หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 220 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรตีตัวออกห่าง (1)
“ทูลฝ่าบาท หรงเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีนอกประตูเอ่ยกราบทูลอย่างนอบน้อม
“ไล่นางไปเสีย!” เมื่อครู่เขาถูกมู่หรงจ้าวยั่วโมโหแทบแย่ เวลานี้พอได้ยินว่าหรงเฟยมา ฮ่องเต้แคว้นหวาย่อมชักสีหน้าหงุดหงิดเป็นธรรมดา ไม่นานด้านนอกพระตำหนักก็เงียบกริบ ขันทีนอกพระตำหนักฉินเจิ้งมองหรงเฟยเบื้องหน้าอย่างระแวดระวังแล้วยิ้มน้อยๆ กล่าว “หรงเฟย ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ไม่เช่นนั้น…ท่านค่อยมาใหม่วันหลังดีหรือไม่เล่า”
หรงเฟยรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้แคว้นหวาอารมณ์ไม่ดีเลยพยักหน้าเอ่ยอย่างไม่อิดออดว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าคอยเฝ้ารับใช้ฝ่าบาทให้ดีเถิด”
หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากพระตำหนักฉินเจิ้ง หรงเฟยเปลี่ยนเส้นทางจากสวนดอกไม้เป็นเรือนรับรองหมิงฟังแทน ฮ่องเต้แคว้นหวามีท่าทีเช่นใดต่อเรื่องของตระกูลกู้ หรงเฟยย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้นนางถึงไม่เข้าใจว่าบุตรชายเกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาถึงเอาเรื่องนี้มาโจมตีมู่หรงอวี้ หากสำเร็จยังพอว่า แต่หากไม่สำเร็จล่ะก็ วันหน้าจ้าวเอ๋อร์คงไม่มีทางกลับมาผงาดได้อีกแน่ แต่…ก็นับว่าโชคดีที่ยังมีมู่หรงเสียคอยหนุนหลังอยู่ หรงเฟยเอ่ยปลอบตนเองในใจ
เพิ่งเดินเข้าสวนดอกไม้มา ฉับพลันก็เห็นมู่ชิงอีเดินตรงเข้ามาพอดี หรงเฟยรีบปรับสีหน้าแล้วเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “องค์หญิงหมิงเจ๋อ”
มู่ชิงอีก้มหน้าแสดงความเคารพ “ถวายบังคมหรงเฟยเพคะ” หรงเฟยรีบห้ามนางไว้แล้วเอ่ย “องค์หญิงไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก ข้ากำลังอยากไปหาองค์หญิงอยู่พอดี” มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “หรงเฟยมีเรื่องอันใดหรือเพคะ” หรงเฟยกวาดตามองมู่ชิงอีอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนถอนหายใจเอ่ย “วันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี องค์หญิงรู้เรื่องนี้หรือไม่”
มู่ชิงอีฉีกยิ้มปนฉงนน้อยๆ ส่ายศีรษะกล่าว “เพราะเรื่องอันใดหรือเพคะ”
หรงเฟยเลิกคิ้ว จากนั้นพอคิดๆ ดูแล้วช่วงแรกที่องค์หญิงหมิงเจ๋อเข้าวังมา ถึงแม้เรือนรับรองหมิงฟังจะมีเหล่านางในและขันทีอยู่ไม่น้อย แต่เหมือนว่าองค์หญิงผู้นี้จะไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ดังนั้นคงไม่แปลกหากนางจะไม่รู้ข่าวสารใดเลย หรงเฟยจึงเล่าเรื่องการประชุมราชสำนักในเช้าวันนี้ให้ฟังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สุดท้ายถึงถอนหายใจกล่าวว่า “จ้าวเอ๋อร์เจ้าลูกคนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริงๆ มีเรื่องตั้งมากมายไม่ยุ่งดันรั้นจะไปขุดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียได้ ตระกูลกู้…” พอพูดถึงตระกูลกู้ หรงเฟยเองก็ทำได้เพียงถอนหายใจลากยาว
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “พระสนมเป็นกังวลแทนองค์ชายเจ็ดอย่างนั้นหรือ”
