หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 359 ดอกเบญจมาศในสารทฤดู ก่อนที่พายุฝนจะมา (1)
“อย่างนั้นหรือ”
“ชิงชิงกำลังหึงข้าอยู่หรือ” หรงจิ่นเอ่ยถามพลางยิ้มตาหยี
“หึงหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว หรงจิ่นยิ้มเอ่ยอย่างมีความสุข “มิใช่หรอกหรือ มิเช่นนั้นชิงชิงจะสนใจเรื่องที่ว่าข้าเคยไปมาหาสู่กับเซวียไฉ่อีหรือไม่ทำไมเล่า”
มู่ชิงอีเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าเอ่ย “อืม ข้าก็รู้สึกเจ็บในหัวใจขึ้นมาจริงๆ นั่นแหละ คุณชายอวิ๋นอิ่นจะลองมีความรู้สึกนี้เป็นเพื่อนข้าหน่อยหรือไม่เล่า” หรงจิ่นจิตใจเบิกบานขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างชอบใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว” ชิงชิงหึงใครที่ไม่จำเป็นต้องหึงเลยจริงๆ ทั้งเหมยอิ้งเสวี่ยหรือเซวียไฉ่อีอะไรพวกนั้น แต่ละคนเหมือนดั่งอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนเลยสักนิด แต่คนข้างกายของชิงชิง ไม่ว่าจะกู้ซิ่วถิงหรือมู่หรงซี แล้วก็หนานกงอวี้บ้านั่น ไหนจะเกอซูฮั่นและมั่วเวิ่นฉิงที่ติดหนี้บุญคุณชีวิตนางอะไรนั่น แต่ละคนล้วนน่าชิงชังกันทั้งสิ้น หรงจิ่นรู้สึกปวดใจขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
มู่ชิงอีพยักหน้า “ดีมาก ฮั่วซู ไปเอาน้ำส้มสายชูมาถ้วยหนึ่ง คุณชายกระหายน้ำแล้ว”
หืม...?
กระหายน้ำ…ต้องดื่มน้ำส้มสายชูหรือ ไท่สื่อเหิงมองคุณชายอวิ๋นอิ่นอย่างนึกเห็นใจ มิน่าเล่า แม่นางมู่ถึงเป็นคู่หมั้นของคุณชายอวิ๋นอิ่นได้ นี่ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องด้วยได้ง่ายๆ เลยจริงๆ
ฮั่วซูมองหรงจิ่นด้วยสายตาแน่นิ่ง จากนั้นก็หันมามองแม่นางมู่ด้วยสายตายิ้มๆ แล้วปิดปากลอบขำก่อนลุกขึ้นเดินไป
เพียงครู่เดียวน้ำส้มสายชูที่ทั้งหอมทั้งเข้มข้นถ้วยหนึ่งก็ส่งมาตรงหน้าหรงจิ่น
มู่ชิงอีเอ่ยพลางยิ้มบาง “ดื่มเถิด”
“ชิงชิง ไม่เอาแบบนี้ได้หรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเคืองๆ มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หากกล่าวเช่นนี้ คุณชายอวิ๋นอิ่นไม่หึงข้าแล้วหรือ”
หรงจิ่นขบฟัน “ได้สิ! ใครบอกว่าข้าจะไม่ทำกัน!” หรงจิ่นสูดหายใจเข้าลึกแล้วคว้าถ้วยน้ำส้มสายชูบนโต๊ะขึ้นมาก่อนกรอกเข้าปากในอึกเดียว
ทุกคนรอบกายต่างอดเห็นใจและเลื่อมใสต่อผู้ที่ดุดันโหดร้ายอย่างคุณชายอวิ๋นอิ่นไม่ได้จริงๆ น้ำส้มสายชูปริ่มถ้วยทานยากแค่ไหน หากใครไม่เคยทานมาก่อนคงยากที่จะเข้าใจได้ แต่แค่ลองจินตนาการดูก็พอจะลิ้มรสชาติได้อยู่รำไรแล้ว
“ชิงชิง…” หรงจิ่นเผยสีหน้าขมขื่น ถึงแม้จะสวมหน้ากากไว้อยู่เลยมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับแสดงถึงความน้อยใจและตำหนิออกมาอย่างชัดเจน
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาแล้วส่งน้ำชาอุ่นๆ แก้วหนึ่งให้ด้วยตัวเอง หรงจิ่นรีบรับมาบ้วนปาก อีกทั้งยังซัดเข้าปากไปอีกสองอึกอย่างหนักหน่วงถึงจะทำให้ความรู้สึกยากที่จะพรรณนาได้ทุเลาลงไปบ้าง หรงจิ่นที่สบายขึ้นบ้างแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่ถูกคนพวกนี้เห็นเข้ากันถ้วนหน้า ทันใดนั้นก็หรี่ตาแผ่รังสีอันตรายใช้คุกคาม มองอะไรกัน หากยังมองอีกข้าจะควักลูกตาพวกเจ้าออกมาเสีย!
