หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 264 เส้นทางเดินของจวนซู่เฉิงโหว (3)
ในคุกของกรมอาญา มู่ฉังหมิงนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งโดยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง ส่วนอีกฝั่งเป็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ซุน รวมถึงอนุคนอื่นๆ และมู่เคอที่ยังไม่รู้ความอะไร ส่วนสองแม่ลูกมู่เชินถูกลูกน้องของจื้ออ๋องรับตัวออกไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ชั่วเวลานี้ มู่ฉังหมิงถึงรู้ว่าบุตรชายที่แต่ไหนแต่ไรมาตนไม่เคยแยแสกลับแอบเลือกเส้นทางของตัวเองและห่างเหินออกไปเรื่อยๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ถึงแม้จะถูกกักขังด้วยข้อหาที่มิอาจคุ้มกันองค์หญิงหมิงเจ๋อได้ รวมถึงรู้เห็นเป็นใจช่วยปิดบังความผิดให้มู่หรงอวี้ แต่มู่ฉังหมิงกระจ่างแก่ใจดีว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่ฮ่องเต้แคว้นหวาอยากฆ่าเขา ไม่ว่าจะมีเรื่องของมู่ชิงอีหรือไม่ ขอแค่หลังจากราชทูตของเป่ยฮั่นพาตัวอวิ๋นหรงที่ต้องเกี่ยวดองไป ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ต้องลงมือจัดการเขาอยู่ดี
“ท่านโหว…พวกเราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” สะใภ้ซุนที่นั่งอยู่ข้างกายมู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นพลางมองมู่ฉังหมิงด้วยท่าทีหวาดกลัว ถึงแม้สะใภ้ซุนจะไม่ใช่คนฉลาด แต่ย่อมเข้าสถานการณ์ในตอนนี้ของจวนซู่เฉิงโหวมากอยู่แล้ว จวนกงอ๋องล่มสลาย จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็จบเห่แล้วเช่นกัน บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองของนางตายจากไปแล้ว ส่วนบุตรสาวอีกคนไปเกี่ยวดองที่เป่ยฮั่น ตอนนี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้แล้ว
ครั้นสะใภ้ซุนเอ่ยขึ้นเช่นนั้น อนุคนอื่นๆ ก็พากันร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา กระทั่งมู่เคอที่เดิมทีถูกกล่อมให้หลับก็เปิดตาขึ้นด้วยท่าทีสะลึมสะลือ ครั้นเห็นฉากตรงหน้าก็เบะปากร้องไห้ผสมโรงตามไปด้วย
เสียงร่ำไห้ทั่วทั้งห้องขังดังระงมจนทำเอาศีรษะของมู่ฉังหมิงปวดตุบๆ เขาข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ตะคอกเสียงดังอย่างโมโหว่า “หุบปาก! จะร้องไห้อะไรกันนักหนา”
เสียงร่ำไห้ในห้องขังชะงักลง แต่ไม่นานก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาดังยิ่งกว่าเดิม มู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งเงียบกริบอยู่อีกฝั่งมองมู่ฉังหมิง คิ้วสีขาวขมวดมุ่นเอ่ยถามเสียงขรึม “ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตกลงชิงอีถูกกงอ๋องฆ่าตายแล้วจริงๆ หรือ” เรือนเต๋ออานของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ห่างจากเรือนหลานจื่อของมู่ชิงอีไกลพอสมควร ดึกดื่นเช่นนั้นย่อมไม่มีใครกล้าเอาเรื่องนี้ไปรบกวนนางอยู่แล้ว เพราะเหตุนี้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มู่ฉังหมิงส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยล้าเต็มทีเช่นกัน มู่ชิงอีถูกมู่หรงอวี้พาตัวไปต่อหน้าต่อตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ามู่ชิงอีไม่มีทางตายง่ายดายขนาดนั้น ต่อให้จะเพิ่งเข้าใจแผนการของมู่ชิงอี แต่คนที่สติปัญญาเฉียบแหลมและละเอียดรอบคอบมากคนหนึ่งจะถูกฆ่าตายกะทันหันเช่นนี้ได้หรือ แบบนี้กลับชวนให้รู้สึกเหมือนภาพลวงตาซึ่งไม่มีทางเป็นจริงได้มากกว่า
