หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 347 มีตาหามีแววไม่ (4)
ประชาชนคนทั่วไปส่วนมากไม่อยากหาเรื่องคนในยุทธภพ ดังนั้นเหล่านักปราชญ์บัณฑิตขาประจำปีก่อนๆ ที่ชอบมาชมดอกเบญจมาศที่นี่กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนในยุทธภพที่แผ่กลิ่นอายสังหารอบอวลแทน ผู้มีความรู้มากมายนั้นไม่ชินกับความหยาบกระด้างของคนในยุทธภพและไม่อยากล่วงเกินพวกเขาเลยย่อมต้องย้ายออกไป
“น่าสนใจ ดูท่าทางพวกเราจะมาได้เวลาพอดี” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย
เทียนเสวียนพยักหน้าเอ่ยกำชับ “พวกเราอยากได้เรือนใหญ่ที่เงียบสงบหน่อย” ขณะที่พูดก็ส่งตั๋วเงินไปให้ใบหนึ่ง พอผู้ดูแลเห็นแวบเดียวก็ดวงตาเป็นประกาย เขามองคนไม่ผิดจริงๆ ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นแขกคนสำคัญแน่นอน จ่ายทีก็ห้าร้อยตำลึงแล้ว เขารีบยื่นมือเข้าไปรับแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้ามีสองเรือนที่ใช้ได้อยู่พอดี ข้าจะรีบสั่งคนให้ไปตระเตรียม”
เทียนเสวียนเลิกคิ้วเอ่ย “ให้คนเก็บกวาดทำความสะอาดใหม่ทั้งหมด อย่าทำให้คุณชายของเราต้องพักอย่างไม่สบายตัว อีกเรื่อง องครักษ์ของเราก็ต้องหาที่พักให้ด้วยเช่นกัน”
ผู้ดูแลย่อมเห็นกลุ่มองครักษ์ชุดดำที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเหล่านั้นอยู่แล้ว จากนั้นก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนถาม “ไม่ทราบว่ามีองครักษ์กี่คนหรือ”
“หกสิบคน”
ผู้ดูแลยิ้มกริ่มขึ้นมาทันที ออกนอกเมืองทีก็มีขบวนองครักษ์ติดตามมาหกสิบคน นี่คงเทียบได้กับเหล่าองค์ชายและท่านอ๋องในเชื้อพระวงศ์เลยก็ว่าได้ เขาจึงรีบกล่าว “ข้าจะรีบไปจัดการ คุณชายท่านนี้…จะรับประทานอาหารก่อนหรือเข้าที่พักก่อนดีเล่า อาหารในหอมู่หวาก็รสเลิศไม่แพ้กันนะขอรับ”
หรงจิ่นก้มศีรษะมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็ทานข้าวก่อนแล้วกัน”
ผู้ดูแลนำพวกเขาไปที่ห้องส่วนตัวด้านบนอย่างขะมักเขม้น เดินพลางออกปากกำชับเถ้าแก่เนี้ยที่นั่งคิดบัญชีอยู่บนโต๊ะว่าให้ช่วยไปบอกหลังครัวเตรียมอาหารชั้นดีไว้ ทว่าท่าทีเตรียมการขะมักเขม้นเช่นนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้เหล่าคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นอย่างมาก
พลั่ก! มุมหนึ่งของโถงใหญ่ บุรุษวัยกลางคนใบหน้าดุดันกระแทกกาสุราลงบนโต๊ะอย่างแรงแล้วตวาดใส่ว่า “ผู้ดูแล หมายความว่าอย่างไรกัน เหตุใดเมื่อครู่ข้าบอกว่าอยากได้ห้องส่วนตัวเจ้าถึงบอกไม่มี แต่พอเจ้าเด็กพวกนี้โผล่มากลับมีเสียได้เล่า”
“คือว่า…” สีหน้าของผู้ดูแลชาวาบ เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเขากังวลกลัวคนผู้นั้นจะจ่ายไม่ไหวเลยบอกไปเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกอะไร แต่โรงเตี๊ยมของเขาเปิดมาหลายสิบปีจนทำให้หอมู่หวาเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในเมืองเผิงได้ ฉะนั้นเขาย่อมเห็นโลกมาไม่น้อยแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเสื้อผ้า เพราะตั้งแต่บุคลิกกระทั่งราศีของบุรุษร่างยักษ์ผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนมีเงินเลยสักนิด
ความจริงบุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้อยากได้ห้องส่วนตัว ทว่าพอเห็นรูปโฉมของพวกเขาแต่ละคนโดดเด่นปราดเปรียวกันทั้งนั้น กระทั่งทำให้ผู้ดูแลต้อนรับอย่างระมัดระวังขะมักเขม้นขนาดนี้ เลยทำให้คนเหล่านี้รู้สึกได้รับความลำเอียงจนนึกอยากหาเรื่องขึ้นมา
ฮั่วซูและเทียนเสวียนสบตากัน แบบนี้หาเรื่องกันชัดๆ จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าไปขวางคั้นกลางของผู้ดูแลกับบุรุษร่างยักษ์ไว้ เทียนเสวียนยิ้มเอ่ย “สหายผู้นี้จะโมโหไปทำไมเล่า เจ้าดูสิว่าพวกเรามากันตั้งหลายคน โต๊ะในโถงใหญ่ก็นั่งไม่พอมิใช่หรือ คุณชายกับแม่นางไปก่อนเถิดขอรับ”
หรงจิ่นพยักหน้า คนบทบาทธรรมดาแบบนี้เขาไม่สนใจ จากนั้นก็ลากมู่ชิงอีเดินขึ้นไปชั้นบน
บุรุษร่างยักษ์ผู้นั้นถูกเทียนเสวียนขวางไว้ พอเห็นใบหน้าฉีกยิ้มของเทียนเสวียนและใบหน้าเย็นชาของหรงจิ่นที่ไม่แม้แต่จะกวาดมามองทางนี้อย่างหยิ่งผยอง พลันก็ทำให้เขารู้สึกว่าเทียนเสวียนกำลังยิ้มเยาะเขาอยู่มากกว่าเดิม
“ไปไหนกัน หนุ่มน้อยนั่นไม่กล้าเจอคนหรืออย่างไร แถมแม่นางทั้งสองคนนี้ด้วย หน้าตาสะสวยใช้ได้ สู้มานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าดีกว่ากระมัง”
ทุกคนในห้องโถงอดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นสายตาที่จับจ้องมู่ชิงอีก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม ฮั่วซูเองก็ดูงดงามสะอาดหมดจดเช่นกัน แต่สตรีที่มีผ้าปิดหน้าผู้นั้นกลับสวยสะกดตากว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่คนพวกนี้ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่น่าหาเรื่องด้วย ดังนั้นคนทั่วไปเลยไม่กล้ากำเริบเสิบสาน แต่บุรุษร่างยักษ์ผู้นั้นกลับเป็นพวกดูสถานการณ์ไม่เป็นซึ่งเห็นได้น้อยนักในยุทธภพ ในเมื่อเขาพอใจจะหาเรื่อง คนอื่นก็พอใจจะดูเรื่องสนุกๆ เช่นกัน
ทว่าพวกที่หัวเราะเริงร่าเหล่านี้กลับไม่รู้เลยว่าดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากของหรงจิ่นกำลังแผ่ไอสังหารออกมา
มู่ชิงอียกมือขึ้นปรามหรงจิ่นที่คิดจะลงไม้ลงมือไว้พลางเอ่ยเสียเบา “พวกเราไปกันเถิด”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วหมุนตัวลากมู่ชิงอีขึ้นชั้นบนไป แต่บุรุษด้านหลังผู้นั้นกลับไม่รู้เลยว่าตนเพิ่งรอดพ้นจากอันตรายมาได้แล้วยังตามรังควานไม่เลิก “ไปไหนเล่า กลัวข้าอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกลัวนัก เจ้าก็เอาสาวน้อยข้างกายเจ้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสิ ไม่แน่ถ้าข้าอารมณ์ดี…”
“แย่แล้ว!” พอมองคนที่ยิ่งพูดก็ยิ่งได้ใจเช่นนั้น เทียนเฉวียนก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารเย็นยะเยือกแผ่ออกมา สบถเสียงต่ำก่อนคว้าเทียนเสวียนไปไว้ด้านหลัง ในขณะเดียวกันฮั่วซูก็รีบกระโดดหลบไปจากตรงนั้น
