หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 272 งานเลี้ยงฉลองอภิเษกนองเลือด (3)
“ฝ่าบาท…” ขันทีผู้ดูแลที่คอยรับใช้อยู่ด้านหลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ฝ่าบาทรีบรับสั่งให้หัวหน้าองครักษ์เนี่ยกลับวังมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากกง…ทำอันตรายฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้แคว้นหวาแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งก่อนจะตรัสว่า “เราอยากเห็นนักว่าเขาจะเหิมเกริมได้สักแค่ไหน!”
“ในเมื่อเสด็จพ่อตรัสขนาดนี้แล้ว ลูกจะกล้าทำให้เสด็จพ่อผิดหวังได้เช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสยังไม่ทันจบ เสียงของมู่หรงอวี้ก็ดังขึ้นนอกพระตำหนัก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นมู่หรงอวี้เอามือไพล่หลังยืนตรงหน้าประตูพระตำหนักพลางจับจ้องฮ่องเต้แคว้นหวาด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้าสัตว์เดียรัจฉาน เจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าเราเช่นนี้เลยหรือ!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตำหนิอย่างเกรี้ยวโกรธแล้วตรัสว่า “ใครก็ได้เข้ามาเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่นอกพระตำหนักในเดิมทีไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด มู่หรงอวี้เผยรอยยิ้มได้ใจพาดผ่านแววตา “เสด็จพ่อเรียกหาององครักษ์วังหน้าที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ของเสด็จพ่อหรือ คนไร้ประโยชน์แบบนั้น…จะมีประโยชน์ใดเล่า หากเนี่ยอวิ๋นอยู่ที่นี่ บางทีลูกอาจนึกปวดหัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เนี่ยอวิ๋นกำลังปกป้องเหล่าพี่ๆ น้องๆ และแขกในงานอยู่ที่จวนน้องเก้าโน้นแล้ว”
“หุบปาก! อย่ามาเรียกเราว่าเสด็จพ่อ เจ้าไม่ใช่ลูกของเราและไม่ใช่องค์ชายของแคว้นหวาด้วย คำว่าเสด็จพ่อไม่คู่ควรกับเจ้า” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงเย็นชา
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงอวี้อันตรธานหายไปจนเกลี้ยง แววตาที่สาดทอความลำพองใจในตอนแรกก็แดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดน่ากลัวราวกับปีศาจ “ไม่คู่ควรหรือ ไม่คู่ควรจริงๆ นั่นแหละ!”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองเขาจากด้านบนจับจ้องมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีผยองตรัสว่า “เจ้าเข้าวังมาในเวลานี้ต้องการทำอันใดเล่า บีบให้เราสละตำแหน่งแล้วทรยศบ้านเมืองหรือ”
มู่หรงอวี้เองก็ไม่ปฏิเสธ “ในเมื่อเสด็จพ่อรู้แล้วก็อย่าทำให้ลูกต้องลำบากใจเลย”
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มเยาะตรัสขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าคิดว่าใครๆ ก็สามารถโค่นบัลลังก์ได้หรือ ต่อให้คิดจะโค่นบัลลังก์ก็ต้องมีคุณสมบัติมากพอ คนทรยศที่ถูกขับไล่ออกจากเชื้อพระวงศ์ ไร้ชื่อไร้สกุลอย่างเจ้า เจ้าคิดว่าแก่งแย่งตราประทับหยกไปได้แล้วจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หรือ”
มู่หรงอวี้ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น แต่คำพูดที่ว่าคนทรยศที่ไร้ชื่อไร้สกุลนั้นกลับทิ่มแทงความเจ็บปวดของเขา เขายิ้มเย็นชากล่าว “แค่มีตราประทับหยกย่อมไม่มีทางทำได้ แต่หากมีสาส์นพระราชโองการประกาศให้สืบทอดตำแหน่ง เช่นนั้นคงไม่เหมือนกัน ดังนั้นคงต้องรบกวนเสด็จพ่อทรงเขียนสาส์นยกเลิกพระราชโองการก่อนหน้านี้สักฉบับแล้ว”
“เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!” ฮ่องเต้แคว้นหวาปฏิเสธทันควันอย่างไม่ไว้หน้า
มู่หรงอวี้สีหน้าครึ้มลง เอ่ยเสียงเรียบ “ลูกคิดว่าเสด็จพ่อควรไตร่ตรองให้ดีก่อนค่อยปฏิเสธก็ยังมิสายนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสขึ้นว่า “ไม่ต้องไตร่ตรองหรอก เพราะตอนนี้เราบอกเจ้าได้เลยว่าหากคิดจะให้เราเขียนสาส์นประกาศสืบทอดตำแหน่ง เจ้าก็ฝันไปได้เลย!”
เพราะหลายวันนี้มู่หรงอวี้มีเรื่องมากมายรุมเร้าจนไฟโทสะสุมอก ครั้นเวลานี้ที่ฮ่องเต้กล่าวปฏิเสธโดยไม่คิดลังเลใจและเย้ยหยัน จึงยิ่งทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ ดวงตาฉายแววอันตรายกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าโทษว่าลูกเสียมารยาทแล้วกัน”
ฝีมือวิทยายุทธของมู่หรงอวี้ไม่ด้อยไปกว่าใครเลย ถึงแม้ช่วงวัยหนุ่มฮ่องเต้แคว้นหวาจะมีฝีมือที่ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่พอนานวันเข้าวิทยายุทธที่มีติดตัวก็หายไป มู่หรงอวี้ชักกระบี่ออกมาจากเอวแล้วกระโดดพุ่งตัวเข้าไปหาฮ่องเต้แคว้นหวาที่นั่งอยู่บนพระที่นั่ง
ผู้ดูแลขันทีด้านหลังฮ่องเต้แคว้นหวาร้องตกใจก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปขวางหน้าฮ่องเต้แคว้นหวาไว้ แต่ขันทีที่ต่อสู้ไม่เป็นจะมีประโยชน์อันใด มู่หรงอวี้สะบัดแขนทีเดียวก็ผลักเขาล้มศีรษะชนกับบันไดจนหมดสติไป
กระบี่ที่เล่นแสงวาววับจ่ออยู่บนคอของฮ่องเต้แคว้นหวา ครั้นเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้แคว้นหวาที่ถูกเขากดไว้ภายใต้ฝีดาบ ในใจของมู่หรงอวี้พลันรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาด ชั่วชีวิตนี้เหมือนเขาต้องแหงนหน้ามองเสด็จพ่อผู้สูงส่งผู้นี้ด้วยความหวาดกลัวและระแวงอยู่เสมอ แม้แต่เรื่องของตระกูลกู้ หากไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นถึงความหวาดกลัวและชิงชังของเสด็จพ่อที่มีต่อตระกูลกู้จนมีความคิดเช่นนั้น แต่สุดท้ายเสด็จพ่อของเขากลับแย่งทุกอย่างของเขาไปอย่างง่ายดาย
ทว่าบัดนี้เสด็จพ่อที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาทำได้แค่แหงนหน้ามองจากด้านล่างกลับถูกเขาเอาดาบจ่อคอ กระทั่งขอแค่ตนขยับปลายดาบก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของเขาได้แล้ว นี่ก็คืออำนาจและพละกำลัง…ขอแค่เขามีพละกำลังที่ยอดเยี่ยม แม้แต่ฮ่องเต้ที่อยู่เหนือใครในใต้หล้าก็ตายภายใต้เงื้อมมือของเขาได้ทุกเมื่อ
“เสด็จพ่อ ทำตามที่บอกเถิด เสด็จพ่อเองก็แก่แล้ว” จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็ยิ้มเอ่ยอย่างมีความสุข
ฮ่องเต้แคว้นหวาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เพียงมองกระบี่ที่จ่ออยู่ตรงคอด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วตรัสถาม “เจ้าคิดจะฆ่าพ่อหรือ”
มู่หรงอวี้ลังเลใจครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ได้สติแล้วเอ่ยตอบกลับไป “ตอนนี้ลูกมีทางเลือกใดด้วยหรือ” เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากไม่สำเร็จก็ต้องตาย เขาไม่มีทางเลือกแล้ว “หากเสด็จพ่ออยากรอองครักษ์ในวังมาช่วยละก็ เช่นนั้นก็อย่าหวังไปเลยดีกว่า แต่ไหนแต่ไรมาลูกมิกล้าดูแคลนองครักษ์วังหน้าของเสด็จพ่อ ดังนั้นจึงตั้งใจเชิญคนของสำนักหันเสวี่ยโหลวมาจัดการพวกเขาเชียว”
ถึงแม้นักฆ่าของสำนักหันเสวี่ยโหลวจะค่าตัวแพงใช่ย่อย แต่ทำให้มู่หรงอวี้เข้าวังมาได้อย่างเงียบๆ อีกทั้งเข้ามาในพระตำหนักฉินเจิ้งได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เกรงว่านักฆ่าที่เชิญมาคงใช้เบี้ยหวัดไปจำนวนไม่น้อย เห็นได้ชัดมากว่ามู่หรงอวี้ทุ่มหมดตัวเพื่อวันนี้จริงๆ
หากคนของหันเสวี่ยโหลวจัดการเรื่องวันนี้เสร็จ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้อย่าแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาในแคว้นหวาเชียว
“เจ้าช่างชั่วช้านัก!” หากเดิมทีฮ่องเต้แคว้นหวายังเหลือเยื่อใยความเป็นพ่อลูกกับมู่หรงอวี้อยู่บ้าง ทว่าเวลานี้คงมลายหายสิ้นไปหมดแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มเยาะตรัสว่า “เราจะบอกเจ้าให้ว่าต่อให้ลูกหลานในราชวงศ์แคว้นหวาตายกันหมด เราก็ไม่มีทางสละตำแหน่งฮ่องเต้ให้คนทรยศบ้านเมืองอย่างเจ้าหรอก!”