คุณชายอวิ๋นอิ่นยังโหดเหี้ยมอยู่อีก องค์หญิงหมิงเจ๋อรีบเอาตัวกลับไปสั่งสอนเถิด! ทุกคนที่แสดงท่าทีเห็นใจใครบางคนเมื่อครู่ต่างแอบรู้สึกลึกๆ ว่าตนช่างโง่เขลาเสียจริง
“ความรักของพวกเจ้าทั้งสองช่างชวนให้ข้าอิจฉานัก ข้าหรงหวง ขอดื่มให้คุณชายผู้นี้สักแก้วแล้วกัน” ท่านอ๋องสองคนที่เพิ่งถูกหรงจิ่นปฏิเสธไปเมื่อครู่กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาด้วยตัวเอง หรงหวงอมยิ้มมองหรงจิ่นแล้วเอ่ยขึ้น
หรงจิ่นกลอกตาใส่แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านเองก็อยากทานน้ำส้มสายชูด้วยหรือ ฮั่วซู ไปยกมาให้ท่านผู้นี้…อีกหนึ่งถ้วย”
หรงหวงมุมปากกระตุกแล้วรีบเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องลำบากเลย ข้าไม่ชอบทานน้ำส้มสายชู ไม่ทราบว่าข้าขอนั่งร่วมวงด้วยคนได้หรือไม่เล่า”
เดิมทีโต๊ะนี้นั่งครบสี่คนแล้ว ครั้นไท่สื่อเหิงเห็นว่าหรงจิ่นไม่ได้เผยท่าทีคัดค้านอะไรเลยรีบลุกขึ้นเอ่ยกับฮั่วซูด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางฮั่ว พวกเราไปทางนั้นกันเถิด เจ้าบอกว่ามีคำถามอยากปรึกษาหารือกับข้ามิใช่หรือ”
ฮั่วซูพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นเพื่อสละที่นั่งให้
“ไม่ทราบว่าคุณชายแซ่ใดหรือ” หรงหวงยิ้มเอ่ย “ข้ามีนามว่าหรงหวง เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล”
“อวิ๋น...อวิ๋นอิ่น”
“ข้าหรงเซวียน” เมื่อครู่หรงเซวียนถูกหรงจิ่นปฏิเสธไปเลยยังฉุนเฉียวอยู่ในใจ จึงเอ่ยแค่เสียงเรียบตอบกลับไปเท่านั้น
หรงหวงเอ่ยอย่างตกใจ “คุณชายก็คือคุณชายอวิ๋นอิ่นที่ชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วแคว้นเย่ว์เองหรือ คิดไม่ถึงว่าจะยังเยาว์วัยขนาดนี้ เป็นวีรบุรุษตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ”
หรงจิ่นกลับไม่สนใจคำเยินยอของเขาเลยสักนิด หรงหวงไม่รู้ว่าเขาคือหรงจิ่นย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่รู้ว่าเขาคืออวิ๋นอิ่นล่ะก็คงโง่เขลามากกว่า พริบตาเดียวมู่ชิงอีก็มองหรงจิ่นราวกับจู่ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหรงเซวียนและหรงหวงถึงเลือกมาเหยียบที่หอมู่หวา กระทั่งพุ่งเป้ามาที่อวิ๋นอิ่นด้วย
โดยเฉพาะหรงหวง ถึงอย่างไรเรื่องของหญ้าเซียนเก้าเมฆาก็เป็นเรื่องในยุทธภพ อีกทั้งโดยส่วนตัวของหรงหวงแล้วรู้เรื่องวิทยายุทธเพียงผิวเผินเท่านั้น หากคิดจะแก่งแย่งหญ้าเซียนเก้าเมฆาจากเหล่ากลุ่มยอดฝีมือคงเรียกได้ว่ายากพอสมควร หากกล่าวกันเรื่องพลังการต่อสู้ เขาย่อมสู้หรงเซวียนที่มีคุณงามความดีเรื่องการทหารไม่ได้ ดังนั้นหากสามารถดึงอวิ๋นอิ่นระดับยอดฝีมือเช่นนี้มาเป็นพวกได้ย่อมต่างกันออกไป
ครั้นเห็นท่าทีเย่อหยิ่งของหรงจิ่น สีหน้าของอ๋องทั้งสองก็เรียบตึงขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นถึงลูกหลานในเชื้อพระวงศ์ ฉะนั้นย่อมดูแคลนคนในยุทธภพบ้างเป็นธรรมดา ทว่าบัดนี้ยอมลดตัวมากล่าวทักทายหรงจิ่นก่อน แต่อีกฝ่ายดันหยิ่งผยองใส่เสียอย่างนั้น แบบนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้เช่นไร
