หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 265 เส้นทางเดินของจวนซู่เฉิงโหว (4)
ขันทีที่มาถ่ายทอดพระราชโองการพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็หันไปยิ้มเอ่ยกับมู่ฉังหมิงว่า “ท่านโหว พวกข้าต้องกลับวังไปทูลรายงานฝ่าบาทแล้ว ขอไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านโหวต่อแล้วกัน” เขาไม่เป็นกังวลเลยสักนิดว่ามู่ฉังหมิงจะขัดขืนพระราชโองการ ในเมื่อถูกขังอยู่ในคุก ต่อให้มู่ฉังหมิงไม่ฆ่าตัวตายตามรับสั่งของฝ่าบาทก็ต้องมีคนช่วยฆ่าเขาอยู่แล้ว ยิ่งยื้อเวลานานมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนในตระกูลทุกคนตายไปอย่างทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตา นี่คือพระประสงค์ที่แท้จริงของฮ่องเต้แคว้นหวา ฮ่องเต้แคว้นหวาย่อมรู้ดีว่ามู่ฉังหมิงต้องตัดใจฆ่าตัวตายไม่ลงแน่นอน ดังนั้นถึงจัดการเอาพิษกรอกปากคนในจวนซู่เฉิงโหวทุกคนต่อหน้าเขา พระองค์ปรารถนาให้เขาเห็นมารดา ภรรยาและบุตรชายทุกคนของตนทั้งหมดตายต่อหน้าเต็มสองตา มู่ฉังหมิงยิ่งยื้อเวลามากเท่าไร เขาก็ยิ่งดีอกดีใจมากเท่านั้น
ยาพิษที่ขันทีผู้นั้นนำมาเหมือนจะไม่ใช่สารหนูหรือหงอนกระเรียนแดงที่ไว้ใช้ฆ่านักโทษทั่วไปแต่อย่างใด ผ่านไปสักพักใหญ่ยาพิษถึงจะเริ่มทำงาน อีกทั้งคนที่ยาออกฤทธิ์เร็วที่สุดก็คือมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุมากที่สุดและสุขภาพแย่ที่สุด ครั้นเห็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนดีดดิ้นอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด สตรีคนอื่นๆ ก็อดตกใจจนใบหน้าซีดขาวไม่ได้แล้วหลบอยู่มุมหนึ่งของคุกโดยไม่กล้าขยับไปไหน
“หมิงเอ๋อร์…ช่วยแม่ที แม่ไม่อยากตาย” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าร้องครางอย่างทุกข์ทรมาน นางเกิดมาจากตระกูลใหญ่โต หลังจากแต่งงานเข้าตระกูลมู่มาก็ใช้ชีวิตปกติสุขราบรื่น ต่อมาบุตรชายยิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นซู่เฉิงโหวเพราะได้รับคุณงามความดีจากการช่วยชีวิตฮ่องเต้ นางพลอยได้ขึ้นเป็นฮูหยินชั้นหนึ่งตามไปด้วย ด้วยตำแหน่งสูงศักดิ์มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจึงถือว่าเป็นต้นแบบที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา ไฉนจะทนความทุกข์ขมขื่นเช่นนี้ได้
เพียงแต่นางไม่รู้ว่าเกียรติยศและความมั่งคั่งที่เสพสุขในครึ่งชีวิตที่เหลือของนางกลับแลกมาด้วยลูกสะใภ้ที่แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ชอบหน้า นางดื่มด่ำกับทุกอย่างที่สะใภ้จังให้ตระกูลมู่อย่างสุขสำราญโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด แม้แต่หน้าที่ขั้นพื้นฐานในฐานะแม่สามีคนหนึ่งที่ควรพึงมีมากที่สุดยังไม่เคยทำได้ด้วยซ้ำ หากหลายปีก่อนนางเมตตารักใคร่มู่ชิงอีบ้าง ต่อให้บัดนี้นางจะล่วงเกินมู่ชิงอีคนปัจจุบันไปบ้าง แต่มู่ชิงอีก็คงเห็นแก่น้องหญิงแล้วไว้ชีวิตนางสักคน
“ท่านแม่…ท่านแม่…เป็นเช่นไรบ้าง” ห่างออกไปสองกรงเหล็ก มู่ฉังหมิงทำได้เพียงทนมองความทุกข์ทรมานของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าเต็มสองตาโดยทำอะไรไม่ได้
“เจ็บ…” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าร้องอย่างเจ็บปวด
