หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 369 ยืมมีดฆ่าคน (3)
ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนั้น หรงจิ่นกลับไม่ได้เผยท่าทีเกรี้ยวโกรธจนน่าประหลาดใจ แต่กลอกดวงตาไปมา ฉับพลันมุมปากก็ผุดรอยยิ้มจางๆ กล่าว “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ เจ้าอยากรู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใดมิใช่หรือ”
ซู่เวิ่นดวงตาเป็นประกายเอ่ย “เจ้ารู้หรือ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “บนโลกนี้มีเรื่องน้อยนักที่ข้าจะไม่รู้ แต่เกรงว่าเจ้าไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว” ซู่เวิ่นผงะไปแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่ทันอันใดหรือ”
หรงจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ารู้จักหรือไม่ว่าเซวียไฉ่อีเป็นใคร”
ซู่เวิ่นขมวดคิ้ว กฎของเย่าหวังกู่เข้มงวด อีกทั้งนางยิ่งไม่ใช่หมอที่ต้องเดินทางออกไปข้างนอกบ่อยๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้ออกสู่โลกภายนอก แม้แต่คุณชายอวิ๋นอิ่นที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพนางยังไม่รู้จัก เซวียไฉ่อียิ่งแล้วใหญ่ หรงจิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า “เซวียไฉ่อีก็คือเจ้าสำนักของหอไฉ่อี สาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ รูปโฉมงดงามจนได้รับฉายาว่างามเหนือใคร ยิ่งไปกว่านั้นยังหลงใหลในตัวเจ้าสำนักมั่วมาก ถึงแม้สำนักใหญ่ๆ แต่ละสำนักต่างพากันต่อกรกับเจ้าสักนักมั่ว แต่เจ้าสำนักเซวียผู้นี้กลับตามติดเจ้าสำนักมั่วไม่ห่าง…เวลานี้ ไม่แน่พวกเขาสองคน…” เมื่อเห็นใบหน้าของนางค่อยๆ ถอดสีลงเรื่อยๆ ขณะที่ฟังเขาพูด หรงจิ่นก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก “พูดถึงเมื่อวานเราก็เจอเจ้าสำนักเซวียเหมือนกัน สวมชุดสีขาวใบหน้างดงาม ช่างเหมาะสมกับเจ้าสำนักมั่วราวกับกิ่งทองใบหยก”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด” เสียงเอ่ยถามของซู่เวิ่นตึงเครียดสุดขีด
หรงจิ่นเอ่ย “ขอแค่ผู้อาวุโสซู่เวิ่นหาสำนักไฉ่อีเจอก็คงรู้ได้เองว่าเจ้าสำนักมั่วอยู่ที่ใด ต่อให้ไม่รู้ แต่หากเกิดเรื่องกับเจ้าสำนักไฉ่อีล่ะก็…อืม เจ้าสำนักไฉ่อีหลงใหลเจ้าสำนักมั่วขนาดนั้น เจ้าสำนักมั่วคงไม่นิ่งดูดายแน่นอน”
“ขอบใจเจ้ามาก” ซู่เวิ่นเอ่ยพลางประสานมือขึ้น จากนั้นก็เหลือบมองมู่ชิงอีที่อยู่ในอ้อมอกของหรงจิ่นแวบหนึ่ง ถึงแม้จะอิจฉาในรูปโฉมของมู่ชิงอีและเรื่องที่มั่วเวิ่นฉิงให้ดอกไม้นาง แต่ดูท่าทางสาวงามอันดับหนึ่งที่อวิ๋นอิ่นเอ่ยถึงจะสำคัญกว่าหน่อย ซู่เวิ่นเลยทำได้แค่รีบพาคนจากไป
เมื่อเห็นคนของเย่าหวังกู่จากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ทุกคนตรงนั้นต่างก็จับจ้องคุณชายอวิ๋นอิ่นราวกับเห็นผีก็มิปาน นี่ออกจะแค้นฝังใจไปหน่อยกระมัง ที่แท้ยืมมีดฆ่าคนก็ใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ!