หรงเฟยถอนหายใจเอ่ย “แล้วมิสมควรหรือ เมื่อครู่ข้าไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทมา ยังไม่ทันได้เจอก็ถูกฝ่าบาทไล่ตะเพิดออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฝ่าบาท…”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา “พระสนมคิดมากไปแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระเมตตากรุณา แล้วพระองค์จะทรงโกรธองค์ชายเจ็ดด้วยเรื่องแค่นี้ได้เช่นไร องค์ชายก็แค่มีใจรักภักดีต่อบ้านเมือง ปรารถนาอยากแบ่งเบาภาระฝ่าบาทมิใช่หรือ” หรงเฟยมุมปากถึงกับกระตุก เหตุใดมู่หรงจ้าวถึงตามสืบเรื่องนี้นางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ “แต่หากสืบได้ว่าตระกูลกู้ถูกใส่ร้ายจริง ถึงอย่างไรก็เสื่อมเสียชื่อเสียงของฝ่าบาทอยู่ดี”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทจะทรงสนพระทัยเรื่องนี้ได้เช่นไรกัน คนเราย่อมเคยทำเรื่องผิดพลาดมากันทั้งนั้น หากรู้ผิดแล้วรีบแก้ไขถึงนับว่าเป็นเรื่องดีสิเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้…ต่อให้ตระกูลกู้จะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของฝ่าบาท แต่เป็นความผิดของคนที่จงใจโกหกฝ่าบาทต่างหาก บัดนี้ฝ่าบาทรื้อคดีมาสืบใหม่ คนทั่วใต้หล้าต้องคิดว่าฝ่าบาททรงทำอะไรตรงไปตรงมาเปิดเผย รู้ผิดก็รีบแก้ไข นี่ถึงจะนับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขอย่างแท้จริง”
หรงเฟยมองมู่ชิงอีแน่นิ่งพลางคิดตามคำพูดของนางไปด้วย หลังจากตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอยู่นานก็ถอนหายใจเอ่ย “เอาเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะล้มเลิกกลางคันได้ด้วยหรือ” ในเมื่อเรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก็คงต้องทำต่อไป หากสืบต่อไปไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นใด ทั้งหมดก็ไม่ใช่ความผิดของมู่หรงจ้าวและมู่หรงเสีย พวกเขาก็แค่เป็นห่วงขุนนางของแคว้นหวาก็เท่านั้น แต่ถ้าล้มเลิกกลางคัน เช่นนั้นพวกเขาก็คงถูกสงสัยว่าใช้คำพูดโป้ปดขอแรงสนับสนุนจากทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้สร้างความไม่พอพระทัยให้ฝ่าบาทแล้ว หากไม่ไขว่คว้าเอาประโยชน์มาจากเรื่องนี้บ้างคงเป็นการลงหมากที่ไม่เข้าท่ามากจริงๆ
มู่ชิงอีเอ่ยปลอบโยน “หรงเฟยเป็นสนมในวัง ขอแค่รับใช้ปรนนิบัติฝ่าบาทด้วยจิตใจอันสงบก็พอ เรื่องนอกวังมีคนอื่นคอยให้ความสนใจติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว ฝ่าบาทย่อมมองเห็นถึงความลำบากของพระสนมแน่นอนเพคะ”
หรงเฟยพยักหน้าพลางอมยิ้ม “ข้ารู้แล้ว ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องใด ขอแค่ได้สนทนากับองค์หญิงไม่กี่ประโยคก็ช่วยปัดเป่าเรื่องไม่สบายใจได้แล้ว”
“พระสนมทรงชมกันเกินไปแล้วเพคะ”
ในพระตำหนักฉินเจิ้ง ฮ่องเต้แคว้นหวาวางพู่กันในมือลงแล้วจับจ้ององครักษ์ชุดดำด้านล่างพร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า “หืม องค์หญิงหมิงเจ๋อพูดกับหรงเฟยเช่นนั้นหรือ” บุรุษชุดดำเบื้องล่างคุกเข่าก้มหน้าอย่างพินอบพิเทาอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงขรึม “ทูลฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิบังอาจตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว”
ฮ่องเต้แคว้นหวาเงียบไปนานถึงพยักหน้า “เจ้าออกไปเถิด”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษชุดดำออกไปอย่างเงียบๆ ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวายังคงตกอยู่ในห้วงความคิด จากนั้นก็วางพู่กันลงบนแท่นฝนหมึก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก สองวันมานี้คดีที่ถูกรื้อขึ้นมาใหม่ของตระกูลกู้สร้างแรงกดดันให้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่น้อย ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่อาจทำตัววางอำนาจและไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นอย่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผู้ที่เขานึกอิจฉาได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียงของตัวเองต่อหน้าเหล่าขุนนางอยู่ ในเมื่อฮ่องเต้ที่ทำตัวโหดเหี้ยมและไร้คุณธรรมมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้มีน้อยนัก
