดอกเชียว ต่อให้เข็มพิษจะถูกใช้หมดแล้ว แต่ขอแค่โยนแหวนวงนี้ทิ้งจนแตกละเอียด พิษด้านในก็ยังปล่อยใส่ทุกคนที่อยู่ภายในระยะสิบก้าวได้ในทันทีอีกด้วย”
“เข็มพิษสิบเก้าม้วยวิญญาณหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยพลางกะพริบตาปริบๆ
“ไอ๊หยา ดูท่าทางไท่สื่อเหิงจะบอกอะไรชิงชิงมาไม่น้อยเลย” หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าใช้เวลาไปตั้งมากเพื่อรวบรวมของพวกนี้นำมาปรับเปลี่ยนเป็นแหวนวงนี้ อืม พกของติดตัวมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่ในเมื่อเนี่ยอวิ๋นขี้ขลาดตาขาวนัก เช่นนั้นก็เลือกอีกสักอย่างแล้วกัน” หรงจิ่นหยิบกล่องหยกขาวขนาดกะทัดรัดวิจิตรงดงามอันหนึ่งยัดใส่มือของมู่ชิงอี กล่องที่แกะสลักมาจากหยกขาวนั้นมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือมู่ชิงอีอยู่หน่อย ด้านบนฝังอัญมณีสีฟ้าและสลักลวดลายดอกไม้ มองดูแล้วกลับเหมือนของเล่นที่ทำขึ้นอย่างประณีตสามารถหยิบเอามาจับเล่นได้ตามใจชอบ มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามได้รูปแล้วมองไปทางหรงจิ่นอย่างสงสัย หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “ส่วนเจ้านี่…เข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณ ดังนั้น…หากไม่ใช่ยามคับขันจริงๆ ชิงชิงห้ามใช้มันเด็ดขาด อย่ามองแค่ว่าเจ้านี่ขนาดเล็กนิดเดียว เพราะอานุภาพที่ปล่อยออกมามากกว่าเกาทัณฑ์แขนเสื้อเสียอีก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาว่ากันว่ากล่องขนาดเล็กแค่นี้บรรจุเข็มไว้ถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มเชียวล่ะ แหวนของเจ้าเองข้าก็ดัดแปลงมาจากเจ้านี่เหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่ข้าทุ่มเทไปตั้งมากแต่กลับใส่เข็มได้มากสุดเพียงสิบเก้าเล่มเท่านั้น ทันทีที่เจ้านี่ถูกปล่อยออกมา…ต่อให้เป็นข้า…เกรงว่าก็เกือบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน เพราะพลานุภาพรุนแรงมาก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยมีใครสัมผัสเข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณมาก่อน แต่น่าเสียดายที่ผู้คิดค้นเจ้านี่ถูกคนฆ่าตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว น่าจะ…เหลือเพียงกล่องนี้เป็นกล่องสุดท้ายแล้วล่ะ ชิงชิงเก็บไว้ใช้ป้องกันตัวเถิด”
มู่ชิงอีบีบกล่องหยกขาวในมือและไม่รู้ว่าควรพูดอะไรในยามนี้ดี แม้หรงจิ่นผู้นี้จะโหดเหี้ยมอำมหิตร้ายกาจมากจริงๆ แต่เขาก็ดีกับนางมากเช่นกัน ถึงแม้ว่าอาจจะทำเพื่อสิ่งที่เรียกว่าที่ปรึกษาทางการทหารอะไรนั่นของเขา แต่อย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจกับที่ปรึกษาทางการทหารคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าให้ลงทุนด้วยหรือไม่ “หรงจิ่น...”
ราวกับรู้ว่านางจะพูดอะไร หรงจิ่นมองมู่ชิงอีพลางยิ้มตาหยีเอ่ย “ชิงชิงซึ้งใจขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่เล่า เช่นนั้นก็รีบกลับไปกับข้าเร็วๆ ข้าจะปฏิบัติกับชิงชิงเป็นอย่างดีเลย”
มู่ชิงอีกลอกตามองใส่เขาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ พลันรู้สึกว่าตนไม่ควรซาบซึ้งน้ำใจเขาเร็วเกินไปนัก แต่หรงจิ่นกลับฉีกยิ้มจริงใจให้ “ชิงชิงแตกต่างจากคนอื่น”
ช่างชั่วร้ายจริงๆ! สาวน้อยที่ถูกบุรุษชุดดำรั้งอยู่ในอ้อมกอดจนขยับตัวไม่ได้ลอบสบถอยู่ในใจ
ด้วยเหตุนี้องค์หญิงหมิงเจ๋อเลยพกเจ้าพวกของน่ากลัวมากมายเหล่านี้กลับเข้าวังไปด้วยภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครรู้เรื่องเลยสักนิด
ทันทีที่กลับเข้าวังมา ทันใดนั้นก็มีขันทีที่คอยติดตามรับใช้ฮ่องเต้แคว้นหวามาถ่ายทอดพระราชโองการขอให้เข้าเฝ้า มู่ชิงอีเลิกคิ้ว แต่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนจะตามไปยังพระตำหนักฉินเจิ้ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อวานมาแล้วฮ่องเต้แคว้นหวาจะมีท่าทีต่อนางเช่นใด แต่กระนั้นคำสั่งเรียกเข้าเฝ้าของฮ่องเต้ก็มิอาจเลี่ยงได้เช่นกัน เดิมทีนางยังคิดว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่น่าจะเรียกนางเข้าเฝ้ารวดเร็วขนาดนี้
