หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 339 ความสัมพันธ์เย็นชาระหว่างตายายกับหลาน (4)
ต่อมาก็เกิดเสียง เคร้ง! ดังขึ้น มีดสั้นแฉลบผ่านข้างใบหน้าของเหมยอิ้งเสวี่ยไป เมื่อสองวันก่อนเพิ่งมีรอยแผลเลือดซึมปรากฏบนลำคอของเหมยอิ้งเสวี่ย ทว่าวันนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกแผล แต่ครั้งนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ใบหน้าที่เคยสะอาดหมดจดในเดิมทีก็ย้อมไปด้วยเลือด เห็นแล้วน่าสยดสยองไม่น้อย
“หน้าของข้า…” หลังจากเพิ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด เหมยอิ้งเสวี่ยก็ตื่นตระหนกพลันนึกถึงใบหน้าของตัวเองขึ้นมาได้ จากนั้นก็ยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม เพราะนางเสียโฉมแล้ว
“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรของเจ้า” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าทั้งตกใจทั้งโมโหร้องแหวเสียงสูงใส่ทันที
หรงจิ่นมองนางด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งแต่กลับไม่ได้ตอบกลับอะไร ในทางกลับกันเขารีบหมุนตัวเดินไปตรงหน้าของมู่ชิงอี หลังจากสำรวจรอบหนึ่งจนแน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บถึงถอนหายใจเสียงเบา “ชิงชิง เจ้าตกใจหรือไม่”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ท่านเจ้าเมืองคิดว่ามู่ชิงอีขี้ขลาดเหมือนนกกระจอกหรืออย่างไร” ในเมื่อมีอู๋ซินอยู่ ลำพังแค่วิทยายุทธกระจอกๆ ของเหมยอิ้งเสวี่ยจะทำอะไรนางได้เล่า
“แต่ข้าตกอกตกใจหมด” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง แววตาที่กวาดมองเหมยอิ้งเสวี่ยก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม
ครั้นสัมผัสได้ถึงแววตาของหรงจิ่น เหมยอิ้งเสวี่ยก็อดใจหายวาบไม่ได้ จากนั้นก็กุมใบหน้าที่เลือดสดไหลอาบพลางกัดฟันแน่นไม่กล้าพูดอะไรอีก
หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหลักก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจตนาฆ่านายหญิงของเมืองควรได้รับโทษอย่างไร”
“ท่านเจ้าเมือง!” ทุกคนด้านข้างยังไม่ทันพูดอะไร เทียนเฉวียนที่สีหน้าซีดเผือดก็คุกเข่าลงพื้นเสียงดัง พลั่ก “ท่านเจ้าเมืองโปรดเมตตาด้วย”
เมื่อเทียนซูและเทียนเสวียนที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาทำเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องอาภัพเสียจริง เทียนเฉวียนรู้สึกผูกพันกับเหมยอิ้งเสวี่ยอย่างลึกซึ้ง แต่ภายในใจของเหมยอิ้งเสวี่ยดันมีแต่ท่านเจ้าเมือง เมื่อก่อนท่านเจ้าเมืองไม่สนใจนางอยู่แล้ว พอบัดนี้ยิ่งมีแม่นางมู่เข้ามาก็ยิ่งไม่เห็นเหมยอิ้งเสวี่ยในสายตาเข้าไปใหญ่
คงโทษเทียนเฉวียนคงไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีท่านเจ้าเมืองโผล่มาก็นับว่าพวกเขาสองคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เดิมทีคนทั่วทั้งเมืองเทียนเชวียต่างชื่นชมว่าพวกเขาเหมาะสมกัน แต่พอวันหนึ่งมีท่านเจ้าเมืองอายุสิบสองปีตกลงมาจากฟ้า แถมหลายปีต่อมาหลังจากนั้นยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนน่าทึ่ง แม้บัดนี้เทียนเฉวียนจะหน้าตาหล่อเหลา แต่เขาจะสู้ท่านเจ้าเมืองที่ใบหน้างดงามเหนือใครในใต้หล้า บุคลิกสุขุมเย็นชา อีกทั้งสถานะสูงส่งไร้ใครเทียมได้เช่นไร
“เทียนเฉวียน ข้าถามเจ้าว่าหากมีเจตนาฆ่านายหญิงของเมืองควรได้รับโทษอย่างไร” หรงจิ่นขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงขรึม
เทียนเฉวียนเค้นคำพูดไม่กี่คำออกมาได้อย่างยากลำบาก “ต้องโทษ…ประหาร”
