หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 275 ออกจากเมืองหลวง เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ (2)
มู่หรงอวี้เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้ากล่าว “ได้ ข้ารู้แล้ว ข้าจะส่งมอบของให้เจ้าก่อนครึ่งหนึ่ง”
หรงเหยี่ยนยิ้มพรายพลางพยักหน้าเอ่ย “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่ได้รับของจากสหายมู่หรง...แคว้นเย่ว์ของข้าไม่มีทางเอาเปรียบสหายมู่หรงแน่นอน”
มู่หรงอวี้ไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาเงยหน้าเหม่อมองพระจันทร์เสี้ยวรูปทรงดั่งคิ้วบนท้องฟ้า แววตาลึกล้ำทอดมองออกไปไกลแสนไกล เลือดเป็นสายไหลออกมาจากปาก ทรวงอกเจ็บปวดราวกับใกล้ระเบิดออกมาเต็มที ภาพเบื้องหน้ามืดสลัวเป็นระยะๆ พอมู่หรงอวี้หันไปก็เห็นสีหน้าตกใจของหรงเหยี่ยน
ณ จวนตระกูลจัง มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงกำลังเล่นหมากรุกด้วยท่าทีผ่อนคลาย บัดนี้ในเมืองหลวงมีองค์ชายสิ้นชีพกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนเหล่าองค์ชายที่ได้รับบาดเจ็บนัก นอกจากองค์ชายเก้าที่ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว สามคนที่เหลือกลับมีบาดแผลติดตัวไปชั่วชีวิต งานอภิเษกงานเดียวทำลายองค์ชายถึงห้าคน เวลานี้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างอกสั่นขวัญแขวน มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงเลยอยู่ในจวนไม่ออกไปไหน
“คุณชายใหญ่ คุณชาย ผิงอ๋องมาขอพบขอรับ” ลูกน้องด้านนอกประตูรีบเข้ามารายงาน มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงสบตากันแวบหนึ่งยังไม่ทันพูดอะไร มู่หรงซีก็รีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าย่ำแย่
“พี่ชาย มีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างตกใจ
มู่หรงซีเอ่ยเสียงขรึม “รีบออกไปจากเมืองหลวง! ซิ่วถิงและชิงอี พวกเจ้าสองคนรีบออกไปจากเมืองหลวงกันทั้งคู่เลย!”
กู้ซิ่วถิงลุกขึ้นเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “พี่ชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
มู่หรงซีเอ่ย “เว่ยหลีเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว”
มู่ชิงอีไม่เข้าใจ “แล้วอย่างไรเล่า”
“พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเว่ยหลีกับมู่หรงจ้าวรู้เรื่องตัวตนของซิ่วถิง” มู่หรงซีเอ่ยเชิงโมโหเล็กน้อย
พวกเขาสองคนสีหน้าเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าพวกเขาลืม แต่ก่อนหน้านี้เว่ยหลี่ไม่แพร่งพรายเรื่องกู้ซิ่วถิงออกไปเพราะมู่หรงจ้าว อีกทั้งเขาเองก็ยากจะอธิบายได้ว่าเหตุใดถึงรู้ตัวตนและแผนการของกู้ซิ่วถิงได้ แต่เวลานี้มู่หรงจ้าวเสียตาไปข้างหนึ่ง ตำแหน่งองค์รัชทายาทคงทำได้แค่หวังแต่ไม่มีทางคว้ามาได้แน่นอน ดังนั้นเว่ยหลีจึงไม่มีเรื่องใดให้เกรงกลัวอีก คนตระกูลเว่ยเป็นตระกูลของแม่ทัพ ถึงแม้กลอุบายจะใช้ได้ แต่หากเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็อารมณ์บุ่มบ่ามมากเช่นกัน
หากฮ่องเต้แคว้นหวารู้เรื่องตัวตนของกู้ซิ่วถิง พอเชื่อมโยงไปถึงมู่ชิงอีและมู่หรงซีก็คงเดาได้ไม่ยากแล้วว่าหลายวันมานี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงมีต้นตอมาจากอะไร
