หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 225 วันตัดสินความตายของจูซื่อ (2)
อาจเพราะรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกะทันหัน เหล่าพระสนมและองค์หญิงจึงทำความเคารพด้วยสีหน้าระแวดระวังยำเกรง จากนั้นก็เข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง ฮองเฮานั่งเยื้องฝั่งซ้ายของฮ่องเต้แคว้นหวา ส่วนคนอื่นๆ มีหรงเฟยนำขบวนพาไปนั่งหลังฉากกั้นลม
“จูซื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความผิดใด” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสถามเสียงเรียบ
อวิ๋นกุ้ยเหรินชะงักไป นางเองก็ถูกองครักษ์วังหน้าคุมตัวมาที่นี่กะทันหันเช่นกัน เดิมทีนางไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่จะส่งข่าวบอกมู่หรงอวี้ก็ยังไม่มีเวลาด้วยซ้ำ เวลานี้นางเลยทำได้แค่แอบคาดเดาในใจว่าเรื่องของมู่เฟยหลวนถูกเปิดโปงแล้วอย่างนั้นหรือ
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่รู้ว่ามีความผิดใดเพคะ” อวิ๋นกุ้ยเหรินชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะปากแข็งตอบปฏิเสธไป
ฮ่องเต้แคว้นหวาแค่นเสียงเย็นชาตรัสขึ้นว่า “ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นกุ้ยเหรินพยักหน้ากัดฟันเอ่ย “โปรดฝ่าบาทอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็ลุกพรวดออกมาคุกเข่าข้างกายอวิ๋นกุ้ยเหริน “โปรดเสด็จพ่อให้ลูกได้พูดก่อน ลูกไม่รู้ว่าเสด็จแม่ทำความผิดอันใดถึงทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้วได้ถึงเพียงนี้ จนถึงขั้นต้องให้เหล่าญาติพี่น้องในเชื้อพระวงศ์ ฮองเฮาและพระสนมคนอื่นๆ พลอยแตกตื่นกันไปด้วย แต่…ลูกยินดีรับผิดแทนเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ใช่คนที่จะซาบซึ้งใจอะไรง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเสียงเย็นชาทีหนึ่งตรัสว่า “เจ้าช่างกตัญญูนัก เราเกรงก็แต่เจ้าจะรับโทษแทนไม่ไหว”
มู่หรงอวี้เข้าใจดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลย ไม่ว่าเสด็จแม่จะทำเรื่องใดไว้จนเสด็จพ่อจับได้ แต่จุดจบของเขาก็คงไม่มีทางย่ำแย่ไปกว่านี้แล้ว ถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ไม่กล้าฆ่าบุตรชายอย่างตนกระมัง ต่อให้จะเพื่อชื่อเสียงของเขา อย่างน้อยการรับโทษแทนเสด็จแม่ก็ทำให้มีชื่อเสียงในแง่ดีขึ้นบ้าง ต้องมีสักวันที่ตนจะกลับมาผงาดได้ใหม่อีกครั้ง!
มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย “โปรดเสด็จพ่อลงโทษเถิด”
ฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่รู้ความคิดของมู่หรงอวี้ได้เช่นไร หากเปลี่ยนเป็นสถานการณ์อื่นเขาคงโห่ร้องชื่นชมต่อแผนการของมู่หรงอวี้ไปแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ดูเหมือนมู่หรงอวี้จะคาดเดาผิดไป “ฝูอ๋อง เจ้าว่ามาสิ”
มู่หรงเค่อลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก้าวออกมาท่ามกลางสายตาคนมากมายในพระตำหนัก เอ่ยเสียงขรึม “ทูลเสด็จพ่อ ผิงหนานจวิ้นอ๋องจูเปี้ยนรับสารภาพว่าการตายของอดีตฮองเฮาที่เสด็จสวรรคตไปแล้วในตอนนั้นมีความผิดปกติ เป็นเพราะอวิ๋นกุ้ยเหรินวางยาฆ่านางพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากสิ้นคำนั้น คนทั้งพระตำหนักต่างก็พากันตกใจ มู่หรงเค่อกล่าวต่อ “เรื่องนี้นั้นใหญ่นัก ลูกจึงมิกล้าตัดสินคดีโดยพลการเลยทำได้เพียงมากราบทูลเสด็จพ่อ โปรดเสด็จพ่อช่วยชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
“กู้ฮองเฮาถูกวางยาจนถึงแก่ความตายหรือ” ในพระตำหนัก เหล่าพระญาติ ในเชื้อพระวงศ์อดถกประเด็นเรื่องนี้กันไม่ได้ หากเทียบกับฮองเฮาองค์ปัจจุบันที่ไม่ได้เรื่องเท่าไรแล้ว ในสายตาของพวกเขากู้ฮองเฮาเป็นคนมีจิตใจเมตตาและสง่างามมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นฮองเฮาที่ดีทำอะไรเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด เสด็จอาเสด็จลุงในเชื้อพระวงศ์หรือกระทั่งพระญาติห่างๆ ล้วนประทับใจในตัวนางกันไม่น้อย
