หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 228 จนตรอก ยากจะหลุดพ้นได้ (1)
มู่ชิงอีเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ผลดีเกินคาด เพื่อไม่ให้คนอื่นนึกสงสัย ตอนอยู่ในวังนางจึงไปมาหาสู่พูดคุยกับมู่หรงซีนับครั้งได้ ตอนนี้พอมีฮ่องเต้แคว้นหวามาเป็นข้ออ้างย่อมสะดวกกว่าเดิมไม่น้อย
“หมิงเจ๋อน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด” ครั้นพูดจบ ฮ่องเต้แคว้นหวาก็พาคนของตนลุกขึ้นกลับพระตำหนักฉินเจิ้งไป ทุกคนในพระตำหนักต่างมองหน้ากันแล้วค่อยๆ ทยอยกลับ เรื่องตอนท้ายทิ้งไว้ให้เหล่าองค์ชายทั้งหลายเก็บกวาดก็แล้วกัน
“ท่านอ๋อง…กระหม่อม” จูเปี้ยนมองมู่หรงอวี้ที่นั่งคุกเข่าแน่นิ่งไม่พูดอะไรอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงเอ่ยปากถามมู่หรงเสีย
มู่หรงเสียเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ผิงหนานจวิ้นอ๋องกลับจวนไปก่อนเถิด เรื่องทุกอย่างทุกคนย่อมตัดสินถูกผิดได้เอง”
“ใช่ ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” จูเปี้ยนโล่งอกแล้วรีบขอตัวออกไป
คนในพระตำหนักค่อยๆ เดินออกไปกันหมดแล้ว ทว่ามู่หรงอวี้ยังคงคุกเข่าอยู่ในพระตำหนักแน่นิ่งไม่ขยับไปไหน รอกระทั่งเขาดึงสติกลับมาได้ ทั่วทั้งพระตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงบัลลังก์พระที่นั่งสีทองอร่ามที่ดึงดูดสายตาใครต่อใครตั้งอยู่ด้านบนสุดท่ามกลางความว่างเปล่านั้น
มู่หรงอวี้ก้มศีรษะ จากนั้นเขาถึงรับรู้ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากเข่า ที่แท้เขาก็นั่งคุกเข่าอยู่ในพระตำหนักมาหนึ่งชั่วยามแล้ว…
“พี่ชาย เป็นเช่นใดบ้างเพคะ” ในพระตำหนักอันเงียบสงบในวัง พอมู่ชิงอีเข้าไปก็โบกมือไล่เหล่านางในและขันทีออกไปจนหมดอย่างเงียบๆ จากนั้นถึงปริปากเอ่ยถามเสียงเบา
มู่หรงซีที่เดิมทีนอนปิดตาอยู่บนเตียงก็เปิดตาขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่เป็นอะไรแล้ว” เมื่อครู่ตอนอยู่ในพระตำหนักเขารู้สึกไม่สบายตัวจริงๆ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นลมล้มหมดสติไป อย่างน้อยเขาก็ยังควบคุมตัวเองได้บ้าง เพียงแต่หลังจากเดินออกมานอกพระตำหนัก ร่างกายก็โงนเงนไปมา เขาจึงปล่อยเลยตามเลยไม่ฝืนอีกต่อไป ดูแล้วตอนนี้ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วมิใช่หรือ
ครั้นเห็นมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเผยสีหน้าเป็นห่วง มู่หรงซีก็อมยิ้มกล่าว “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังไหว”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง “เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในพระตำหนักทำเอาหม่อมฉันตกใจแทบแย่ โชคดีที่พี่ชายไม่เป็นอะไร”
มู่หรงซีเลิกคิ้วพลางคลี่ยิ้มเอ่ยถาม “มู่หรงอวี้กับจูซื่อเป็นเช่นใดบ้างแล้ว”
มู่ชิงอีฉีกยิ้มหวาน “จูซื่อรอฤกษ์ประหาร ส่วนมู่หรงอวี้ถูกถอดตำแหน่งและต้องเก็บตัวสำนึกผิดเพคะ”
