หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 333 ปกครองเมืองเทียนเชวีย (2)
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมองหรงจิ่นแล้วยิ้มพลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ครั้งนี้กลับมาสีหน้าดูไม่เลวเลย แม่นางผู้นี้คือ?”
หรงจิ่นดึงมือของมู่ชิงอีเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นางคือชิงชิง ภรรยาของข้าเอง”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นอดผงะไปไม่ได้ หรงจิ่นก้มหน้ามองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ชิงชิง นี่เป็นท่านน้าของข้าเอง เหมยมู่เฉิน เจ้าเรียกว่าท่านน้าก็พอแล้ว”
มู่ชิงอีเหลือบมองหรงจิ่นแวบหนึ่งอย่างหมดคำพูดแล้วพยักหน้าให้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “ท่านเหมย”
ในที่สุดบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็กวาดตาสำรวจมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีตกตะลึง ผ่านไปนานถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “แม่นางมารยาทช่างงามนัก แม่นางเพิ่งมาเมืองเทียนเชวียครั้งแรก หากขาดเหลืออะไรก็ขอให้เปิดปากบอกมาได้เลย”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ขอบคุณท่านเหมยเจ้าค่ะ”
หรงจิ่นมองพวกเขาทั้งสองสนทนากันอย่างมีความสุขก็ยู่ปากโบกมือสื่อว่าให้คนอื่นๆ ออกไปได้แล้ว ทุกคนในห้องย่อมอยากออกไปนานแล้ว ทันทีที่เห็นหรงจิ่นส่งสัญญาณมา พวกเขาก็แทบพุ่งพรวดออกนอกพระตำหนักไปอย่างรวดเร็วราวกับแทบทนไม่ไหว พอเห็นเช่นนั้นแววตาของเหมยมู่เฉินก็ทอประกายรอยยิ้ม “ถึงแม้จิ่นเอ๋อร์จะไม่ได้กลับมาเมืองเทียนเชวียนานแล้ว แต่ความน่ากลัวกลับยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ท่านน้ามาได้อย่างไรกัน นั่งลงคุยกันก่อนดีกว่า” ถึงแม้ตระกูลเหมยจะเป็นญาติทางฝั่งแม่ แต่ภายในเมืองเทียนเชวียมีเพียงเจ้าเมืองเท่านั้นที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นต่อให้หรงจิ่นไม่อยู่ในเมืองบ่อยๆ แต่เรื่องภายในเมืองกลับมอบหมายให้เทียนซูและเทียนเฉวียนที่ตำแหน่งใหญ่รองลงมาจากเจ้าเมืองจัดการ อีกอย่างถึงแม้จวนเจ้าเมืองจะใหญ่โตมโหฬาร แต่คนที่อยู่ที่นี่มีเพียงหรงจิ่นคนเดียวเท่านั้น ปกติยามที่หรงจิ่นไม่อยู่ก็จะปล่อยว่างไว้ตลอด เหมยมู่เฉินมาเร็วขนาดนี้ต้องเป็นเพราะได้ยินว่าหรงจิ่นกลับมาเลยรีบตรงมาหาถึงที่นี่แน่นอน
เหมยมู่เฉินมองหรงจิ่นด้วยสายตาอ่อนโยนเอ่ย “เจ้าออกไปทีก็ออกไปหลายเดือน ไม่รู้ว่าสุขภาพจะเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตาของเจ้าก็เป็นห่วงจะแย่เลยให้ข้าล่วงหน้ามาก่อน”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ทำให้ท่านตาเป็นห่วงแล้ว ข้าสบายดี”
เหมยมู่เฉินพยักหน้าเอ่ย “ดูสีหน้าดีกว่าครั้งก่อนมากนัก เดี๋ยวจัดการทุกอย่างลงตัวแล้วก็ไปนั่งเล่นให้ท่านตาเห็นหน้าค่าตาที่จวนตระกูลเหมยหน่อยแล้วกัน คนแก่จะได้สบายใจขึ้นบ้าง”
หรงจิ่นเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรแต่หันไปมองมู่ชิงอีที่อยู่ข้างกาย มู่ชิงอีมองกลับด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอย่างไรอีก หรงจิ่นเงียบไปสักพักถึงพยักหน้ากล่าว “ท่านน้าพูดถูก ข้าควรพาชิงชิงไปให้ท่านตากับท่านยายเห็นหน้าสักหน่อย”
เหมยมู่เฉินส่ายศีรษะอย่างจนใจเอ่ย “เจ้าก็นะ…แม่นางผู้นี้เป็นใครมาจากไหน เจ้าจะบอกดีๆ ไม่ได้เลยหรือ” หรงจิ่นสนิทสนมกับนางย่อมเรียกว่าชิงชิงได้อยู่แล้ว แต่แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นแค่ชื่อเล่น น้าอย่างเขาคงไม่เหมาะเรียกชื่อเล่นแม่นางหรอกกระมัง
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ชิงชิงสกุลมู่ มู่ชิงอี”
“ชิงอีหรือ ชื่อดีใช้ได้เลย” เหมยมู่เฉินพยักหน้าเอ่ย เขามองคนรูปงามทั้งสองจูงมือกัน จากนั้นก็ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าท่านตากับท่านยายคิดจะจับคู่ให้เจ้ากับยัยหนูอิ้งเสวี่ย...” ตนย่อมเข้าใจบุตรสาวของตนเองดี เหมยมู่เฉินคิดว่าอิ้งเสวี่ยกับหรงจิ่นไม่เหมาะสมกันเลย เพียงแต่ท่านพ่อกับท่านแม่กลับดึงดันคิดว่าพวกเขาสองพี่น้องเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ตอนนี้จิ่นเอ๋อร์พาสาวกลับมาด้วยเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
“ท่านน้าหมายถึงเหยากวง” พอเห็นแววตาฉงนใจของมู่ชิงอี หรงจิ่นก็เอ่ยอธิบายเสียงเบา เหยากวงเป็นชื่อของกลุ่มดาวหมีใหญ่ย่อมไม่ใช่นามที่แท้จริงอยู่แล้ว เหยากวงก็คือลูกพี่ลูกน้องหญิงของหรงจิ่น สกุลเหมย นามว่าอิ้งเสวี่ย
มู่ชิงอีพยักหน้าสื่อว่านางเข้าใจแล้ว
เหมยมู่เฉินอยู่แค่ไม่นานก็ลุกขึ้นยืนกล่าว “พวกเจ้าเพิ่งกลับมา ธุระคงเยอะมากมาย ข้าไม่อยู่ต่อนานดีกว่า เดี๋ยวถ้ามีเวลาก็กลับไปเยี่ยมเยียนที่จวนสกุลเหมยสักหน่อยก็แล้วกัน”
หรงจิ่นเองก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ เพียงแต่ดึงมู่ชิงอีขึ้นส่งเขาพร้อมกัน “ท่านน้ากลับดีๆ”
หลังจากส่งเหมยมู่เฉินกลับแล้ว หรงจิ่นก็หันมาเผชิญใบหน้าที่กำลังขบคิดบางอย่างของมู่ชิงอี จากนั้นก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ “ชิงชิงมีเรื่องอันใดอยากถามหรือไม่”
มู่ชิงอีเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับคนของตระกูลเหมย…ไม่ค่อยดีหรือ” มู่ชิงอีไตร่ตรองการใช้คำ เดิมทีนึกว่าในเมื่อตระกูลเหมยอยู่ในเมืองเทียนเชวีย เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างหรงจิ่นกับตระกูลเหมยก็คงสนิทกันมากถึงจะถูก แต่ตอนนี้ดูทรงแล้วนางจะคิดถูก ไม่เชิงว่าความสัมพันธ์ไม่ดีเสียทีเดียว อย่างน้อยนางก็มองออกว่าหรงจิ่นให้ความเคารพท่านน้าอย่างเหมยมู่เฉินผู้นี้มากจริงๆ เพียงแต่ยามเอ่ยถึงตระกูลเหมยแล้วกลับดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไร
หรงจิ่นเอ่ยยิ้มๆ “จะว่าไม่ดีเลยก็ไม่ใช่ เสด็จแม่ตายในวังโดยไม่รู้สาเหตุ อีกทั้งตอนนั้นตระกูลเหมยเองก็ตายไปหลายคน ดังนั้นท่านตาเลยไม่ชอบขี้หน้าคนตระกูลหรงสักเท่าไร อีกอย่าง…น่าจะรู้สึกว่าตระกูลหรงติดค้างตระกูลเหมยเลยมักคิดว่าข้าควรเชื่อฟังพวกเขาก็เท่านั้น”
น้ำเสียงกลับเบาบางแฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจ มู่ชิงอีเข้าใจหรงจิ่นเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยของเขาแล้วต่อให้ตระกูลหรงติดค้างตระกูลเหมยจริง แต่หรงจิ่นไม่มีทางชดใช้ความผิดแทนเสด็จพ่อแน่นอน หากตระกูลเหมยปฏิบัติดั่งญาติจากใจจริงก็ดีไป แต่หากแฝงความคิดที่ไม่ควรมี เกรงว่าหรงจิ่นคงสลัดวงศ์ญาติเหล่านี้ทิ้งโดยไม่ต้องคิดใคร่ครวญอะไรเลยทั้งนั้น
“เหตุใดตระกูลเหมยถึงมาอยู่ในเมืองเทียนเชวียได้เพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างประหลาดใจ ดูท่าทางเวลาที่ตระกูลเหมยอยู่ที่นี่จะนานกว่าช่วงเวลาที่หรงจิ่นมารับช่วงต่อปกครองเมืองเทียนเชวียเสียอีก
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เดิมทีตระกูลเหมยเป็นคนเทียนเชวีย เพียงแต่ต่อมาทนความเหงาไม่ไหวเลยออกไปจากเมืองเทียนเชวีย ถึงแม้ลูกหลานของตระกูลเหมยจะไม่รู้ แต่ผู้นำตระกูลแต่ละรุ่นจะยังจำทางกลับเมืองเทียนเชวียได้ หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลเหมยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านตาเลยพาท่านน้ากลับมาเมืองเทียนเชวีย”
“แล้วท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไรกัน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงจิ่นอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ นานๆ ทีจะเห็นบนใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดให้เห็น แต่ก็ทำได้แค่ลูบจมูกปอยๆ ภายใต้แววตาใคร่รู้ของมู่ชิงอี “ตอนนั้นข้าถูกผู้เฒ่าโยนทิ้งราวกับศพ แต่ดันโยนทิ้งลงมาบนจวนเจ้าเมืองพอดี”
มู่ชิงอีอดตกตะลึงแล้วเงยหน้ามองออกไปนอกประตูไม่ได้ จากนั้นก็นึกถึงหน้าผาสูงเสียดฟ้ามองไม่เห็นยอดด้านหลังจวนเจ้าเมือง “เหตุใดท่านไม่ตกลงมาตายเล่า”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาเอ่ย “เพราะข้าตกลงมาบนร่างของคนใกล้ตายคนหนึ่ง”
แม้แต่คนสุขุมแน่นิ่งอย่างมู่ชิงอียังอดตะลึงงันกับประสบการณ์อันโชกโชนของหรงจิ่นไม่ได้ พอได้รับแววตาสนใจจากชิงชิง ฉับพลันความไม่พอใจในเดิมทีของหรงจิ่นก็มลายหายไปทันที จากนั้นก็ถอนหายใจเอ่ย “ตอนที่ข้าถูกโยนลงมาดันกระแทกกับอดีตเจ้าเมืองคนก่อนที่ใกล้ตายแล้วพอดี เขาคิดว่าข้าตกลงมาจากหน้าผาที่สูงชันขนาดนั้นแต่ยังรอดมาได้ทั้งๆ ที่แผลเหวอะหวะเต็มตัว เขาเลยช่วยข้าไว้ จากนั้นก็ยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้แก่ข้า”
หากเรื่องนี้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ หรงจิ่นคงกลายเป็นผู้ละทางโลกที่มารับช่วงต่อปกครองเมืองเทียนเชวียคนใหม่ แต่ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสองชันษา แถมภายในใจมืดมนกว่าคนทั่วไปหลายเท่า หรงจิ่นที่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนกลับไม่มีความคิดอยากเป็นผู้ละทางโลกอะไรนั่นเลยสักนิด ในเมื่อเขามีชีวิตรอดมาได้ หากเขาไม่ได้เห็นคนที่สร้างความทุกข์ทรมานให้เขาถูกแก้แค้น เขาคงรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตเสียเปล่า