ในฐานะที่ซู่เวิ่นเป็นผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่ ต่อให้ฝีมือของนางไม่ได้เรื่องแต่คนที่มีความสามรถรอบกายกลับมีไม่น้อย อีกทั้งผู้หญิงอย่างเซวียไฉ่อีก็ขลุกอยู่ในแวดวงยุทธภพมาหลายปีจึงไม่ได้รับมือด้วยง่ายขนาดนั้น ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็หลงรักมั่วเวิ่นฉิง หากพวกนางปะทะกันขึ้นมา เกรงว่าคงรบรากันไม่จบไม่สิ้นแน่นอน หลายครั้งวิธีการรับมือระหว่างผู้หญิงก็ดุเดือดกว่าผู้ชายเสียอีก
“ชิงชิง เจ้าเดาว่าระหว่างเซวียไฉ่อีกับซู่เวิ่นใครจะตายก่อนกัน” ราวกับหรงจิ่นไม่ได้สนใจสายตาหวาดผวาของทุกคนสักนิด แถมเอ่ยถามพลางยิ้มตาหยี
มูชิงอีหรี่ตาเงียบครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนตอบ “น่าจะซู่เวิ่นกระมัง” แม้เซวียไฉ่อีมีฝีมือวิทยายุทธที่ไม่ธรรมดา ก็คงไม่ดีถึงขั้นจะต้านทานเย่าหวังกู่ได้
ไท่สื่อเหิงพูดแทรกขึ้นมา “ไม่แน่หรอก เซวียไฉ่อีร่อนเร่อยู่ในยุทธภพมานานหลายปี นางก็คงมีท่าไม้ตายเฉพาะตัวของนางเองเช่นกัน หากซู่เวิ่นบุ่มบ่ามเข้าไปหาเช่นนี้ ชัยชนะอยู่ในมือใครคงพูดยาก”
หรงจิ่นคาดการณ์พลางอมยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าใครตายหรือรอดก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น แน่นอนว่าหากตายไปได้ทั้งสองคนย่อมดีที่สุด อืม…ชิงชิง แบบนี้ถือว่ามั่วเวิ่นฉิงติดหนี้บุญคุณข้าครั้งใหญ่แล้วใช่หรือไม่เล่า”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างอ่อนแรง “หากท่านว่าใช่ก็ใช่แล้วกัน” คงไม่ใช่เพราะว่าองค์ชายเก้านึกอิจฉามั่วเวิ่นฉิงที่มีสาวๆ มารุมล้อมแต่ตัวเองไม่มีใครมาตกหลุมรักสักคนนอกจากเหมยอิ้งเสวี่ยกระมัง
จากนั้นก็ไม่ได้สนใจคำพูดเหลวไหลของหรงจิ่นที่อาจนำพามาซึ่งเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หรงจิ่นลากมู่ชิงอีจากไปอย่างอารมณ์ดีโดยไม่คิดเหลือบมองหรงเซวียนและหรงหวงที่ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยากชวนไปหอมู่หวาอีก บัดนี้งานชมดอกเบญจมาศของเมืองเผิงจบลงแล้ว ส่วนที่เหลือคงมีแค่เรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆา แน่นอนว่าทางการย่อมเข้ามายุ่งเรื่องของคนในยุทธภพไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรคนที่ตายก็ไม่ใช่ประชาชนภายใต้การปกครองของเผิงโจว ปู้อวี้ถังเองก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของลูกน้องตนไปสังเวยให้กับคนในยุทธภพเหล่านี้เช่นกัน เพียงแต่สื่อว่าขอแค่ไม่ทำให้ประชาชนเป็นอันตราย ทางการก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการช่วงชิงของคนในยุทธภพ
พอทางการแสดงท่าทีเช่นนั้น แต่ละสำนักก็ยิ่งอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา พอเรื่องมาถึงตอนนี้กลับไม่ใช่แค่เรื่องของมั่วเวิ่นฉิงหรือหญ้าเซียนเก้าเมฆาแล้ว เพราะแต่ละสำนักมีคนบาดเจ็บล้มตายในมือของมั่วเวิ่นฉิงเต็มไปหมด หากไม่ได้รับความเป็นธรรม ใครก็อย่าหวังว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ เลย
ภายในเรือนอันเงียบสงบในหอมู่หวา มู่ชิงอีกำลังตวัดปลายพู่กันลงบนกระดาษด้วยสีหน้าสุขุมแน่นิ่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ทว่าบุคลิกท่วงท่าที่แสดงออกมากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและดูสง่าสมที่มาจากตระกูลผู้ดี บุคลิกเช่นนี้คงมีเพียงตระกูลสูงส่งอย่างตระกูลกู้เท่านั้นที่จะสั่งสอนเลี้ยงดูมาได้