“หมิงเจ๋อขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” ในพระตำหนัก มู่ชิงอีมองฮ่องเต้แคว้นหวาที่นั่งอยู่ด้านบนพร้อมทำความเคารพอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้แคว้นหวาเหมือนดูชราลงไปมากเพียงในชั่วข้ามคืน คนส่วนมากอาจคิดว่าเป็นเพราะไม่มีองค์ชายตัวน้อยในครรภ์ของโหรวเฟยแล้วเลยทำให้พระองค์เป็นเช่นนี้ แต่มู่ชิงอีรู้แก่ใจดีว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรในครรภ์ของโหรวเฟยอย่างที่เขาแสดงออกมาขนาดนั้น
ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องมู่ชิงอีด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจตรัสว่า “หมิงเจ๋อ เราขอโทษด้วยเรื่องแม่ของเจ้า เจ้าจะโกรธเกลียดข้าหรือไม่” มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสบตาฮ่องเต้แคว้นหวาโดยไม่คิดหลบสายตาแต่อย่างใดแล้วเอ่ย “เรื่องของท่านแม่…จะโทษฝ่าบาทได้เช่นใดเล่าเพคะ เป็นเพราะท่านแม่…มีชีวิตที่ขมขื่น…”
ความละอายใจที่ปรากฏบนใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นหวาเผยชัดมากขึ้นกว่าเดิม เขามองมู่ชิงอีตรัสว่า “เป็นเพราะเราไม่คิดให้รอบคอบเอง กระทั่งเชื่อคำพูดของนังสารเลวมู่เฟยหลวนนั่น! ถึงได้ทำร้ายแม่ของเจ้า…แม่ของเจ้ากับบุตรในครรภ์…” ครั้นได้ยินฮ่องเต้แคว้นหวาพึมพำด่าทอตัวเองด้วยท่าทีเศร้าเสียใจ มู่ชิงอีก็หลุบตาลงพลางขบคิดในใจ ดูท่าทางฮ่องเต้แคว้นหวาจะฟังมาไม่หมด เห็นได้ชัดว่ามู่เฟยหลวนไม่ได้บอกเรื่องที่ตนข่มขู่น้าหญิงในตอนนั้นออกไป ฮ่องเต้แคว้นหวายังคงหลงคิดไปว่าน้าหญิงเองก็มีใจให้เขาไปเองฝ่ายเดียวเหมือนเคย เพราะเหตุนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาจึงยิ่งเกลียดชังมู่เฟยหลวนและเกลียดจวนซู่เฉิงโหวมากกว่าเดิม
หากต้องการให้ฮ่องเต้แคว้นหวาเชื่อใจและโปรดปรานตนมากขึ้น เวลานี้ขอแค่เอ่ยคำปลอบประโลมเขาสักหน่อยซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มู่ชิงอีกลับทำไม่ลง นางมิอาจเสแสร้งทำเป็นว่าน้าหญิงมีใจให้ฮ่องเต้แคว้นหวาได้ อีกอย่างการใช้ชื่อของน้าหญิงเพื่อปลอบประโลมคนๆ หนึ่งที่เคยฆ่านางตาย ถึงแม้จะทำเพื่อแผนการและกลอุบาย แต่นางก็ทำไม่ลงจริงๆ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่เพียงเงียบไป
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เฉกเช่นเดียวกับที่เขาโปรดปรานมู่เฟยหลวนหลายปีมานี้ เขาเพียงแค่ต้องการใครสักคนมาคอยรำลึกความหลังเป็นเพื่อนเขา ฟังเขาระบายเรื่องความรักของเขา ทว่าบัดนี้คนรับหน้าที่นี้เปลี่ยนจากมู่เฟยหลวนเป็นมู่ชิงอีแล้ว มู่ชิงอีเป็นบุตรสาวของจังอานหรู ฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็อยากได้นางมาเป็นบุตรสาวของตน การหวนรำลึกถึงคนรักกับบุตรสาวของนาง ทำให้เขารู้สึกอยู่กับความเป็นจริงและสบายใจกว่าถวิลหาความทรงจำของคนรักที่ตายไปแล้วกับเหล่าสนมอยู่มากโข เขาสามารถถือว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นบุตรสาวระหว่างเขากับอานหรูได้ การพูดคุยรำลึกถึงเรื่องภรรยากับบุตรสาวเช่นนี้ชวนให้เขาหลงคิดรู้สึกไปว่าจังอานหรูเป็นภรรยาของเขาและไม่ใช่ฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหวอย่างง่ายดาย ดังนั้น…เขาต้องรีบกำจัดจวนซู่เฉิงโหวทิ้งเสีย! จากนั้นประกายเย็นยะเยือกก็พาดผ่านแววตาของฮ่องเต้แคว้นหวา หากไม่มีจวนซู่เฉิงโหวแล้วหมิงเจ๋อถึงจะกลายเป็นบุตรสาวของเขาอย่างแท้จริง ถึงแม้มู่ฉังหมิงจะนับว่าเป็นขุนนางที่มีความจงรักภักดีใช้งานได้ แต่ทุกอย่างนั้นกลับเทียบกับความผิดที่เขาแย่งบุตรสาวของตนไปและทำร้ายบุตรน้อยในครรภ์ของตนและอานหรูไม่ได้เลย!