“พี่ชายไปพร้อมกับพวกเราเถิดพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยเสียงขรึม
มู่หรงซีส่ายศีรษะเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไปไม่ได้”
“เหตุใดถึงไม่ได้” กู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “ท่านจะบอกว่ากระหม่อมกับท่านไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันหรือ แล้วในจวนผิงอ๋องมีใครที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับท่านบ้าง พระชายาหรือ”
มู่หรงซียิ้มเจื่อน ใช่แล้ว ในจวนผิงอ๋องไม่มีคนในครอบครัวของเขาเลย แม้แต่ภรรยาที่ถูกคลุมถุงชนให้อภิเษกก็แค่มีไว้ตบตาคนอื่นนานแล้ว เพราะเหตุนี้มู่หรงซีถึงรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาตั้งยี่สิบกว่าปี สุดท้ายถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองล้มเหลวมากเพียงใด ทั้งทำร้ายเสด็จแม่และท่านตาของตนเอง ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเสด็จพ่อ แม้แต่ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก็หักหลังเขานานแล้ว…คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีประโยชน์อะไร
“พี่ใหญ่พูดถูก พี่ชายไปพร้อมกันกับเราเถิดเพคะ” มู่ชิงอีกล่าว “หากหม่อมฉันหนีไปกับพี่ใหญ่ ฝ่าบาทต้องโยนความผิดลงโทษท่านแน่นอน” ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่จะเห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูก ตอนนั้นมู่หรงซีไม่มีความผิดใดยังถอดถอนตำแหน่งรัชทายาทเลย หากตอนนี้ถูกฮ่องเต้แคว้นหวาโกรธเกลียดขึ้นมาอีกล่ะก็ เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น
“ไม่” มู่หรงซีส่ายศีรษะเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ไม่ต้องพูดมากแล้ว พวกเจ้ารีบหนีออกจากเมือง นี่คือป้ายคำสั่งออกเมืองและป้ายคำสั่งผ่านด่าน ขอแค่ไปให้ไกลจากเมืองหลวง ด้วยความสามารถของพวกเจ้าต่อให้เสด็จพ่อทรงมีคำสั่งให้ป่าวประกาศตามหาก็ไม่มีใครจับตัวพวกเจ้าได้หรอก รีบ…” มู่หรงซียังพูดไม่ทันจบ ท้ายทอยก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะมืดลงแล้วหมดสติไป
มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงมองหรงจิ่นในชุดสีดำที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่หรงซีด้วยสีหน้าตกใจ จากนั้นหรงจิ่นก็ใช้เท้าเตะมู่หรงซีที่ล้มนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดมากความเสียจริง”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงกลับปรับสีหน้าเป็นอีกอย่าง “ชิงชิง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่อย่างหัวเสียกล่าว “องค์ชายเก้าจะไปกับพวกเราด้วยหรือ”
“ชิงชิง…” องค์ชายเก้างุดหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย เขาคือองค์ชายแคว้นเย่ว์ต้องออกเมืองไปพร้อมหรงเหยี่ยน ถึงแม้พวกเขาใกล้กลับแคว้นแล้ว แต่พวกชิงชิงจะรอต่อไปอีกไม่ได้ เขาเชื่อว่าอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามฮ่องเต้แคว้นหวาก็ต้องส่งคนมาปิดเมืองแล้วไล่ล่าตามหาพวกเขา ความจริงทั่วทั้งเมืองหลวงตอนนี้ก็ถูกปิดเมืองอยู่แล้ว เพียงแต่คนที่เขาตามหาคือมู่หรงอวี้ พวกเขาจึงออกนอกเมืองได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้หรงจิ่นกำลังลอบก่นด่าเว่ยหลีที่แสนเรื่องมากในใจไปร้อยรอบแล้ว