มนุษย์เราย่อมมีความลำเอียง ต่อให้เป็นคนชาญฉลาดอย่างเทียนเฉวียนก็ไม่ต่างกัน เขาหลงรักเหมยอิ้งเสวี่ยมาตั้งหลายปีย่อมไม่มีทางเห็นมู่ชิงอีที่เพิ่งโผล่มากะทันหันสำคัญไปกว่าเหมยอิ้งเสวี่ยอยู่แล้ว หากคนอื่นทั่วไปกล้าล่วงเกินมู่ชิงอีที่เป็นถึงว่าที่นายหญิงแห่งเมือง เขาคงชักดาบสังหารคนผู้นั้นโดยไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น แต่พอเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนที่ตนต้องตาถูกใจ ลำพังแค่ปริปากพูดออกมายังรู้สึกยากลำบากเหลือเกิน
“พอแล้ว จิ่นเอ๋อร์ อิ้งเสวี่ยเป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของเจ้านะ” ในที่สุดเหมยฮูหยินผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก
หรงจิ่นหันไปมองเหมยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าราบเรียบ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ทุกคนต้องได้รับบทลงโทษอย่างเท่าเทียม ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงอีกต่างหาก”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าจะฆ่าน้องสาวของตัวเองเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวจริงๆ หรือ อิ้งเสวี่ยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านน้าของเจ้า แถมเป็นลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเจ้าด้วย”
หรงจิ่นยิ่งไม่เห็นด้วยเข้าไปใหญ่ ก็แค่ลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น ในวังหลวงแคว้นเย่ว์ยังมีสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ ของเขาเป็นกลุ่มเป็นก้อน เขาคิดอยากจะด่าก็ด่าไม่ได้หรืออย่างไร ในเมื่อสตรีคนนี้กล้าทำร้ายชิงชิงของเขา
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าที่สั่งสอนหรงจิ่นโดยอ้างแต่เหตุผลไม่สังเกตเลยสักนิด แต่เทียนเฉวียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับสัมผัสไอสังหารที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างชัดเจนดี จากนั้นเขาก็ทำได้แค่เลื่อนสายตาอ้อนวอนไปทางมู่ชิงอีที่อยู่ข้างกายหรงจิ่นแทน
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย หรงจิ่นดีต่อนางนางย่อมดีใจอยู่แล้ว แต่ด้วยอารมณ์นิสัยของหรงจิ่นช่างไม่ได้ความเสียจริง นางยกมือขึ้นกดหรงจิ่นที่หมายจะลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหลงเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เรื่องนี้หม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
หรงจิ่นไม่พอใจ เพราะเขาอยากฆ่าเหมยอิ้งเสวี่ยให้ตายด้วยมือตัวเอง!
“อย่าลืมสิว่านางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเหมย” มู่ชิงอีเอ่ยเตือนเสียงเบา ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหมยกับหรงจิ่นไม่ค่อยดีนัก ไม่ใช่แค่อารมณ์ฉุนเฉียวของหรงจิ่นสร้างความไม่พอใจให้พวกเขาเท่านั้น เพราะไม่ว่าใครก็ไม่ชอบหรงจิ่นกันทั้งสิ้น คนในตระกูลเหมยที่ตายตอนนั้นไม่น้อยไปกว่าตระกูลกู้เมื่อสี่ปีก่อนเลย
เดิมทีผู้เฒ่าตระกูลเหมยมีบุตรชายสามคนและบุตรสาวสองคน ยามเกิดเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนบุตรชายสองคนและบุตรสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง รวมถึงหลานๆ และเครือญาติของตระกูลเหมยต่างตายจนเกลี้ยง คนที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้มีเพียงผู้เฒ่าตระกูลเหมยและคุณชายรองที่กลับบ้านมาเป็นเพื่อนเหมยฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งก็คือสองพ่อลูกเหมยมู่เฉินและเหมยอิ้งเสวี่ยในวัยทารกแบเบาะนั่นเอง ต่อให้ตระกูลเหมยไม่สลักความแค้นครั้งใหญ่นี้ไว้บนตัวหรงจิ่น เกรงว่าภายในใจก็คงยังมีปมแค้นอยู่