“ต่อให้เป็นเช่นนี้…ตระกูลมู่ของเราก็มีความผิดในหน้าที่จริงๆ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นจับเข้าคุกยกตระกูลเช่นนี้กระมัง” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น หากมู่ชิงอีเป็นองค์หญิงของฮ่องเต้จริงๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่มู่ชิงอีเป็นบุตรสาวของจวนซู่เฉิงโหว บนโลกนี้จะมีใครที่บุตรสาวถูกทำร้ายแล้วยังหาข้ออ้างลงโทษคนในตระกูลเดียวกันไปด้วยอีก
มู่ฉังหมิงขมขื่นทุกข์อยู่ในใจ เขาอับจนหนทางจะบอกมู่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ว่าครั้งนี้จวนซู่เฉิงโหวของพวกเขาจบสิ้นทุกอย่างแล้ว ไม่เพียงแต่เข้าคุกยกตระกูลเท่านั้นด้วย
ประตูเหล็กด้านนอกเกิดเสียงเบาขึ้น จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบและพร้อมเพรียงดังขึ้น ในเวลากลางคืนเช่นนี้ จู่ๆ มีคนมากมายมาปรากฏตัวที่นี่ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่ากำลังเดินมุ่งมาทางคุกของพวกเขาด้วย ฉับพลันมู่ฉังหมิงก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
ประตูใหญ่ถูกเปิดออกตามคาด จากนั้นคนที่สวมชุดเครื่องแบบขันทีคนหนึ่งก็เดินนำเข้ามาคนแรกพร้อมถือสาส์นพระราชโองการสีเหลืองในมือ ด้านหลังของเขามีขันทีร่างกำยำอีกสองสามคนอยู่ด้วยเช่นกัน ข้าหลวงที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมคุกก็มาด้วย ทว่าคนๆ นั้นไม่ได้เดินเข้ามาด้านใน เพียงแค่พาคนพวกนี้มาส่งตรงประตูเท่านั้น เขามองพวกมู่ฉังหมิงด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจแล้วเดินจากไปโดยไม่ลืมที่จะช่วยปิดประตูให้ราวกับมีเมตตา
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” มู่ฉังหมิงเอ่ยถามเสียงขรึม
ขันทีผู้นั้นแสยะยิ้มทีก่อนยกของในมือขึ้นพร้อมยิ้มเอ่ย “ท่านโหวพูดเรื่องขบขันแล้วกระมัง ท่านโหวเป็นถึงซู่เฉิงโหวจะไม่รู้เลยหรือว่าพวกเรามาทำอะไร”
“ฝ่าบาท…มีพระราชโองการหรือ”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการลงมา” ขันทีผู้นั้นคลี่สาส์นในมือออกแล้วกล่าวเสียงสูงว่า “ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวน้อมรับพระราชโองการ!”
ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวต่างสบตามองหน้ากัน ครั้นเห็นมู่ฉังหมิงหยัดกายขึ้นนั่งคุกเข่าถึงค่อยๆ ทยอยพากันคุกเข่า
“ซู่เฉิงโหวมู่ฉังหมิงมีความผิดสมรู้ร่วมคิดกับมู่หรงอวี้ ทำร้ายองค์หญิงหมิงเจ๋อ แต่นอกเหนือจากความผิดนี้ เราเห็นว่าเคยมีคุณงามความดีต่อเราจึงขอประทานให้ปลิดชีวิตด้วยตัวเอง จบพระราชโองการ” ขันทีอ่านสาส์นเสียงแหลมสูงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องขังที่ไม่ใหญ่นัก
“ปลิดชีวิตด้วยตัวเองหรือ” มู่ฉังหมิงใบหน้าขาวซีด เขาไม่อยากตาย…เขายังเหลือเรื่องอีกมากมายที่ยังจัดการไม่เสร็จ เขาไม่พอใจ เขาทุ่มเทไปตั้งมากมายขนาดนั้น ทว่ากลับไม่ได้อะไรมาเลย…เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด!