หรงจิ่นพิงโต๊ะหนังสือก้มหน้าดูผลงานวาดภาพของมู่ชิงอี พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
พอขบคิดดูแล้วหรงจิ่นก็ยื่นมือไปจับมือข้างที่มู่ชิงอีถือพู่กันไว้ จากนั้นก็วาดขีดเขียนลงบนกระดาษด้วยท่วงท่าสบายๆ มู่ชิงอีชะงักไปแล้วคลายมือเล็กน้อยโดยปล่อยไปตามแรงของหรงจิ่น ไม่นานดอกเบญจมาศสีดำงดงามที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการก็ปรากฏอยู่บนกระดาษ แต่เพราะรูปแบบการวาดภาพของพวกเขาไม่เหมือนกัน ลายเส้นภาพวาดของมู่ชิงอีจะออกไปทางงดงามสะอาดสะอ้าน หนักแน่นสง่างามแฝงความเป็นปัญญาชน ทว่าหรงจิ่นจะแฝงกลิ่นอายหยิ่งผยองและเผด็จการไว้ รูปแบบที่ต่างกันถูกผสมผสานลงบนกระดาษแผ่นบางได้อย่างน่าประหลาด ขับให้ดอกเบญจมาศสีดำบนกระดาษแผ่นนี้ดูมีแรงดึงดูดที่ร้ายกาจกว่ามั่วเยาที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งไม่ไกลจากพวกเขานัก มู่ชิงอีมองภาพวาดที่เพิ่งวาดเสร็จพลางชะงักไปอย่างอดไม่ได้
หรงจิ่นหยิบพู่กันในมือนางวางไว้อีกฝั่ง จากนั้นก็รั้งนางเข้ามาในอ้อมอกตนอย่างอารมณ์ดีพร้อมกวาดตามองภาพดอกเบญจมาศสีดำบนโต๊ะ ยิ้มเอ่ย “ชิงชิงช่างใจตรงกับข้านัก”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ยอย่างละอายใจ “หากองค์ชายเก้าเดินบนเส้นทางนี้คงเป็นนักวาดภาพชื่อดังแห่งยุคคนหนึ่งเชียว” คำนี้นางไม่ได้พูดเยินยอ เพราะเมื่อก่อนมู่ชิงอีไม่เคยเห็นฝีมือของหรงจิ่นเลยนึกว่าเขาไม่ถนัดงานวาด ในเมื่อความจริงการวาดภาพจำเป็นต้องมีอาจารย์ชื่อดังมาคอยชี้แนะ มิเช่นนั้นคงเรียนรู้ทักษะต่างๆ เองได้ยาก แต่ตอนนี้นางเพิ่งรู้จริงๆ หากว่ากันด้วยเรื่องการลงน้ำหนักเส้นอาจจะสูสีกัน แต่หากดูความทรงพลังของภาพกลับห่างชั้นกับหรงจิ่นอยู่มาก
หรงจิ่นเองก็ไม่ได้ถ่อมตัว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำอะไรก็เป็นปรมาจารย์แห่งยุคได้ทั้งนั้น แต่ภาพที่ข้าวาดได้ดีที่สุดคือภาพสาวงาม ประเดี๋ยวข้าวาดให้ชิงชิงสักหน่อยดีหรือไม่เล่า”
“องค์ชายเก้ามักวาดภาพสาวงามให้คนอื่นบ่อยหรือเพคะ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว
“เปล่าเสียหน่อย นอกจากชิงชิงแล้วใครจะมีคุณสมบัติให้ข้าวาดได้บ้างเล่า” เรื่องนี้ต้องพูดให้กระจ่าง เขาไม่ใช่องค์ชายเจ้าสำราญที่ชอบเกี้ยวสาวไปทั่ว
“เช่นนั้นขอถามว่าองค์ชายไปเอาข้อสรุปที่ว่าท่านถนัดวาดภาพสาวงามจากที่ใดมาหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบ
หรงจิ่นกลอกตาไปมา “ข้าวาดตัวเอง”
มู่ชิงอีนับถือในความหลงตัวเองและหน้าด้านอันยิ่งใหญ่ของหรงจิ่นอีกครั้ง
“ฮั่วซู” มู่ชิงอีส่ายศีรษะพลางร้องเรียกฮั่วซูที่อยู่ด้านนอก
“แม่นางมู่” ไม่นานฮั่วซูก็ปรากฏตัวตรงหน้าประตูห้องหนังสือ มู่ชิงอีส่งภาพวาดไปให้นางอย่างระวังมือ “เอาภาพวาดนี้ไปให้ผู้เฒ่าคนนั้นที่อยู่นอกเมืองพร้อมตั๋วเงินสองพันตำลึง อีกอย่างบอกผู้เฒ่าด้วยว่ารอพวกเราหามั่วเยาได้แล้วจะรีบส่งคนเอาไปให้เขาทันที” มั่วเยาราคาสูงลิ่ว แต่คนพวกนั้นกลับไม่ใส่ใจเรื่องเงินตำลึงสักนิด พอเอาดอกไม้ของเขาไปก็ไม่มีใครคิดจะจ่ายเงินให้เขาเลยสักคน