พอเอ่ยถึงเหมยมู่เฉิน หรงจิ่นก็ชั่งใจครู่หนึ่งซึ่งนานๆ จะเห็นที คนนิสัยเย็นชาโหดเหี้ยมอย่างเขาถือว่าในโลกนี้มีน้อยนัก ไม่ว่าจะเสด็จพ่อหรือพี่น้อง กระทั่งมารดาที่ตายไปนานแล้วกลับไม่มีใครที่ถูกเขาเก็บมาใส่ใจเลยสักคน แต่น้าอย่างเหมยมู่เฉินผู้นี้กลับเป็นที่เคารพรักของเขาอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะเหมยมู่เฉินเป็นเพียงคนเดียวที่ทำดีกับเขาโดยไม่ได้แฝงจุดประสงค์บางอย่าง เพียงแต่เห็นเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของน้องสาวตัวเองอย่างแท้จริงก็เท่านั้น
ครั้นเห็นหรงจิ่นไม่คัดค้านอะไร มู่ชิงอีถึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็มองเหมยอิ้งเสวี่ยที่นั่งอยู่บนพื้นตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถอดเหมยอิ้งเสวี่ยออกจากตำแหน่งเหยากวง อีกอย่าง…ลงโทษให้นางเป็นสาวใช้ดูแลเทียนเฉวียนสามเดือนเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เทียนเฉวียนอ้อนวอนขอชีวิตแทนนาง เป็นอย่างไรเล่า”
“อะไรนะ ให้ข้าเป็นสาวใช้!?” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“แม่นางมู่ ไม่ต้อง…” เทียนเฉวียนรีบเอ่ยขึ้น
มู่ชิงอีกวาดสายตาเรียบนิ่งมองเขาแวบหนึ่งเอ่ย “ข้าไม่ได้กำลังปรึกษาเจ้า แต่นี่คือคำสั่ง หรือว่าเทียนเฉวียนชอบใจหากข้าสั่งลงโทษให้นางไปกวาดถนนเป็นเวลาสามเดือนมากกว่าอย่างนั้นหรือ”
เทียนเฉวียนพูดไม่ออก เพราะเขารู้ว่าเหมยอิ้งเสวี่ยรักศักดิ์ศรี หากถูกลงโทษให้เป็นสาวใช้กวาดถนนแบบนั้นคงเป็นเรื่องที่นางรับได้ยากกว่ามาเป็นสาวใช้ของตน เพราะอย่างน้อยอยู่ข้างกายตนก็ยังพอดูแลได้บ้าง หากถูกลงโทษให้ไปกวาดถนนจริงๆ เหมยอิ้งเสวี่ยต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“เหลวไหล! อิ้งเสวี่ยเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหมยแล้วจะไปเป็นสาวใช้ได้อย่างไร” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
“น่ารำคาญนัก!” หรงจิ่นสีหน้าเปลี่ยนแล้วตวาดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียนซู…เจ้าพาตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปฆ่าทิ้งเสีย!”
“ท่านเจ้าเมืองโปรดใจเย็นก่อน” พวกเทียนซูรีบเอ่ย จากนั้นเทียนเฉวียนก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “น้อมรับคำบัญชา ภายในสามเดือนนี้ข้าจะสั่งสอนอิ้งเสวี่ยเป็นอย่างดีและอบรมให้นาง…เป็นสาวใช้ได้มาตรฐานคนหนึ่ง ขอบคุณในความเมตตาของแม่นางมู่ด้วย”
ครั้งนี้ทุกคนต่างประจักษ์สายตาแล้วว่า ว่าที่นายหญิงมีผลต่อท่านเจ้าเมืองขนาดไหน แม้แต่ยายแท้ๆ ยังไม่ไว้หน้า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลูกพี่ลูกน้องอย่างเหมยอิ้งเสวี่ยเลย หากยังพูดพล่ามต่อไป เกรงว่าคงช่วยเหมยอิ้งเสวี่ยไม่ได้จริงๆ
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพออกพอใจกับท่าทีรู้กาลเทศะของเทียนเฉวียน “ข้าจะส่งคนในจวนท่านเจ้าเมืองคอยสอดส่อง ผู้ดูแลเทียนเฉวียน เจ้าเข้าใจใช่ไหม” นางสั่งให้เหมยอิ้งเสวี่ยไปเป็นสาวใช้ไม่ได้ให้ไปเป็นคุณหนูใหญ่ แน่นอนว่าหากเทียนเฉวียนสามารถฉวยโอกาสนี้กำราบเหมยอิ้งเสวี่ยและสั่งสอนเป็นอย่างดีได้ นางก็ไม่จำเป็นต้องถูกรบกวนจากเด็กสาวคนหนึ่งที่ลุ่มหลงในความรักอีก แต่หากเทียนเฉวียนยังอับจนหนทาง วันหน้าเหมยอิ้งเสวี่ยคงทำได้แค่ไขว่คว้าหาความสุขผ่านความพยายามของตัวเองแล้ว