ขันทีเลิกคิ้วพลางมองมู่ฉังหมิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ซู่เฉิงโหว น้อมรับพระราชโองการเถิด”
สะใภ้ซุนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างร้อนรนใจ “ท่านขันที แล้วฝ่าบาททรงตรัสให้…พวกเราทำเช่นไรต่อไปหรือ” ยามที่ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า สะใภ้ซุนย่อมไม่สนใจชีวิตของมู่ฉังหมิงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ก่อนหน้านี้นางจะรักเทิดทูนมู่ฉังหมิงขนาดไหน แต่หลายวันมานี้ความรู้สึกกลับมลายหายไปจนสิ้นแล้ว บุตรชายของนางตายแต่มู่ฉังหมิงกลับไม่พูดอะไร พอบุตรสาวของนางตายเขาก็ยังไม่พูดอะไรอีก บุตรสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ต้องแต่งงานไปอยู่แคว้นเป่ยฮั่น บัดนี้สะใภ้ซุนรู้แล้วว่าความโปรดปรานที่มู่ฉังหมิงเคยมีต่อนางเป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น
ขันทีแค่นเสียงเบาใส่ทีหนึ่ง เหลือบตามองนางแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้…ฝ่าบาทก็ทรงตรัสแล้วเช่นกัน ในเมื่อพวกเจ้าอยู่กันตั้งมากมายแต่มิอาจคุ้มครององค์หญิงหมิงเจ๋อเอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ารับใช้องค์หญิงได้ไม่ดี เช่นนั้นก็ตายไปพร้อมองค์หญิงเถิด หากลงไปสู่เบื้องล่างแล้วก็อย่าลืมรู้ที่สูงที่ต่ำ คอยปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงอย่างดีด้วยเล่า”
“อะไรนะ” สะใภ้ซุนอดกรีดร้องเสียงสูงไม่ได้ แม้แต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่ายังร่างกายโอนเอนล้มลงพื้นจนลุกขึ้นมาคุกเข่าไม่ไหวอีก ตายไปพร้อมองค์หญิงหรือ ฝ่าบาทใจดำถึงขนาดเอาชีวิตคนทั้งตระกูลมู่เลยหรือ
“ไม่นะ! ข้าไม่อยาก…ข้าไม่อยากตาย!” สะใภ้ซุนกรีดร้องเสียงแหลม ส่วนสตรีคนอื่นๆ ก็ร้องห่มร้องไห้ตามไปด้วยเพราะไม่มีใครอยากตายสักคน ใครก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น แต่นอกจากร้องไห้แล้วพวกนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอะไรได้อีก
ขันทีผู้นั้นยิ้มเย้ยอย่างไม่สบอารมณ์ อยากตายหรือไม่อยากตายเป็นเรื่องที่พวกเจ้าตัดสินใจกันเองได้หรือ ไม่สิ พวกนางตัดสินใจได้แค่ว่าอยากตายเท่านั้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าไม่อยากตายหากเพียงแค่ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ปรารถนาให้พวกนางตาย เพราะเดิมทีชีวิตพวกนางก็ไม่ใช่ของตัวเองอยู่แล้ว
“ท่านโหว…ท่านโหว…ข้าไม่อยากตาย…ช่วยข้าทีเจ้าค่ะ”
ถึงแม้มู่เคอจะยังเด็กแต่อะไรคือความตายนั้นกลับเข้าใจเป็นอย่างดี เขาจึงร้องแหกปากร้องเสียงดัง “ท่านพ่อ…ข้าไม่อยากตาย เคอเอ๋อร์ไม่อยากตาย…ฮือๆ”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่ว มู่ฉังหมิงมีสีหน้าท้อแท้ เขาในตอนนี้ยังจะช่วยใครได้อีกหรือ
เห็นได้ชัดว่าขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการผู้นี้มาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งมาจากฮ่องเต้แคว้นหวาเท่านั้น จากนั้นเขาก็โบกมือสั่งให้คนพาตัวมู่ฉังหมิงไปห้องขังเดี่ยวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหล่าสตรีเพียงคนเดียว ในห้องขังนั้นจัดวางยาพิษ มีดเล็ก และผ้าขาวไว้เรียบร้อยโดยฮ่องเต้แคว้นหวาที่ตระเตรียมไว้ให้มู่ฉังหมิงเป็นคนเลือกเอง
ทว่าเหล่าสตรีของจวนซู่เฉิงโหวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับไม่โชคดีเช่นนั้น ขันทีร่างกำยำเหล่านี้เดินเข้าไปเอามือบีบปากแล้วกรอกยาพิษเข้าไป ต่อให้คิดจะดิ้นหนี ทว่าสตรีร่างอ้อนแอ้นเหล่านี้จะดิ้นหลุดจากแรงพันธนาการของบุรุษเหล่านี้ได้เช่นไร สักพักทุกคนที่อยู่ในห้องขังรวมถึงมู่เคอต่างก็ถูกกรอกยาพิษเข้าปากกันทั้งสิ้น