เรื่องนี้เป็นความจริง หากคนธรรมดาคิดก่อกบฏคงมีโทษตายสถานเดียว แต่หากเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์หรือกระทั่งเป็นถึงองค์ชายกลับยิ่งทำให้คนอื่นยิ่งเกลียดชัง ไม่ต้องพูดถึงว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่อนุญาต เพราะหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าทั้งนอกและในราชสำนักคงไม่มีทางยอมรับให้มู่หรงอวี้ขึ้นครองราชย์แน่นอน ถึงแม้ในมือของมู่หรงอวี้จะมีสาส์นพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่ก็ตาม
มู่หรงอวี้มุมปากกระตุกแฝงรอยยิ้มเย็นยะเยือกกล่าว “ต่อให้ลูกหลานในราชวงศ์แคว้นหวาจะตายกันหมดก็จะไม่มีทางให้ลูกสืบทอดบัลลังก์ต่ออย่างนั้นน่ะหรือ ลูกก็อยากรู้เหมือนกัน ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมีองค์ชายตายไปหลายคน เสด็จพ่อคิดเห็นเช่นใดหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาเผยยิ้มเย็นชา “ช่างไม่รู้ความเป็นความตายของตัวเองเอาเสียเลย!”
มู่หรงอวี้ชะงักไปแล้วมองฮ่องเต้แคว้นหวาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองอย่างหวาดระแวง ฮ่องเต้แคว้นหวาย่อมกลัวตายอยู่แล้ว ทว่าท่าทีที่แสดงออกมาในเวลานี้กลับทำให้ตนอดระมัดระวังตัวไม่ได้ว่าเขาจะมีลูกไม้ตอบโต้อะไรหรือเปล่า “เสด็จพ่อไม่กลัวตายหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มเยาะใส่แต่กลับไม่ได้เอ่ยตรัสสิ่งใด มู่หรงอวี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ฮ่องเต้แคว้นหวาปล่อยลูกธนูเล็กบนข้อมือที่ไม่ได้ถูกพันธนาการออกไปดอกหนึ่ง มู่หรงอวี้ใจหายขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลบ แต่เพราะเขากับฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่ใกล้กันเกินไป หากยิงโดนขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ
ชั่วขณะที่ธนูเล็กบนข้อมือของฮ่องเต้แคว้นหวาปล่อยออกมาแล้วเขาถอยหลบนั้น ในเวลาเดียวกันฉากกั้นลมที่อยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นหวาก็มีเงาดำโผล่ออกมาพร้อมตวัดดาบฟาดฟันมู่หรงอวี้โดยไม่คิดปรานีเลยสักนิด
ถึงแม้มู่หรงอวี้จะปลอดภัยเบี่ยงหลบลูกธนูได้อย่างสวยงามแต่ก็เลี่ยงคมดาบไม่พ้นจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็ไอออกมาเป็นเลือด คนชุดดำทั้งสองที่มีทักษะฝีดาบเยี่ยมยอดเข้ามาประกบตัวฮ่องเต้แคว้นหวาทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลางจับจ้องมู่หรงอวี้ที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก ขอแค่เขาขยับตัวแม้แต่นิดเดียวก็พร้อมจะสังหารเขาทิ้งในทันที
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่หรงอวี้แล้วยิ้มเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้างกายเราจะมีแค่เนี่ยอวิ๋นเพียงคนเดียวหรือ หากไม่ย้ายตัวเนี่ยอวิ๋นออกไป เกรงว่าเจ้าก็คงไม่กล้ามากระมัง”
มู่หรงอวี้ยกมือขึ้นปาดเลือดตรงมุมปากแล้วกัดฟันเอ่ย “เสด็จพ่อรู้อยู่แล้วว่าข้าต้องมาหรือ” ฮ่องเต้แคว้นหวาส่ายศีรษะพลางตรัสว่า “เราไม่รู้ แต่เราแค่ชินกับการเตรียมรับมือไว้ก่อน ในเมื่อเจ้ามีความคิดที่จะก่อกบฏ เช่นนั้นก็อย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย ฆ่าทิ้งเสีย!”