ยามที่ทุกคนยังไม่ทันรู้สึกตัว เงาสีดำก็โผล่แวบมาตรงกลาง บุรุษร่างยักษ์ที่เพิ่งพูดอย่างลำพองใจเมื่อครู่ก็ถูกหิ้วอยู่ในมือ จากนั้นก็เห็นบุรุษหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ตรงบันไดแล้วเมื่อครู่โผล่มาตรงหน้าบุรุษร่างยักษ์ผู้นั้นใหม่อีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จากนั้นมือผอมขาวซีดก็บีบคอบุรุษร่างยักษ์ที่ตัวโตกำยำกว่าหลายเท่าขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“แค่กๆ” เวลานี้คนที่เพิ่งลำพองใจเมื่อครู่กลับดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ในลำคอเปล่งเสียงไอออกมาแต่กลับเอ่ยปากร้องขอชีวิตไม่ได้
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาก่อนจะค่อยๆ วางตัวเขาลง ขาของบุรุษร่างยักษ์อ่อนยวบจนนั่งลงกับพื้น หากไม่ใช่เพราะว่ายังถูกบีบคออยู่เกรงว่าคงล้มพับลงพื้นไปแล้ว หรงจิ่นเอ่ยถามเสียงเบาจากมุมที่สูงกว่าว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร เจ้าอยากดื่มสุราอย่างนั้นหรือ ข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเป็นอย่างไรเล่า”
บุรุษผู้นั้นทอประกายความหวาดกลัวผ่านสายตา คิดจะส่ายศีรษะปฏิเสธ แต่นิ้วมือเย็นเฉียบที่อยู่บนคอกลับทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้
หรงจิ่นยกยิ้มมุมปากแผ่ความโหดเหี้ยมออกมา ยกมือขึ้นใช้กำลังภายในเรียกไหสุราชั้นดีบนโต๊ะใบหนึ่งลอยมาอยู่ในมือของเขา ทุกคนตรงนั้นต่างอดตกตะลึงไม่ได้ ใช้มือเรียกสิ่งของ…บัดนี้คนที่ใช้วิทยายุทธนี้ได้ในใต้หล้ามีอยู่ไม่เกินสิบคน
ท่ามกลางสายตาคนมากมาย ทุกคนเห็นหรงจิ่นง้างปากของบุรุษผู้นั้นช้าๆ แล้วค่อยๆ รินสุรากรอกปากบุรุษผู้นั้นด้วยท่วงท่าสบายๆ ถึงแม้จะหกเลอะเทอะไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ถูกบุรุษผู้นั้นกลืนเข้าลำคอไปแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่” หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มถามราวกับค้นพบเรื่องน่าสนใจเข้าก็มิปาน จากนั้นก็โยนไหสุราใบที่ว่างเปล่านั้นทิ้ง เทียนเสวียนที่อยู่ด้านข้างส่งไหให้อีกใบอย่างรู้งาน เจ้าเมืองขี้โมโหย่อมต้องให้เจ้าบ้าดวงซวยผู้นี้มาดับไฟโทสะของเจ้าเมือง อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนหาเรื่องเองมิใช่หรือ
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างชื่นชม ภายใต้แววตาหวาดกลัวของทุกคนหรงจิ่นก็กรอกสุราเข้าปากบุรุษผู้นั้นต่อไป ถึงแม้จะเป็นคนคอแข็งดื่มเท่าไรก็ไม่ล้ม แต่ลำพังแค่ถูกคนกรอกใส่เป็นไหเช่นนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ย่อมรับไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือปริมาณสองไห เวลานี้บุรุษที่ดิ้นพล่านอยู่ในมือหรงจิ่นกลับบอกไม่ถูกว่าตายแบบนี้หรือมีชีวิตอยู่รับโทษต่อไปอันไหนจะสบายกว่ากัน
ดวงตาเรียวงามของหรงจิ่นเป็นประกายซึ่งมีแต่บุรุษในมือเขาเท่านั้นที่เห็นถึงความโหดเหี้ยมฉายชัดผ่านแววตา “แค่ก...ปล่อยข้า…ข้าผิดไปแล้ว”
หรงจิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มือยังคงกุมแน่นไม่มีชะงักราวกับหากไม่เอาสุราทั้งหมดในโรงเตี๊ยมกรอกเข้าท้องของบุรุษผู้นี้ก็จะไม่เลิกราอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นค่อยๆ เริ่มเขียว ในเมื่อถูกคนหิ้วคอกรอกสุราใส่ปากไม่หยุด ไม่ว่าจะท้อง ลำคอหรือหัวใจต่างทุกข์ทรมาน อีกทั้งดูท่าทางเขาจะไม่ไหวเต็มทีแล้ว