มู่หรงซีพยักหน้า รู้สึกก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร “หากตอนนี้เสด็จพ่อลงโทษมู่หรงอวี้สถานหนัก ในทางกลับกันจะเหมือนว่าเขาร้อนตัวมากกว่า ถึงแม้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้มู่หรงอวี้เป็นแพะรับบาป…แต่ก็ต้องรอน้องสี่และน้องเจ็ดเอาหลักฐานมาวางไว้เบื้องหน้าเขาก่อน ในเมื่อเสด็จพ่อปรารถนาเป็นกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม แล้วจะยอมทนให้คนประณามว่าบีบบังคับทำให้ลูกตัวเองต้องตายได้อย่างไรเล่า”
มู่ชิงอียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรมู่หรงอวี้ก็ไม่มีทางหนีพ้นไปได้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในกี่วันนี้ไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
นางได้ยินมู่หรงซีไอเสียงเบาสองทีก่อนยิ้มจางๆ เอ่ย “ในเมื่อเสด็จพ่อคิดจะเก็บน้องหกเอาไว้ก่อน พอดีเลย…เช่นนั้นวันที่จูซื่อโดนประหารก็เชิญน้องหกไปดูด้วยกันเถิด” เสียงพูดเบา แต่พอดังขึ้นในพระตำหนักที่ว่างเปล่ากลับแฝงไปด้วยไอเย็นสะท้าน
มู่ชิงอีผงะไป หลุบตาคลี่ยิ้มบางกล่าว “พี่ชายพูดถูกต้องที่สุดเพคะ”
จะมีความเจ็บปวดใดทุกข์ทรมานเท่าเห็นมารดาแท้ๆ ของตัวเองถูกประหารกับตาบ้างเล่า หาก…มู่หรงอวี้ยังมีใจรักนางอยู่ล่ะก็นะ
“แล้วน้องแปดพวกเจ้าจะจัดการเช่นใด” มู่หรงซีมุ่นคิ้วถาม
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้น “พี่ชายหมายความว่าเช่นใดหรือ”
มู่หรงซีส่ายศีรษะเอ่ย “มู่หรงอานชอบวางอำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่นแต่กลับไม่มีความสามารถใดเลย คิดจะจัดการเช่นไรก็ย่อมได้ ข้าก็แค่ลองถามดูเท่านั้น”
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว คิดว่าวันเวลาของมู่หรงอานคงเหลืออยู่อีกไม่เท่าไรแล้ว พอถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะเป็นคนไปส่งเขาเองเพคะ”
มู่หรงซีมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าขาวซีดเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจัดการอะไร ข้ากับซิ่วถิงล้วนวางใจทั้งนั้น แต่เจ้าต้องระวังให้มาก” ถึงแม้ปากจะบอกว่าเขาไม่เป็นไร แต่เรื่องวันนี้ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกในใจของเขาอยู่แล้ว ครั้นพูดได้สักพักหนึ่ง สีหน้าของมู่หรงซีก็ย่ำแย่ลงมาก
ครั้นเห็นสีหน้าซีดเซียวของมู่หรงซี มู่ชิงอีก็ยิ่งเป็นกังวลในใจมากกว่าเดิม เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ชายพักผ่อนให้มากเถิด ต้องเชิญพระชายาผิงเข้าวังมาดูแลพี่ชายหรือไม่เพคะ”
มู่หรงซีค่อยๆ เอนกายลงนอน ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ต้องหรอก ข้าพักผ่อนอีกสักหน่อยก็จะออกวังแล้ว อยู่ในวังแห่งนี้…ชวนให้รู้สึกไม่สบายกายเอาเสียเลย”
มู่ชิงอีปิดปากยิ้มเอ่ย “แต่กลับมีคนตั้งมากมายพยายามเสแสร้งทำทุกหนทางเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ที่นี่” ครั้นเห็นมู่หรงซีหลับแล้ว มู่ชิงอีถึงถอนหายใจเสียงเบาแล้วลุกออกพระตำหนักไป