“อ๊าก...” มู่เคอที่อยู่ข้างกายก็ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ตามด้วยสะใภ้ซุนและอนุคนอื่นๆ หลายวันมานี้ฮ่องเต้แคว้นหวาฆ่าคนมากจริงๆ แต่เพื่อชื่อเสียงของตนจึงไม่ได้มีพระประสงค์จะประหารตระกูลมู่ทั้งเก้าชั่วโคตร ดังนั้นมู่สุ่ยเหลียนและมู่อวี่เฟยเลยโชคดีไม่ได้ถูกจับตัวมาอยู่ที่นี่ เพราะนับตั้งแต่มู่ฉังหมิงขึ้นเป็นซู่เฉิงโหว ตระกูลมู่บ้านใหญ่กับบ้านสองก็แยกกันอยู่แล้ว ถือได้ว่ามู่สุ่ยเหลียนและมู่อวี่เฟยมีชื่ออยู่ในตระกูลมู่เท่านั้น
มู่ฉังหมิงมองเหล่าสตรีทยอยล้มลงบนพื้นพลางร้องโอดครวญอย่างทุกข์ทรมานฝั่งตรงข้าม เขาก็อดไม่ได้เริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง โดยเฉพาะเสียงร้องเจ็บปวดของมารดาทำเอามู่ฉังหมิงแทบอยากจะคว้ามีดบนโต๊ะมาแทงตัวเองให้ตายเดี๋ยวนั้นเลย
“ไม่นะ…ทำไมกัน” เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ตกลงตลอดชีวิตนี้เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ เขาเสียภรรยาไป เสียบุตรสาวไป กระทั่งเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย แต่สุดท้ายกลับไม่สำเร็จเรื่องใดสักอย่าง อีกทั้งยังต้องทนมองท่านแม่ที่ฟูมฟักเลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็กจนโตทุกข์ทรมานจนสิ้นใจ! เหตุใดสวรรค์ถึงต้องทารุณเขาถึงขนาดนี้ด้วย
“สะใภ้ซุน…สะใภ้ซุน…อานหรู อานหรู…เหตุใดกัน…เป็นเพราะเหตุใดหรือ” มู่ฉังหมิงยกมือขึ้นกุมศีรษะแล้วแหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้า ปวดใจจนอยากปิดหูของตัวเองไว้ แต่เสียงร่ำไห้ดังระงมไม่ขาดสายในห้องขังกลับดังไม่หยุดลงเลยสักครั้ง
“หมิงเอ๋อร์…หมิงเอ๋อร์”
“อ๊าก” มู่ฉังหมิงคำรามทีหนึ่งก่อนคว้ามีดบนโต๊ะมาแต่กลับไม่ได้เอามาบั่นคอตนเอง ทว่าเขวี้ยงออกไปปักลงตรงหัวใจของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแม่นยำและโหดเหี้ยม มู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ทันได้ร้องตกใจสักแอะ นางกลืนน้ำลายอึกสุดท้ายลงคอพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง ทว่าดวงตาพร่าเลือนนั้นกลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงและเหลือเชื่อส่งผ่านมาทางประกายแววตา
“ไม่นะ! ท่านแม่…”
กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นค่อยๆ ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้องขังแต่กลับไม่มีใครสนใจสักคน ในห้องขังตอนนี้อื้ออึงไปด้วยเสียงสะอื้นทรมานราวกับขุมนรกของมนุษย์ก็มิปาน
“คึกครื้นกันดีจริงๆ” ฉับพลันเสียงเริงร่าก็ดังมาจากประตูอย่างแผ่วเบา ทว่ากลับใสกังวานเป็นพิเศษเมื่อดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนที่ค่อยๆ อ่อนลงนี้ มู่ฉังหมิงผงะไปแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน เขามองบุรุษสวมชุดผ้าแพรสีดำปักลายเมฆสีทองคนหนึ่งตรงประตูซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร บนใบหน้าของบุรุษผู้นั้นสวมหน้ากากสีเงินลายทอง ดวงตาภายใต้หน้ากากเปล่งประกายวูบไหวพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอย่างงดงาม ราวกับตรงหน้าเป็นภาพวาดที่สะกดผู้คน น่าหลงใหลอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน เจ้ามาช่วยข้าหรือ” มู่ฉังหมิงเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตกใจ เขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดจู่ๆ คนๆ นี้ถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