“เรื่องนี้พวกเราถูกใส่ร้าย! โปรดเสด็จพ่อให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด!” มู่หรงอวี้ร้องเสียงสูง ในขณะเดียวกันก็แอบตกใจผุดเหงื่อเย็นไหลอาบทั่วร่าง ลอบปลงพระชนม์ฮองเฮา โทษนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ อย่าว่าแต่เรื่องลงโทษเลย หากไม่ใช่เพราะจูซื่อเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ เกรงว่าหากโดนประหารเก้าชั่วโคตรก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยสักนิด
มู่หรงเค่อเหลือบมองมู่หรงอวี้แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงสงบว่า “ลูกก็แค่กราบทูลตามความจริง เสด็จพ่อสอบสวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเองได้ทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ” ตนไม่ได้มีความแค้นใดกับมู่หรงอวี้ ถึงแม้ตอนรู้เรื่องนี้ตนเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย
ฮ่องเต้แคว้นหวาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเอ่ย “พาตัวจูเปี้ยนเข้ามาเถิด”
ไม่นานจูเปี้ยนก็ถูกคนคุมตัวเข้ามา หลังจากถูกกักบริเวณและเผชิญเรื่องราวในหลายวันมานี้ทำให้จูเปี้ยนดูแก่ลงไม่น้อย ทันทีที่เข้าพระตำหนักมา สองขาก็อ่อนยวบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ฝ่าบาท…จูเปี้ยนขอถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ครั้นเห็นจูเปี้ยนคุกเข่าอยู่ในพระตำหนัก ฮ่องเต้แคว้นหวาก็เอ่ยเสียงเรียบ
จูเปี้ยนลุกขึ้นด้วยความหวาดกลัว ไร้ซึ่งบุคลิกงามสง่าของผิงหนานจวิ้นอ๋องในอดีตอย่างสิ้นเชิง
“ผิงหนานจวิ้นอ๋อง ฝูอ๋องรายงานว่าท่านให้การว่าอวิ๋นกุ้ยเหริน เสด็จแม่ของกงอ๋องวางยาลอบฆ่าอดีตฮองเฮาเป็นความจริงหรือ” ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ อ๋องท่านหนึ่งลุกขึ้นเปิดปากถามเสียงขรึม
จูเปี้ยนมองมู่หรงอวี้แวบหนึ่งก่อนเอ่ย “กระหม่อมมิบังอาจพูดจาเหลวไหล ทุกคำพูดล้วนเป็นความจริง โปรดฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่หรงอวี้และจูซื่อนึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะจบเห่เพราะจูเปี้ยน ในที่สุดจูซื่อก็สลัดความสุภาพเรียบร้อยในอดีตทิ้งจนสิ้น กรีดร้องขึ้นว่า “เขาพูดจาเหลวไหล! ฝ่าบาท เขาพูดจาเหลวไหลใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ!” จูซื่อรู้อยู่แก่ใจดี ทันทีที่ข้อหานี้ถูกตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ นางคงไร้หนทางกลับมามีที่ยืนใหม่ได้ อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่มู่หรงอวี้คงผงาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาแคว้นหวาเข้มงวดกับพวกบุตรอนุอยู่แล้ว หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะมู่หรงซีติดร่างแหไปกับตระกูลกู้ด้วย ต่อให้องค์ชายคนอื่นๆ จะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางได้ขึ้นครองราชย์ อีกอย่างว่าที่ฮ่องเต้ในภายภาคหน้าจะมีแม่แท้ๆ ที่เคยลอบฆ่าอดีตฮองเฮาไม่ได้เช่นกัน
เวลานี้จูเปี้ยนสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาไม่ได้มองไปทางมู่หรงอวี้และจูซื่อ และไม่ได้มองมู่หรงซีที่ยืนอยู่ข้างมู่หรงเค่อเช่นกัน เขาแค่จับจ้องไปทางฮ่องเต้แคว้นหวาบนพระที่นั่งด้วยท่าทียำเกรงเอ่ยว่า “เรื่องนี้บุตรสาวของกระหม่อมได้ยินอวิ๋นกุ้ยเหรินสนทนากับกงอ๋องมาเองกับหู โปรดฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมด้วย”
จูซื่อหน้าซีดเผือด ตนเคยพูดเรื่องนี้กับมู่หรงอวี้จริงๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกจูหมิงเยียนได้ยินเข้า อีกทั้งจูหมิงเยียนที่ดูโง่ทึ่มไร้สมองนั่นจะปกปิดว่านางรู้เรื่องนี้ได้อย่างแยบยลเช่นนี้ แล้วยังไปบอกจูเปี้ยนอีกต่างหาก!