ตระกูลจูไม่ใช่ตระกูลผู้ดีใหญ่โตอะไร แต่เพราะมีจูอวิ๋นเฟย และให้กำหนดองค์ชายทั้งสองอย่างมู่หรงอานและมู่หรงอวี้ อีกทั้งหลายปีมานี้มู่หรงอวี้ก็ผงาดมีอำนาจพอสมควร จึงเป็นผลพลอยให้ตระกูลจูมีอิทธิพลในเมืองหลวงอยู่บ้าง เพียงแต่น่าเสียดาย ตระกูลจูยังไม่ทันรุ่งโรจน์ก็ล่มสลายไปในเวลาอันรวดเร็วแล้ว หลังจากขุนนางของศาลอาญาและศาลต้าหลี่ได้รับพระราชบัญชาจากฮ่องเต้แคว้นหวาก็รีบใช้กองกำลังทหารเข้าล้อมตระกูลจูไว้ทันที ทุกคนในตระกูลจูต่างถูกจับเข้าคุกกันหมดและรอฤกษ์วันประหาร การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้คนที่รอดูเรื่องสนุกๆ ในเมืองหลวงต่างจับตาดูเรื่องนี้ไม่วางตา
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนหน้านี้บอกว่าจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องจะจบเห่มิใช่หรือ ตอนนี้…” ถึงแม้จวนผิงหนานอ๋องจะใช้แซ่จูเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องยังอยู่รอดปลอดภัย แต่ตระกูลจูที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับเรื่องนี้ด้วยกับโดนสั่งประหารยกครัวก่อน
แน่นอนว่าข่าวสารย่อมว่องไว “เจ้ามิรู้หรือว่าอวิ๋นกุ้ยเหรินแม่แท้ๆ ของกงอ๋องผู้นั้น ถุย…จูซื่อนั่นลอบฆ่าอดีตฮองเฮา อีกทั้งยังลอบวางยาพิษทำร้ายผิงอ๋องอีกต่างหาก โทษประหารยกครัวยังเบาไปด้วยซ้ำ”
ทุกคนต่างเผยสีหน้าหวาดผวา อดีตฮองเฮาเสด็จสวรรคตไปเร็ว แต่ชื่อเสียงในใจของเหล่าขุนนางและประชาราษฎร์กลับสูงส่งกว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันเสียอีก กระทั่งตอนที่ฮ่องเต้แคว้นหวาประหารตระกูลกู้ยังโยนความโกรธแค้นข้อหาต่างๆ ให้ตระกูลกู้โดยไม่ได้แตะต้องว่ากล่าวถึงพระทินนามของอดีตฮองเฮาเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาผู้นี้จะถูกสนมในวังคนหนึ่งวางพิษจนถึงแก่ความตาย อีกทั้งยังวางพิษคร่าชีวิตองค์รัชทายาทที่ถูกถอดถอนตำแหน่งแล้วอย่างผิงอ๋องด้วย ช่างมีจิตใจโหดร้ายเสียเหลือเกิน
พอเอาสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกันก็พานทำให้ใครหลายๆ คนต่างขบคิดไปต่างๆ นาๆ บัดนี้ข่าวที่ดังเป็นพลุแตกในเมืองหลวงก็คือคดีของตระกูลกู้ ดูทรงแล้วข่าวลือที่ว่ากงอ๋องใส่ความให้ร้ายตระกูลกู้…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
“เมืองหลวงแคว้นหวาวุ่นวายน่าดู” บนโต๊ะอีกฝั่ง หย่งจยาจวิ้นจู่ฟุบตัวมองเกอซูฮั่นด้วยท่าทีไม่สดชื่นนักเอ่ยขึ้นว่า “พี่สิบเอ็ด ท่านว่าเช่นนั้นหรือไม่เล่า” หลังจากพวกเขามาถึงแคว้นหวา เมืองหลวงแคว้นหวาก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย หากคนแคว้นหวาใช้ชีวิตในสภาพนี้ไปตลอด นางยอมตายจากแคว้นหวาไปเสียยังดีกว่า
เกอซูฮั่นเลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ “ที่ไหนไม่วุ่นวายบ้างเล่า แต่…สถานการณ์ตอนนี้ในแคว้นหวาโกลาหลอยู่บ้างจริงๆ วันปกติเจ้าก็อย่าไปไหนมั่วซั่ว รอหลังงานอภิเษกใหญ่ขององค์หญิงไหวหยางกับองค์ชายเก้าแห่งแคว้นหวาสิ้นสุดลงแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับเป่ยฮั่น” คนในเชื้อพระวงศ์ชิงดีชิงเด่นกันก็ย่อมเป็นเช่นนี้ หย่งจยาจวิ้นจู่อาจไม่เข้าใจ แต่ตอนที่พี่ใหญ่แก่งแย่งตำแหน่งกับพี่น้องคนอื่นๆ ในเวลานั้น สถานการณ์ในเมืองหลวงเป่ยฮั่นเองก็ไม่ได้ดีกว่าแคว้นหวาในตอนนี้เท่าไรเลย