“ช่วย…ช่วยข้าที” สะใภ้ซุนตะเกียกตะกายขึ้นมาจับกรงเหล็กของห้องขังด้วยความยากลำบากแล้วยื่นมือหมายจะคว้าชายผ้าของบุรุษผู้นั้นไว้ ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับเหยียบมือของสะใภ้ซุนอย่างไม่ใส่ใจ ครั้นเห็นศพของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าตรงหน้าก็ชะงักไปแล้วเอียงศีรษะชื่นชมครู่หนึ่งก่อนหันมาเอ่ยชมมู่ฉังหมิง “ทำได้ไม่เลวเลย สมแล้วที่เป็นซู่เฉิงโหวผู้ใจดำอำมหิต”
“ไม่นะ” มู่ฉังหมิงพลันหน้าเขียวเข้ม กระทั่งตอนนี้เขาถึงได้สติกลับมาจริงๆว่าเขา…เป็นคนฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง! เรื่องแบบนี้…ต่อให้เป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ยังทำไม่ลง แต่เขากลับฆ่าแม่แท้ๆ ที่เลี้ยงดูตนมาในสภาวะที่เจ็บปวดทรมานและฟุ้งซ่านเมื่อครู่!
“ไม่! ท่านแม่…”มู่ฉังหมิงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด “ไม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านแม่…”
หรงจิ่นพิงกรงเหล็กของห้องขังพร้อมยิ้มตาหยีมองมู่ฉังหมิงระเบิดเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดตรงหน้า เขารู้สึกเพียงปลื้มปริ่มเหลือเกิน แม้แต่ท่าทีรังเกียจสภาพสกปรกโสโครกในคุกยังไม่เผยออกมาให้เห็นเลยสักนิด
ครั้นเห็นคนอื่นทุกข์ทรมานใจ หรงจิ่นกลับอารมณ์ดีชอบใจสุดขีด
“นี่ซู่เฉิงโหว เจ้าร้องไห้พอหรือยัง ถ้าร้องพอแล้วก็ไปกันเถิด” รอกระทั่งในคุกเหลือเพียงเสียงร่ำไห้ของมู่ฉังหมิงคนเดียว หรงจิ่นถึงมุ่นคิ้วเปิดปากเอ่ยเตือน ถึงแม้จะมีกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีคอยช่วย แต่คุกของกรมอาญาก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ เขาไม่อยากปะทะกับใครที่นี่หรอกนะ
มู่ฉังหมิงชะงักไป เหมือนในที่สุดก็คิดได้ว่าในคุกยังมีใครอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีลังเลใจว่า “เจ้า…เหตุใดถึงมาช่วยข้า”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยอย่างไม่พอใจนัก “เข้าข้างตัวเองให้น้อยๆ หน่อย ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่ามาช่วยเจ้า มีคนอยากเจอเจ้า ตามข้ามา”
มู่ฉังหมิงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ หรงจิ่นเหลือบมองยาพิษและผ้าขาวที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องขังแวบหนึ่ง “เจ้าจะโชคร้ายได้มากกว่านี้อีกหรือ” อยู่ที่นี่อย่างไรก็ตายสถานเดียว แต่ถ้าออกไปไม่แน่อาจจะมีโอกาสบ้าง หรือต่อชีวิตได้อีกสักหน่อย
มู่ฉังหมิงมองห้องขังฝั่งตรงข้ามที่เงียบกริบไร้เสียงใดทีหนึ่ง ในที่สุดก็หยัดกายลุกขึ้นพร้อมร่างที่สั่นสะท้าน หรงจิ่นแค่นเสียงเบา แค่ยกมือขึ้น มีดซิวหลัวสีแดงเข้มในแขนเสื้อก็ตวัดฟันลงทีหนึ่งอย่างเบามือ โซ่เหล็กบนประตูคุกก็เกิดเสียงแล้วขาดออกจากกัน
มู่ฉังหมิงมองบุรุษชุดดำแสนลึกลับตรงหน้าอย่างตกตะลึงแวบหนึ่ง ตนเองก็มีวิทยายุทธติดตัวเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายลงมือเช่นไรกลับมองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ นับว่าบุรุษผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดาเลย