หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 294 ลูกน้องทรงอิทธิพลเริ่มโค่นล้มเจ้านาย (1)
ครั้นเห็นเหมยเหนียงปิดปากลอบหัวเราะ มู่ชิงอีก็เอ่ยอย่างระอาใจว่า “เหมยเหนียง ตลอดสองปีมานี้ทางแคว้นเย่ว์เป็นเช่นไรบ้างหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหมยเหนียงอันตรธานหายไปแล้วถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “พูดตามตรง…หากคุณชายยังไม่มาล่ะก็…เกรงว่าข้าเองก็คงคุมไม่ไหวแล้ว”
“รุนแรงขนาดนั้นเชียวหรือ” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย
ดวงตาสองข้างของเหมยเหนียงแดงก่ำเอ่ยขึ้นว่า “ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนก็ไม่มีเจ้านายคนใดมาที่ซีหลิงอีกเลย แม้แต่สองปีที่ผ่านมาผู้ดูแลเฝิงเองก็เพิ่งมาแค่ครั้งเดียวเพราะภารกิจในแคว้นหวาที่รัดตัวแน่น คุณชายเองก็รู้คำโบราณที่ว่า มนุษย์ตายเพราะความโลภในเงินทอง ส่วนปักษาตายเพราะโลภในอาหาร ในเมื่อมีเงินตรามากมายอยู่ในกำมือขนาดนั้น ใครจะไม่หวั่นไหวบ้างเล่า แรกเริ่มคนพวกนี้ยังไม่ใจกล้ามากนัก แต่พอนานวันเข้าเห็นว่าไม่มีใครมาสอดส่องตรวจสอบ ความใจกล้าของคนพวกนี้ก็ยิ่งมากขึ้น ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีคนไม่น้อยเอากิจการเหล่านี้ไปเป็นของตระกูลตัวเองแล้วด้วยซ้ำ อีกทั้งเวลานี้การช่วงชิงบัลลังก์ขององค์ชายในเมืองหลวงก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลให้เบี้ยหวัดตำลึงที่ใครต่างปรารถนาก็ยิ่งทะลักเข้ามาเป็นมหาศาล ตอนนี้หลายกิจการของเราที่ทำเงินได้ล้วนถูกจับตามองทั้งสิ้น”
“ลำบากเจ้าแล้ว” มู่ชิงอีมองใบหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อยของเหมยเหนียงแล้วเอ่ยพลางถอนหายใจเสียงเบา
เหมยเหนียงเอ่ยน้ำตาคลอเบ้า “คุณชายพูดอันใดกัน ตระกูลกู้มีบุญคุณกับข้าล้นฟ้า สิ่งที่เหมยเหนียงทำไปทุกอย่างล้วนเพราะหน้าที่ทั้งนั้น เพียงแต่เหมยเหนียงไร้ความสามารถเลยคุมกิจการของตระกูลกู้ไม่อยู่”
มู่ชิงอีเอ่ยปลอบใจ “วันหลังเรื่องพวกนี้มอบให้ข้าเป็นคนจัดการเถิด เจ้าไปป่าวประกาศว่าสองวันหลังจากนี้ให้ผู้ดูแลทุกคนมาเจอข้าที่จวนตระกูลกู้ หากถึงเวลานั้นแล้วยังไม่มา ข้าก็จะไม่เห็นว่าเขาเป็นคนของตระกูลกู้อีกต่อไปเช่นกัน”
ครั้นเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ของมู่ชิงอี หว่างคิ้วของเหมยเหนียงก็คลายลง รีบพยักหน้ากล่าว “เจ้าค่ะ เหมยเหนียงจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากเห็นเหมยเหนียงออกไปแล้ว มู่ชิงอีถึงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ถึงแม้ข้าจะสังหรณ์ใจอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ในแคว้นเย่ว์จะย่ำแย่กว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เสียอีก” มู่ชิงอีเหลือบมองอู๋ซินที่ยืนอยู่อีกฝั่งทำท่าอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดแวบหนึ่งพลันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องใดก็ว่ามาตรงๆ เถิด”
หลังจากทำความรู้จักกันมาหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังคอยติดตามคุ้มกันมาตลอดการเดินทางจากแคว้นหวาจนถึงแคว้นเย่ว์ อู๋ซินย่อมเข้าใจดีว่าคุณหนูค่อยๆ เห็นตนเป็นคนของนางแล้ว อู๋ซินลังเลใจครู่หนึ่งถึงเอ่ย “คุณชาย…ท่านลืมไปแล้วหรือ ท่านรับปากกับองค์ชายเก้าไว้ว่าทันทีที่มาถึงเมืองหลวงจะไปหาเขา”
“…” มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เพิ่งมาถึงเมืองหลวง ทุกคนเองก็วุ่นๆ…วันหลังก็แล้วกัน”
ณ จวนอวี้อ๋ององค์ชายเก้าในเมืองหลวง องค์ชายเก้าที่เพิ่งย้ายออกจากวังมาแสดงท่าทีไม่ชอบใจนัก เขาเดินวนเวียนอยู่ในห้องหนังสือไม่หยุด “เหตุใดชิงชิงถึงไม่มาหาข้าเล่า ทั้งๆ ที่ชิงชิงมาถึงเมืองหลวงแล้ว…ชิงชิงขี้โกหก…แม้แต่จวนที่พักข้าเองก็จัดแจงเตรียมแทนนางไว้หมดแล้ว”
อู๋ฉิงที่กำลังยืนแสร้งเป็นภาพวาดแขวนบนผนังอยู่อีกฝั่งมององค์ชายของตนที่บ่นพึมพำพลางเดินวนไปวนมาในห้องหนังสือและปรารถนาอยากจะเจาะรูพื้นในห้องหนังสือเต็มทีอย่างเงียบๆ ก็อดไม่ไหวกระแอมไอเสียงเบาเอ่ย “องค์ชาย คุณหนูมู่เพิ่งมาถึงแคว้นเย่ว์…คุณหนูย่อมต้องการเวลาเตรียมตัวบ้าง หากตอนนี้องค์ชายโผล่ไปหานาง นางต้องไม่ชอบใจแน่ๆ”
ทำเอาองค์ชายเก้าที่คิดจะสาวเท้าก้าวเดินออกไป ต้องรีบเก็บกลับอย่างเก้ๆ กังๆ ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายเก้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน “เหตุใดนางถึงจะไม่ชอบใจ”
อู๋ฉิงลอบกลอกตาในใจแล้วเอ่ย “องค์ชาย…คุณหนูมู่มาแคว้นเย่ว์มิใช่เพื่อพึ่งพาท่าน ถึงอิทธิพลเรื่องเงินทองของตระกูลกู้จะไม่ถึงขั้นเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แต่…แค่กๆ ย่อมมีมากกว่าองค์ชายแน่นอน บัดนี้กิจการของตระกูลกู้ล้วนเป็นหน้าที่ของคุณหนูที่ต้องจัดการดูแล เช่นนั้น…คุณหนูมู่จะไม่ต้องการเวลาจัดการเรื่องกิจการของตระกูลกู้เลยหรือ”
ในที่สุดหรงจิ่นก็เลิกทารุณพื้นกระดานในห้องหนังสือแล้วหมุนตัวเดินไปทางโต๊ะหนังสือ ทว่าจู่ๆ ชั่ววินาทีนั้นก็หมุนตัวกลับมาพลันขยับแขนเสื้อข้างขวาปล่อยแรงแหวกกลางอากาศไป ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงกระอักดังแว่วมาพร้อมเสียงสิ่งของหนักร่วงตกลงพื้น ขณะเดียวกันอู๋ฉิงก็กระโจนออกไปอย่างรวดเร็วแล้วคุมตัวบุรุษที่แต่งกายเหมือนลูกน้องคนหนึ่งซึ่งล้มตัวนอนอยู่ก่อนลากเขาเข้ามาในห้องหนังสือ
หรงจิ่นนั่งลงใต้แสงไฟพลางจับจ้องบุรุษที่แสร้งทำทีตื่นตระหนกตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ยถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“เปล่า…กระหม่อมอยากเข้าห้องน้ำ ปวดท้องกลางดึก เดินผ่าน…เดินผ่านทางนี้ จู่ๆ ก็ถูก… ”
“พูดตามความจริงคงไม่ยากกระมัง” มุมปากของหรงจิ่นยกยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วใช้นิ้วมือเย็นเฉียบไปวางไว้บนคอของบุรุษผู้นั้น
“ปวดท้อง…กระหม่อมปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำจริงๆ องค์ชายโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด…กระหม่อมพูดความจริง…จริงๆ” บุรุษผู้นั้นร้องโหยหวนอ้อนวอนขอชีวิต ทว่าฉับพลันแววตาก็เปลี่ยนไปแล้วชักมีดสั้นวาววับสีน้ำเงินออกมาจากแขนเสื้อแทงไปที่หรงจิ่น ทว่าอู๋ฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับทำตัวแน่นิ่งเหมือนมองไม่เห็น
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างโมโห จากนั้นข้อมือข้างที่บุรุษผู้นั้นกุมมีดสั้นไว้ในมือก็ห้อยโตงเตงผิดรูป มีดสั้นหล่นลงพื้นเสียงดัง พลั่ก บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างหวาดกลัว “เจ้า…เจ้าเป็นวิทยายุทธด้วยหรือ!”
“ดีกว่าเจ้ามาก” หรงจิ่นยิ้มเย็นชากล่าว ราวกับสิบนิ้วเรียวยาวแค่ปัดผ่านแขนของบุรุษผู้นั้นตามอำเภอใจเท่านั้นแต่ไม่เห็นนิ้วมือของเขาใช้แรงแต่อย่างใด ทว่าได้ยินเพียงเสียง แกร๊กๆ ดังขึ้น จากนั้นบุรุษผู้นั้นก็ล้มนอนลงบนพื้นแล้วเริ่มกรีดร้องโหยหวน
อู๋ฉิงที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าเรียบตึง แววตาที่จับจ้องบุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยความเห็นใจ องค์ชายใช้กำลังภายในหักกระดูกแขนทุกข้อต่อของเขา จากแขนที่เคยแข็งแรงกำยำในเดิมทีก็อ่อนยวบราวกับบะหมี่เส้นหนึ่งก็มิปาน อาการบาดเจ็บเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เทพเซียนโผล่มาก็คงจนปัญญาจะรักษาได้
หรงจิ่นกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าแววตายังคงจดจ้องที่ร่างของบุรุษบนพื้นเช่นเคย “ใครส่งเจ้ามา หากพูดออกมา…ข้าจะไม่ทรมานเจ้ามากนัก”
“ไม่…ไม่มี” บุรุษร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดแต่ยังคงยืนยันคำเดิม
“ดีมาก” ใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นผุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา แม้แต่เสียงเองก็ดูมีความสุขไม่น้อย “อู๋ฉิง ตัดลิ้นมัน…เอาตัวไปมัดไว้บนต้นไม้ใหญ่ด้านนอกแล้วฟาดมันเสีย!”
“องค์ชายจะให้ฟาดเท่าใดหรือ” อู๋ฉิงถาม
“ฟาดจนกว่าจะตาย แต่หากน้อยกว่าพันครั้ง ส่วนที่เหลือเจ้าก็โดนฟาดแทนเขาแล้วกัน” หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
อู๋ฉิงแอบใจหายวาบ แส้ที่องค์ชายใช้ลงโทษ ลำพังแค่ใช้แรงนิดเดียวฟาดสิบทีก็เอาถึงตายแล้ว หากไม่ต่ำกว่าพันครั้ง องค์ชายคิดจะฟาดเขาจนเละเป็นน้ำเต้าอาบเลือดเลยหรือ ไม่สิ ฟาดจนกลายเป็นกองเลือดมากกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้แส้นั้นมาโดนร่างตน อู๋ฉิงเลยตัดสินใจเป็นคนจัดการเองจะดีกว่า ในฐานะที่เป็นองครักษ์ติดตามคนสำคัญผ่านเกณฑ์คนหนึ่งย่อมไม่ใช่มีดีแค่วิทยายุทธอย่างเดียวเท่านั้นอยู่แล้ว
หลังจากเห็นอู๋ฉิงเผยสีหน้าหดหู่หิ้วปีกสายลับผู้โชคร้ายออกไปแล้ว ไม่นานก็ได้ยินเสียงแส้ฟาด เปรี๊ยะๆ ดังแว่วมาจากด้านนอก หรงจิ่นยิ้มเย็นชาเอนกายลงบนเก้าอี้พลางปิดตาพักผ่อนอย่างผ่อนคลาย เขาเพิ่งย้ายเข้ามาก็วางตัวสายลับป้วนเปี้ยนรอบตัวเขาแล้ว คิดว่าเขาตาบอดไปแล้วหรืออย่างไรกัน
เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างรำคาญใจ พอไม่เจอชิงชิง…ช่างชวนให้หงุดหงิดเหลือเกิน
เช้าตรู่วันต่อมาทั้งนอกและในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ต่างแพร่สะพัดข่าวอันน่ากลัวว่าเมื่อคืนจู่ๆ องค์ชายเก้าก็โมโหคลุ้มคลั่งใช้แส้ฟาดลูกน้องตัวเป็นๆ คนหนึ่งจนตาย ได้ยินว่าตอนที่ถูกยกตัวออกมาจากจวนองค์ชายเก้าแทบมองไม่เห็นว่าเป็นคนแต่กลับเห็นแค่ก้อนเนื้อจมกองเลือดเท่านั้น กระทั่งพลอยทำให้คนที่เผลอเห็นเข้าต่างตกใจเป็นลมไปตามๆ กัน