หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 366 บุปผามั่วเยา (4)
“ดอกเบญจมาศสีดำต้นนี้ ข้าเอาเอง” เสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังแว่วมาจากมุมที่ไม่ไกลนัก จากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปทางมั่วเวิ่นฉิงในชุดสีขาวทั้งร่างที่ปรากฏตัวตรงริมแท่นที่นั่ง ซึ่งเขากำลังมองดอกเบญจมาศสีดำบนพื้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่ด้วยเช่นกัน
“มั่วเวิ่นฉิง!” หลายวันมานี้นอกและในเมืองเผิงเกิดเหตุการณ์นองเลือดไม่เว้นแต่ละวัน เกรงว่าตลอดหลายสิบปีมานี้เย่าหวังกู่ฆ่าคนรวมกันยังไม่เท่ามั่วเวิ่นฉิงคนเดียวในเวลานี้เลย พอคนในยุทธภพเห็นเขาปรากฏตัวก็ย่อมนั่งไม่ติดที่เป็นธรรมดา หากไม่ใช่เพราะด้านบนมีคุณชายอวิ๋นอิ่นที่ไม่ควรหาเรื่องด้วยและแม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจทางการทหารในเงื้อมมือ เกรงว่าคนในยุทธภพคงพุ่งเข้าใส่แล้ว
มู่ชิงอีแอบนึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้บอกหรงจิ่นไปว่านางชอบดอกเบญจมาศสีดำ ใครจะไปรู้ว่าดอกเบญจมาศสีดำกระถางเดียวจะจุดชนวนเรื่องวุ่นวายได้มากมายขนาดนี้
มั่วเวิ่นฉิงไม่สนใจกลุ่มคนที่อยากจะเชือดเฉือนเขาเลยสักนิด เขาเดินรุดขึ้นไปด้านหน้ามองมู่ชิงอีพลางเอ่ยเสียงขรึม “ขอดอกเบญจมาศสีดำให้ข้าเถิด ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณแม่นางอีกครั้งแล้วกัน”
มั่วเวิ่นฉิงมีสมญานามว่าหมอเทวดาอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากมีหนี้บุญคุณต่อบุคคลเช่นนี้มากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่หรงจิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น เลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ติดหนี้บุญคุณหรือ เจ้าสำนักมั่วลองคิดดูก่อนเถิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเผิงได้หรือเปล่า มิเช่นนั้นชิงชิงของข้าก็คงเป็นหนี้บุญคุณโดยเสียเปล่ากระมัง”
มั่วเวิ่นฉิงเงยหน้ามองหรงจิ่นด้วยสายตาราบเรียบ “คุณชายอวิ๋นอิ่นกำลังเสนอให้ข้าจัดการวางพิษคนทั้งเมืองเผิงอย่างนั้นหรือ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ คนในยุทธภพที่หูดีย่อมได้ยินสิ่งที่เขาพูดกันถ้วนหน้าอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังก่นด่าว่ามั่วเวิ่นฉิงเป็นจอมมารร้ายนอกรีต แต่เรื่องที่น่าขันก็คือเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่ถูกมองว่าเป็นดั่งหมดเทวดาช่วยรักษาคน แต่เพียงเพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเลยทำให้แต่ละคนล้วนประณามว่าเขาเป็นจอมมารร้ายนอกรีตเสียแล้ว
หรงเซวียนและหรงหวงที่ยืนดูเรื่องสนุกๆ ด้านข้างก็เผยสีหน้าดูไม่ได้เช่นกัน ในฐานะองค์ชายอย่างพวกเขาย่อมรักชีวิตมากที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาคนในยุทธภพทำตามแต่ใจตนเอง หากยุให้มั่วเวิ่นฉิงวางยาฆ่าคนทั้งเมืองขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องพลอยตายไปด้วยมิใช่หรือ
พวกเขาสองคนแอบแลกเปลี่ยนสายตากัน เดิมทีพวกเขาสองคนก็มาเพื่อหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่แล้ว เช่นนั้นสู้ชิงวางแผนจับมั่วเวิ่นฉิงก่อนเลยดีกว่า แน่นอนว่าเรื่องนี้จะให้พวกเขาทำเองไม่ได้ คนในยุทธภพโง่งมเหล่านั้นต่างหากที่เป็นหมากชั้นดี
ครั้นเห็นมู่ชิงอีไม่ตอบกลับอะไร มั่วเวิ่นฉิงจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยขบคิดพลางกล่าว “รากของดอกเบญจมาศสีดำต้นนี้ได้รับความเสียหาย นอกจากข้าก็ไม่มีใครช่วยมันได้อีกแล้ว”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “มั่วเวิ่นฉิงโปรดอภัยให้ด้วย ดอกเบญจมาศสีดำนี้ไม่ใช่ของข้า ท่านผู้เฒ่าคิดเห็นเช่นใดเล่าเจ้าคะ” มู่ชิงอีรู้สึกละอายใจต่อผู้เฒ่าท่านนี้เหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะหรงจิ่นไปหยิบมาก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มู่ชิงอีสงสัยว่าคำพูดเรื่องมั่วเยาของตนนั้นคงไปกระตุ้นอะไรเข้า ในเมื่อตอนแรกเชียนหลิงเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนอกสนใจดอกเบญจมาศสีดำต้นนี้เลยสักนิด
ผู้เฒ่าก้มหน้ามองดอกเบญจมาศสีดำบนพื้น รากที่โผล่พ้นออกมาได้รับความเสียหายบ้างจริงๆ ดอกมั่วเยาบอบบางมาก หากได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยก็อาจเหี่ยวตายได้ทันที เพราะเหตุนี้เขาถึงทุ่มเวลาถึงหลายปีกว่าจะบ่มเพาะดูแลทำให้ดอกไม้เบ่งบานขนาดนี้ได้ ถึงแม้การมอบให้คนอื่นจะเป็นเรื่องน่าปวดใจ แต่ก็ดีกว่ารอให้มันเหี่ยวตายกระมัง
ผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยท่าทีท้อใจผิดหวังแล้วปัดป่ายมือเอ่ย “เอาเถิด หากเจ้าอยากได้ก็เอาไป เพียงแต่…หวังว่าคุณชายจะเห็นแก่หน้าข้าแล้วไม่เอาพิษนี้ไปทำร้ายใครก็พอ”
ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงจะมีสีหน้าดุดัน แต่ก็ยังพยักหน้าขานรับ “แน่นอนอยู่แล้ว ขอบคุณมาก” เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว เขาส่ายศีรษะก่อนหมุนตัวเดินจากไป ดูจากเงาแผ่นหลังคงเศร้าเสียใจไม่น้อย
ปู้อวี้ถังถอนหายใจออกคำสั่งข้าหลวงข้างกายให้ไปส่งผู้เฒ่า แล้วเอ่ยพลางทอดถอนใจว่า “ผู้เฒ่าท่านนี้รักดอกเบญจมาศจนกลายเป็นความหลงใหล เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากเมืองเผิงนัก หน้าบ้านหลังบ้านและกลางสวนเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศหลากสีสัน มีชาวบ้านที่ปลูกดอกไม้หลายคนเดินทางมาเพื่อเรียนรู้ทักษะการปลูกดอกไม้จากเขา” เดิมทีนึกว่าดอกเบญจมาศสีดำต้นนี้จะคว้าชัยชนะมา ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางย่อมฟังน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจของปู้อวี้ถังออก เพียงแต่ต่อให้ปู้อวี้ถังจะไม่พอใจแค่ไหน แต่คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้เลยสักคน
บุรุษท่าทีเย็นชาในชุดขาวทั้งร่างย่อตัวลงก่อนค่อยๆ หยิบดอกเบญจมาศสีดำในกองดินขึ้นมาอย่างเบามือ ด้านข้างมีคนไหวพริบดีเตรียมกระถางใหม่ไว้ให้แล้ว มั่วเวิ่นฉิงก็ไม่ได้เรื่องมาก ฉับพลันก็ค่อยๆ ประคองดอกเบญจมาศสีดำใส่ลงไปในกระถางดอกไม้ใหม่อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ล้วงหยิบขวดขนาดเล็กกะทัดรัดออกมาใบหนึ่งแล้วเทน้ำยาที่ไม่ทราบชื่อด้านในใส่เข้าไปจนเกลี้ยง
ต่อมาก็เอากระถางวางไว้บนโต๊ะแล้วหยิบถุงมือคู่บางดั่งปีกแมลงทับมาสวมใส่ จากนั้นก็จัดการเอาละอองเกสรสีม่วงอ่อนออกจากเกสรดอกเบญจมาศอย่างง่ายดาย ทุกคนในงานต่างไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เลยทำได้แค่มองต่อไปอย่างเงียบๆ รอกระทั่งมั่วเวิ่นฉิงทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หยิบน้ำยาขวดหนึ่งออกมาเทใส่เข้าไปพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะดันกระถางดอกไม้ไปไว้ตรงหน้ามู่ชิงอีแล้วกล่าว “ขอบคุณแม่นางมาก”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าสำนักมั่ว นี่คืออะไรหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงกล่าว “ถึงแม้ดอกนี้จะยังเป็นดอกมั่วเยาอยู่แต่มันไม่มีพิษแล้ว หากแม่นางชอบก็เก็บไว้ชื่นชมเถิด” นัยยะของความหมายก็คือมั่วเวิ่นฉิงไม่เพียงแต่เอาละอองเกสรบางส่วนของมั่วเยาไปเท่านั้น แต่ยังช่วยขจัดพิษของมั่วเยาจนสิ้นด้วย
มู่ชิงอีเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าสำนักมั่วมาก”
มั่วเวิ่นฉิงเก็บของที่ตนต้องการโดยไม่คิดปรายตามองสายตาคนที่เหลือเลยสักนิดแล้วสะบัดก้นจากไป ทว่าเชียนหลิงที่อยู่ด้านหลังกลับมองไปยังดอกเบญจมาศสีดำที่ยังคงงดงามเหมือนเดิมบนโต๊ะด้วยสีหน้าซีดขาวดั่งกระดาษ
งานชมดอกเบญจมาศจบลงอย่างไม่รู้ตัว สุดท้ายโชคดีที่มีดอกโบตั๋นสีเขียวงดงามและหายากเช่นกัน ถึงแม้มั่วเยาจะยังอยู่แต่ถึงอย่างไรกลีบดอกก็เกิดความเสียหาย ซึ่งหากเทียบกับดอกโบตั๋นสีเขียวที่วางประดับอยู่ในกระถางหยกสีขาวประณีตแล้วกลับงดงามสู้ไม่ได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้งานชมดอกไม้ปีนี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่คึกคักเท่าปีก่อนๆ แต่ผู้ว่าเมืองเผิงอย่างปู้อวี้ถังกลับลอบผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ขอแค่ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว เขาไม่กล้าร้องขอเรื่องใดแล้วจริงๆ
หลังจากล่ำลาปู้อวี้ถัง พวกมู่ชิงอีก็เดินออกจากงานมารวมตัวกับฮั่วซูและไท่สื่อเหิง มู่ชิงอีและหรงจิ่นนั่งอยู่ในงานอย่างเบื่อหน่าย ทว่าฮั่วซูและไท่สื่อเหิงกลับเที่ยวชมภายในงานอย่างสนุกสนาน ในมือของพวกเขาแต่ละคนหอบหิ้วดอกเบญจมาศช่อหนึ่งมาด้วย ดูท่าทางคงเห็นในตลาดดอกไม้แล้วชอบเลยซื้อกลับมา ใบหน้าสุขุมในเดิมทีของฮั่วซูกลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและเปล่งประกายความสดใส
“ไอ๊หยา นั่นมั่วเยาหรือ” ครั้นเห็นดอกไม้ในมือหรงจิ่น ไท่สื่อเหิงก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “งานดอกไม้ในเมืองเผิงโด่งดังสมคำร่ำลือจริงๆ แม้แต่ดอกไม้หายากเช่นนี้ก็มีด้วย”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วปล่อยมือโยนกระถางดอกไม้ใส่ไท่สื่อเหิง ไท่สื่อเหิงรีบรับไว้ นี่ดอกมั่วเยาเชียวนะ ลำพังแค่กระถางเดียวก็เพียงพอให้ครอบครัวคนธรรมดาร่ำรวยไปถึงสองชาติภพแล้ว
เว่ยอู๋จี้พาเชียนหลิงเดินตามมาด้านหลัง สีหน้าชวนน่าสงสารของเชียนหลิงปรากฏดวงตาแดงก่ำซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก ครั้นเห็นดอกมั่วเยาในมือของไท่สื่อเหิงก็เผยสีหน้าซับซ้อนเดาได้ยาก ทว่าชวนให้ไท่สื่อเหิงทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าตนไปล่วงเกินอะไรแม่นางผู้นี้เข้าถึงได้ใช้สายตาโกรธแค้นเช่นนั้นจับจ้องมาที่ตนเช่นนี้