“แล้วนี่…จะพาไปด้วยอย่างไร” กู้ซิ่วถิงเอ่ยพลางชี้ไปยังมู่หรงซีที่อยู่บนพื้น หากยัดใส่หีบคงไม่ได้แน่นอน ตอนนี้ประตูเข้าออกเมืองหลวงตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากยัดคนใส่หีบไป นอกจากกลบเกลื่อนไม่ได้แล้วยังจุดชนวนความสงสัยให้พวกเขามากกว่าเดิมด้วย
หากตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้อยากแอบหนีออกเมืองไปก็ยากแล้ว หรงจิ่นอาจจะทำได้ แต่หรงจิ่นปฏิเสธที่จะอุ้มชายคนหนึ่งพาแอบหนีออกนอกเมือง
หรงจิ่นมองมู่หรงซีที่นอนหมดสติไม่รู้เรื่องอะไรตรงหน้า จากนั้นก็ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “ข้ามีวิธีแล้ว”
ต่อมาก็ปรากฏรถเกี้ยวสีชมพูที่มีคุณชายรูปงามคนหนึ่ง สาวร่างอ่อนแอปวกเปียกนอนหมดสติคนหนึ่ง และบ่าวรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งขับออกจากเมืองหลวงไปทางประตูตะวันตก หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามทั่วทั้งเมืองหลวงก็ออกกฎอัยการศึกอีกครั้ง เหล่าขุนนางข้าหลวงต่างวิ่งวุ่นตรวจค้นบ้านเรือนแต่ละหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วนแต่กลับไม่เจอร่องรอยใด แม้แต่เนี่ยอวิ๋นที่น้อมรับพระราชโองการแล้วมาถึงจวนตระกูลจังก็ต้องคว้าน้ำเหลวไปเช่นกัน ส่งคนและม้าออกมาตั้งมากมายแต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ลานหลังจวนตระกูลจัง เนี่ยอวิ๋นยืนอยู่ใต้ต้นไม้จับจ้องหมากบนกระดานกับถ้วยชาที่ยังไม่ทันเก็บใต้ต้นไม้ด้วยสายตาแน่นิ่ง
“ชาชั้นดี การวางหมากยอดเยี่ยม สองคนนี้ต้องเป็นคนมีความรู้แน่นอน” เซ่าจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยปากชม
เนี่ยอวิ๋นหันไปกวาดตามองเซ่าจิ่นอย่างเงียบๆ ถึงแม้ตนจะเกิดมาในตระกูลผู้มีความรู้ แต่เรื่องดนตรี หมากรุก วาดรูปอะไรทำนองนี้กลับมีความรู้น้อยนัก
จ้าวจื่ออวี้เอามือไพล่หลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มองหมากกระดานตรงหน้าพลางขบคิดอะไรบางอย่างแล้วกล่าว “เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าครั้งเดียวจะปรากฏตัวถึงสองคน สมแล้ว…ที่ตอนนั้นคุณชายซิ่วถิงขึ้นชื่อเรื่องความหลักแหลมเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง”
เซ่าจิ่นลูบคางครุ่นคิดแล้วเอ่ย “เช่นนั้นจังชิงคือใครกันเล่า ได้ยินว่าดูเหมือนจะอายุแค่สิบสี่สิบห้าเท่านั้นหรือ” กู้ซิ่วถิงบงการมู่หรงจ้าว ส่วนจังชิงบงการมู่หรงเสีย รวมถึงองค์หญิงหมิงเจ๋อที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไรและผิงอ๋องที่เพิ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดไม่น้อย บงการปั่นหัวคนทั้งเมืองหลวงได้เช่นนี้ คนของตระกูลกู้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เนี่ยอวิ๋นขยับริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบ “ดูทรงแล้วพวกเขาเพิ่งไปได้ไม่นาน”
เซ่าจิ่นพยักหน้าเอ่ย “ไม่ใช่แค่ไม่นาน แต่ไปอย่างกะทันหันเหมือนมีคนมาแจ้งข่าวพวกเขา หรือพวกเขาจะมีสายสืบที่มีฝีมือน่าทึ่งในเมืองหลวงด้วย” เว่ยหลีเพิ่งเข้าวังไป คนผู้นั้นก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอนจึงชิงหนีไปก่อน นี่ต้องฉลาดหลักแหลมขนาดไหนกันเล่า พอครุ่นคิดดูแล้วใจก็พลันหายวาบ