หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 285 ตำบลเล็กๆ ที่ห่างไกล ขู่ฆ่ากลางทาง (4)
“เอ๊ะ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัวเองหรือ” หัวหน้าคนชุดดำผู้นั้นขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ จากนั้นก็เบือนสายตาไปจับจ้องอู๋ซินที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงอี ตำแหน่งการยืนหน้าหลังของพวกเขาได้บ่งบอกสถานะของพวกเขาอย่างชัดเจนแล้ว
“พวกเราแค่เดินผ่านทางนี้เลยแวะค้างที่นี่สักคืน รบกวนทุกท่านแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา
คนชุดดำกวาดตามองมู่ชิงอีอยู่สองทีถึงเอ่ย “เด็กน้อยอย่างเจ้ารู้กาลเทศะใช้ได้ ในเมื่อใช้เส้นทางนี้ในการสัญจร คิดว่าเจ้าก็คงไม่ใช่คนที่ทำอะไรถูกต้องนัก วันนี้มาเจอเรื่องนี้เข้าก็ถือว่าพวกเจ้าดวงซวยก็แล้วกัน”
เห็นได้ชัดมากว่าคนพวกนี้ไม่คิดจะปล่อยมู่ชิงอีและอู๋ซินที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ไป ในเมื่อหากหญ้าเซียนเก้าเมฆาสำคัญดั่งที่คนชุดดำกล่าวไว้จริงๆ ล่ะก็ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ อย่างไรเสียการฆ่าปิดปากก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก
มู่ชิงอียิ้มอย่างเอือมระอาเอ่ย “ขอบคุณสำหรับคำชมของท่านด้วย ในเมื่อหายนะโผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ หากไม่ยอมรับชะตากรรมแล้วจะทำอันใดได้เล่า”
“นับว่าเป็นเด็กที่น่าสนใจทีเดียว” คนชุดดำพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไปเล่า” เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำไม่เห็นมู่ชิงอีและอู๋ซินอยู่ในสายตาเลย ถึงแม้วิทยายุทธของอู๋ซินจะดีเยี่ยมแต่ก็ไม่ถึงขั้นอยู่ในลำดับต้นๆ อีกทั้งยังต้องดูแลสตรีที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัวด้วยอีกหนึ่งคน ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นภัยคุกคามใดสำหรับพวกเขาเลย
มู่ชิงอีลอบพรูลมหายใจแล้วหันไปมองอู๋ซินแวบหนึ่งสื่อว่า รีบหาโอกาสหนีไป
อู๋ซินส่ายศีรษะโดยไม่ปริปากพูดอะไร ในฐานะองครักษ์ การปกป้องคุ้มครองเจ้านายคือหน้าที่ เขาเคยหนีไปและทิ้งคุณหนูไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจะไม่มีครั้งที่สองเป็นอันขาด มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนใจ หากมีองครักษ์ที่หัวรั้นเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีจริงๆ
มั่วเวิ่นฉิงที่อยู่อีกฝั่งมองมู่ชิงอีและอู๋ซินที่พลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะตนทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความผิดใดแวบหนึ่ง ทว่าแววตากลับไม่แสดงท่าทีละอายใจใดพาดผ่านให้เห็นเลย
“เจ้าสำนักมั่ว ท่านจะไปเองหรือจะให้พวกเราเชิญท่านไปหรือ” คนชุดดำเอ่ยถาม
มู่ชิงอีสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ย “ท่านผู้นี้ หากท่านแค่อยากได้ของๆ ท่าน…ไม่สิ ของๆ บางอย่างจากเจ้าสำนักมั่วล่ะก็ บางทีข้าอาจจะพอช่วยได้บ้าง”
“หืม” ภายในลานนั้น สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่มู่ชิงอี มู่ชิงอีหลุบตาลง จากนั้นก็เม้มปากด้วยท่าทีตึงเครียดกล่าว “แต่ข้าก็หวังว่าหลังจากภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะยอมปล่อยพวกเราไป”