หลายวันมานี้ฮ่องเต้แคว้นหวาแอบคิดอยากฆ่าบุตรชายอย่างมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวสองคนนี้ให้ตายเสียเพราะก่อเรื่องวุ่นวายให้เขานัก สู้เจ้าหกก็ไม่ได้ประหยัดแรงมากกว่าอีก! แต่เวลานี้เขาคงเมินเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว หากฮ่องเต้อย่างเขาปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปโดยไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรือใช้อำนาจปิดเรื่องนี้ไว้ย่อมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาแน่นอน
ครั้นนึกถึงคำพูดที่มู่ชิงอีพูดกับหรงเฟย ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าอะไรคือการเปรียบเทียบเพื่อเลือกสิ่งที่เป็นผลดีมากกว่าให้กับตน หากเป็นเช่นนั้น…มู่หรงอวี้ก็คงต้องยอมเสียสละตัวเองแล้ว ระยะนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ค่อยพอพระทัยในตัวมู่หรงอวี้เท่าไร เขาย่อมไม่นึกละอายใจต่อการเสียสละของบุตรชายผู้นี้เลย
ตนเป็นถึงฮ่องเต้ อย่างน้อยก็คงพอช่วยตนได้บ้างกระมัง อีกอย่าง…เรื่องในตอนนั้นก็เป็นฝีมือของมู่หรงอวี้จริงๆ ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าใส่ความเขาแต่อย่างใด แต่…หากตระกูลกู้ผงาดขึ้นมาใหม่ มู่หรงซี...
พอนึกถึงบุตรชายที่เคยเป็นองค์รัชทายาทมายี่สิบปี ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ยิ่งปวดศีรษะ หากตระกูลกู้กลับมาใหม่ แล้วมู่หรงซีจะอยู่ในตำแหน่งผิงอ๋องต่อไปหรือกลับมาเป็นองค์รัชทายาทอีกครั้งดีเล่า สองปีมานี้ความระแวงหวาดกลัวที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อมู่หรงซีไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว อาจเป็นเพราะใบหน้าซีดขาวไร้เรี่ยวแรงในหลายปีมานี้ของมู่หรงซี เขาไม่ได้หลักแหลมโดดเด่นซึ่งแตกต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่เพราะเกิดเรื่องเมื่อหลายปีก่อนเลยพานทำให้ยังโกรธเคืองในใจ ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่มีทางเต็มใจให้มู่หรงซีขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอีกครั้งแน่นอน
“เจ้าว่ามา ช่วงนี้ซีเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นหวาก็เปิดปากตรัสถามขึ้น
ขันทีผู้ดูแลที่คอยยืนรับใช้อยู่ด้านหลังไม่ไกลจากเขานักผงะไปเล็กน้อย เขาติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาหลายสิบปีแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้แคว้นหวาเรียกผิงอ๋องว่าซีเอ๋อร์คงประมาณสิบปีก่อนได้ หรือว่า…ผิงอ๋องจะกลับมาเป็นคนโปรดอีกแล้วหรือ เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจว่าจะกราบทูลตามความจริง “ได้ยินมาว่า…สุขภาพของผิงอ๋องไม่ค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
“สุขภาพไม่ดีหรือ” หลายปีมานี้ฮ่องเต้แคว้นหวาสนใจเพียงว่าบุตรชายผู้นี้จะแอบทำอะไรที่ไม่ควรทำลับหลังเขาหรือเปล่า ไหนเลยจะเคยสนใจสุขภาพของเขากัน ฮ่องเต้แคว้นหวาจดจำเพียงว่ามู่หรงซีในช่วงวัยเยาว์นั้นสง่างามสูงศักดิ์ ความสามารถรอบด้านจนทุกคนทั่วทั้งใต้หล้าชื่นชมว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีของเชื้อพระวงศ์ ปกติมู่หรงซีไม่ต้องเข้าราชสำนัก ทุกๆ สามถึงห้าเดือนถึงจะมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นหวาสักครั้ง บางครั้งเพียงแค่มองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ก็พลอยทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่สบายใจและนึกแค้นเคืองใจแล้ว