แต่ก็โชคดีไป…เพราะจูหมิงเยียนตายไปแล้ว!
“จูหมิงเยียนตายไปแล้ว ตายแล้วไม่มีหลักฐาน ผิงหนานจวิ้นอ๋องอยากพูดอะไรก็พูดได้นี่” มู่หรงอวี้สีหน้าขรึมยังคงสำรวมกิริยาเอาไว้ได้ จากนั้นเขาก็จับจ้องจูเปี้ยนเอ่ยเสียงเย็นชา “ตกลงใครคิดจะทำร้ายข้ากันแน่ ถึงทำให้ผิงหนานจวิ้นอ๋องยอมเปลืองแรงมาใส่ร้ายเสด็จแม่ของข้าถึงวังหน้าเช่นนี้”
จูเปี้ยนกัดฟัน เขาไม่มีหลักฐานจริงๆ หากกงอ๋องปากแข็งหาว่าเขาใส่ร้ายต่อไป เขาก็หมดหนทางจะหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองได้แล้วจริงๆ แต่ว่า…ดูจากปฏิกิริยาของมู่หรงอวี้และจูซื่อแล้ว จูเปี้ยนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขียนในจดหมายนั่นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเรื่องจริง เช่นนั้น…ด้วยความแค้นของผิงอ๋องที่มีต่อมู่หรงอวี้และจูซื่อ จูเปี้ยนไม่เชื่อแน่นอนว่าผิงอ๋องจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย
พอเรื่องมาถึงขั้นนี้คงกล่าวได้ว่าผิงหนานจวิ้นอ๋องและกงอ๋องฉีกหน้ากันโดยไม่ไว้หน้าแต่อย่างใด จูเปี้ยนเองก็กัดฟันเอ่ยขึ้นโดยไม่ลังเลใจสักนิด “กระหม่อมไม่ได้รู้แค่เรื่องที่อวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นคนวางยาฆ่าอดีตฮองเฮาเท่านั้น กระหม่อมยังรู้ด้วยอีกว่า…กงอ๋องเองก็วางยาฆ่าผิงอ๋องเช่นกัน สองปีมานี้สุขภาพของผิงอ๋องย่ำแย่กว่าเมื่อก่อนมาก หากฝ่าบาทไม่เชื่อก็ทรงรับสั่งเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการผิงอ๋องได้เลย ลองดูว่าอาการเหมือนอดีตฮองเฮาหรือเปล่า!”
ชั่ววินาทีนั้นพระตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างใช้แววตาประหลาดใจจับจ้องไปทางจูซื่อและมู่หรงอวี้ พวกเขาสองคนใจกล้าเหิมเกริมเกินไปจริงๆ คนแม่ลอบฆ่าฮองเฮา ส่วนคนลูกลอกเลียนแบบลอบฆ่าพี่ชายของตน ควรรู้ก่อนว่าช่วงระยะเวลาที่ผิงอ๋องเป็นองค์รัชทายาท เขาดีกับกงอ๋องไม่น้อยเลย
มู่หรงอวี้เผยสีหน้าเรียบตึง เงยหน้ามองฮ่องเต้แคว้นหวาทางด้านบนโดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่หรงซีที่หลังจากเข้าพระตำหนักมาเอ่ยทักทายเสร็จก็เงียบกริบไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ตรัสถามขึ้นว่า “ผิงอ๋อง เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
มู่หรงซีเงยหน้าสบตากับฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึม “น้อมฟังพระบัญชาจากฝ่าบาททุกประการพ่ะย่ะค่ะ”