ชายชุดดำจ้องมู่ชิงอีราวกับกำลังประมวลความจริงจากคำพูดของนาง มู่ชิงอีกล่าว “ชื่อเสียงของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ข้าเองก็เคยได้ยินมาก่อน หากเขาไม่ให้ความร่วมมือล่ะก็ เกรงว่า…ต่อให้ทุกคนฆ่าเขาตายก็ไม่มีทางได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาไปกระมัง พวกเราสองคนก็แค่บังเอิญผ่านมาทางนี้พอดี และไม่ได้สนใจหญ้าเซียนเก้าเมฆาอะไรนี้ด้วย แค่หวังว่าท่านจะปล่อยพวกเราไปก็เท่านั้น”
คนชุดดำครุ่นคิด กระทั่งในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ย “ก็ได้ เจ้าลองดูก็ได้ แต่หากล้มเหลวล่ะก็…”
มู่ชิงอียิ้มเฝื่อนอย่างจนใจกล่าว “ขอแค่ได้ลองก็ย่อมมีความหวังบ้างแล้ว หากไม่ลองข้าก็ต้องตายอยู่ดี”
ในที่สุดก็ยอมฟังคำพูดของมู่ชิงอี บุรุษผู้นั้นพยักหน้าเอ่ย “เจ้ามานี่เถิด”
“ช่วยพยุงข้าหน่อย ข้าแข้งขาอ่อนแรงไปหมดแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา
อู๋ซินเดินเข้าไปประคองตัวมู่ชิงอีอย่างเงียบๆ คนชุดดำเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาดูออกนานแล้วว่าความจริงสาวน้อยผู้นี้เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรเลย อีกทั้งดูจากบุคลิกแล้วเกรงว่าจะเป็นบุตรสาวของตระกูลผู้มีความรู้มากกว่า จู่ๆ มาเจอสถานการณ์เช่นนี้แต่ยังไม่ตกใจกลัวจนเป็นลมล้มไปก็นับว่าใจกล้าไม่เบาแล้ว เวลานี้หากจะแข้งขาอ่อนแรงก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร
หลังจากจับมือของอู๋ซิน มู่ชิงอีก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหามั่วเวิ่นฉิง
“เจ้าสำนักมั่ว…” มู่ชิงอีมองบุรุษหล่อเหลาเย็นชาตรงหน้าพลางรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ เพราะเขาหน้านิ่งจนเกินไป สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือยากที่คาดเดาความคิดของเขาได้ ดังนั้นนางจึงอดป้องกันตัวไม่ได้เพราะกลัวจู่ๆ มั่วเวิ่นฉิงเกิดทำอะไรขึ้นมา แต่โชคดีที่กระทั่งนางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามั่วเวิ่นฉิงแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวอะไร ทว่ากลับจับจ้องนางแน่นิ่ง
“เจ้าสำนักมั่ว ข้าไม่รู้หรอกว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆามีอะไรวิเศษนักหนา แต่…มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดีมากว่า ขอแค่มีป่าเขาก็จะมีฟืนไว้ใช้ชั่วชีวิต ท่านดื้อรั้นเช่นนี้…ต่อให้จะรักษาเจ้าสิ่งนี้ไว้ได้ แต่กลับต้องตาย...แบบนี้จะมีประโยชน์อันใด ท่านว่าถูกหรือไม่เล่า” มู่ชิงอีเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงเบาภายใต้ดวงตาไร้ความรู้สึกของมั่วเวิ่นฉิงที่จับจ้องนางแน่นิ่ง
มั่วเวิ่นฉิงเงียบกริบไม่พูดอะไร มู่ชิงอีก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวจนระยะห่างใกล้มั่วเวิ่นฉิงมากกว่าเดิม “เจ้าสำนักมั่ว…เหตุใดท่านต้อง…” พวกเขาสองคนอยู่ห่างจากมั่วเวิ่นฉิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จู่ๆ เสียงที่นุ่มนวลของมู่ชิงอีก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมา “อู๋ซิน จัดการ!”