“ได้ยินว่าฝีมือวิทยายุทธของคุณชายอวิ๋นอิ่นแกร่งกล้ามาก ไม่ทราบว่าข้าจะขอคำชี้แนะได้หรือไม่” หรงเซวียนเอ่ยเสียงเย็นชา
หรงจิ่นผงะไปก่อนเงยหน้าจับจ้องหรงเซวียนแน่นิ่งเอ่ย “ท่านอยากประลองฝีมือกับข้าหรือ”
หรงเซวียนเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ใช่แล้ว ข้าอยากขอประลองวิทยายุทธกับคุณชายอวิ๋นอิ่นดูสักรอบ” ในเมื่อมีหนานกงเจวี๋ยยอดฝีมือลำดับต้นๆ เป็นถึงท่านน้า วิทยายุทธของหรงเซวียนเลยเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชายทุกคน ถึงแม้คุณชายอวิ๋นอิ่นจะมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วยุทธภพ ทว่าหรงเซวียนกลับคิดว่าเขากุชื่อเสียงจอมปลอมแพร่สะพัดในยุทธภพเสียมากกว่า
หรงจิ่นแสยะยิ้มเอ่ยอย่างเริงร่า “เอาสิ พอดีเลยกระหม่อมเองก็อยากเห็นกระบวนท่าไม้ตายของหนานกงเจวี๋ยเช่นกัน”
หรงเซวียนแค่นเสียงเบา ลุกขึ้นกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เชิญ”
“เชิญ!”
ไท่สื่อเหิงที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ด้านข้างส่ายศีรษะพลันถอนหายใจ ท่านอ๋องผู้นี้รนหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ ให้คุณชายอวิ๋นอิ่นประลองฝีมือกับเขาก็เหมือนเอาเขามาทารุณเล่นมิใช่หรือ จะว่าไปคุณชายอวิ๋นอิ่นน่าจะเป็นยอดฝีมือที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาทุกคนแล้วกระมัง แต่วิทยายุทธกลับไม่ใช่คนที่ย่ำแย่ที่สุด อย่างน้อยหากเทียบกับเว่ยอู๋จี้ก็ไม่เป็นรองเขาเลยด้วยซ้ำ หากว่ากันตามหลักการแล้วต่อให้อวิ๋นอิ่นฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่ในท้องก็ไม่มีทางจะเก่งกาจได้ขนาดนี้
ด้านหลังหอมู่หวายังมีเรือนอีกหลายหลังที่เป็นของหอมู่หวา แถมยังเป็นห้องรับรองชั้นเลิศของหอมู่หวาอีกต่างหาก ทว่าวันนี้เรือนที่เหลือเป็นหลังสุดท้ายกลับเป็นสนามประลองระหว่างคุณชายอวิ๋นอิ่นและจวงอ๋องไปเสียได้ หรงจิ่นและหรงเซวียนต่างไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนักจึงไม่มีทางรอออกนอกเมืองก่อนแล้วค่อยประลองกันอยู่แล้ว แต่หากประลองกันกลางถนนเลย ในเมื่อมีคนพลุกพล่านเต็มไปหมดย่อมไม่ค่อยสะใจเท่าไร ดังนั้นผู้ดูแลของหอมู่หวาเลยจำต้องรับความซวยนี้ไป
ครั้นเห็นหน้าตาเศร้าสร้อยขมขื่นของผู้ดูแลเช่นนั้น ฮั่วซูก็เอ่ยอย่างหัวเสียว่า “เจ้ากลัวอันใดกัน คนอย่างจวงอ๋องจะตีเนียนค้างเงินแค่นี้กับเจ้าหรืออย่างไร ประเดี๋ยวจวงอ๋องก็จ่ายชดใช้ให้เจ้าเองแหละ”
หรงหวงที่ยืนอยู่ด้านข้างมองฮั่วซูด้วยสายตาประหลาดใจแวบหนึ่ง แต่ฮั่วซูทำเป็นมองไม่เห็น แน่นอนว่าจวงอ๋องต้องเป็นคนชดใช้อยู่แล้ว เพราะคนแรกที่เสนอขอปะทะฝีมือด้วยก็คือจวงอ๋อง อีกอย่าง…เมืองเทียนเชวียของพวกตนยากจนจะตายไป