ฉับพลันภายในโรงเตี๊ยมก็เกิดสถานการณ์กลับตารปัตรขึ้น ได้ยินแค่มู่ชิงอีโยนของบางอย่างในมือออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงหยกแตกเสียงใสดังก้องกังวานแล้วเกิดควันขาวพวยพุ่งท่ามกลางกลุ่มคนตามมา อู๋ซินใช้มือหนึ่งลากมู่ชิงอีและอีกมือหนึ่งลากมั่วเวิ่นฉิงถอยกลับไปตรงประตูห้องของมั่วเวิ่นฉิงอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก...” ภายในลานเกิดเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ทว่าชั่วพริบตาเดียวคนที่อยู่ในลานก็ล้มลงพื้นจนเกือบหมด สิ่งที่หรงจิ่นมอบให้พิษร้ายแรงดีไม่เบา ไม่นานคนที่โดนพิษก็เงียบเสียงลง อีกทั้งทุกคนล้วนผิวหนังกลายเป็นสีดำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพิษรุนแรงมาก
“ยัยเด็กใจเหี้ยมตัวแสบ!” หัวหน้าคนชุดดำจับสถานการณ์ได้ว่องไวเลยหลบอันตรายไปได้ จากนั้นก็คำรามขึ้นอย่างโมโห
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนปัญญากล่าว “ท่านผู้เฒ่า ข้าก็แค่ป้องกันตัวไว้ก่อนก็เท่านั้น หากเทียบกับคนที่คิดจะฆ่าปิดปากเราโดยไร้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ถือว่าข้ายังทำอะไรมีเหตุผลบ้างกระมัง”
คนชุดดำหัวเราะเสียงเย็นชากล่าว “เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหนีรอดไปได้หรือ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “แบบนี้ก็อาจจะไม่ได้ แต่…บางทีตัวประกันในมือข้า ท่านผู้เฒ่าคงให้ความสนใจอยู่กระมัง”
“ตัวประกันหรือ”
“เจ้าสำนักเย่าหวังกู่อย่างไรเล่า” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “รบกวนท่านผู้เฒ่าหลีกทางให้พวกเราหนีออกไป มิเช่นนั้น…ข้าคงทำได้แค่จัดการฆ่าเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ตายลงหลุมไปพร้อมกับพวกข้าเสีย ใครใช้ให้เขาเป็นต้นเหตุเรื่องทุกอย่างกันเล่า”
คนชุดดำยิ้มเย้ยกล่าว “ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน”
มู่ชิงอีถอนหายใจเอ่ย “ถึงอย่างไรข้าดูแล้วโอกาสที่พวกเราจะหนีรอดไปได้ก็มีไม่มาก สู้ฆ่าทิ้งก่อนค่อยว่ากันดีกว่า เจ้าสำนักมั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าคงทำได้แค่ขอโทษท่านด้วย แต่ก็เพราะพวกเราพลอยติดร่างแหไปกับท่าน ดังนั้นก็ถือว่าเราสองคนไม่ได้ติดค้างอะไรกันแล้ว”
“รอเดี๋ยว!” คนชุดดำกล่าวพลางขมวดคิ้ว หญ้าเซียนเก้าเมฆาเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่โต หากมั่วเวิ่นฉิงตายเป็นเรื่องเล็ก แต่หากคว้าหญ้าเซียนเก้าเมฆามาไม่ได้สิเป็นปัญหาใหญ่ “นังหนู เจ้าไม่ต้องมาเล่นลูกไม้แพรวพราว หากพวกข้าไม่ได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาไปก็ต้องตายเหมือนกัน ดังนั้นนอกเสียจากเจ้าจะฆ่าคนตรงนี้ให้ตายทั้งหมด มิเช่นนั้นพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “หากกล่าวเช่นนี้ก็ต้องตายกันหมดมิใช่หรือ แล้วจะมีเรื่องใดให้ต้องพูดอีก จัดการฆ่าเจ้าสำนักมั่วเสียเถิด”
“ช้าก่อน” คนชุดดำข่มอารมณ์โกรธไว้ “แม่นางทำเช่นนี้ สู้พูดโน้มน้าวให้เจ้าสำนักมั่วเอาหญ้าเซียนเก้าเมฆาออกมาดีกว่า ข้าสัญญาว่าขอแค่ได้หญ้าเซียนเก้าเมฆามา ข้ารับปากว่าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าทั้งสามคนเลย”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คำสัญญาของคนที่ไม่แม้แต่จะกล้าถอดหน้ากากเปิดเผยใบหน้าแบบนี้ เชื่อถือได้หรือ”
“เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”