หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 380 พระโพธิสัตว์อสุรา (2)
เพราะเดินทางมาไกลถึงแคว้นเย่ว์เพียงลำพัง อีกทั้งยังกลับแคว้นหวาไปไม่ได้ หากมู่หรงอวี้ใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาไร้ชื่อเสียงก็ว่าไปอย่าง ทว่ามู่หรงอวี้ดันเป็นคนทะเยอทะยานอยากมีชื่อเสียงเงินทองคนหนึ่ง ดังนั้นตอนที่หลิงซูไปหาเขา เขาถึงตอบตกลงโดยใช้เวลาชั่งใจไม่นานเลยสักนิด เมื่อก่อนเขาค้านมั่วเวิ่นฉิงหัวชนฝ่าว่าไม่ยอมกลับเย่าหวังกู่ เพราะเห็นท่าทีของมั่วเวิ่นฉิงเลยกลัวว่าหากไปเย่าหวังกู่แล้วจะไม่ได้ออกมาอีกชั่วชีวิต อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีความสามารถทัดเทียมกับมั่วเวิ่นฉิงในฐานะเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เลย แต่หากเขากลายเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เองย่อมแตกต่างกันออกไป เพราะเขาจะมีหมอชื่อดังเกินครึ่งในใต้หล้าอยู่ในกำมือของเขา ในขณะเดียวกันยังมีอำนาจบงการความเป็นความตายของคนมากมายได้อีกด้วย สำหรับคนที่ไร้อำนาจใดในตอนนี้อย่างมู่หรงอวี้ย่อมถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีมากเลยทีเดียว
“เอาเถิด เจ้าไปเตรียมเรื่องเดินทางกลับเย่าหวังกู่ก็แล้วกัน” ถึงอย่างไรมู่หรงอวี้ก็เป็นองค์ชายมายี่สิบกว่าปี อากัปกิริยาที่แสดออกมาย่อมน่าดูไม่น้อย ครั้นเห็นเขาแสดงท่าทีเช่นนั้น หลิงซูจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเบี่ยงตัวหลีกทางพร้อมเอ่ย “เชิญเจ้าสำนัก”
รอกระทั่งพวกคนของเย่าหวังกู่จากไปกันหมดแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากป่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้ พวกเขาก็คือพวกมู่ชิงอีที่เพิ่งหายตัวไปเมื่อครู่นั่นเอง ริมฝีปากนุ่มงดงามของมู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “มู่หรงอวี้…กลายเป็นเจ้าสำนักของเย่าหวังกู่แล้วจริงๆ คนชั่วช้า…ตายยากขนาดนี้เชียวหรือ”
ไท่สื่อเหิงขยับพัดในมือแล้วเอ่ย “ข้าพอจะเดาได้ว่ามู่หรงอวี้กับเย่าหวังกู่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่คิดไม่ถึงว่ามั่วเวิ่นฉิงจะไม่ใช่ลูกในไส้ของอดีตเจ้าสำนักเสียได้”
เขาพอจะรู้กฎในเย่าหวังกู่คร่าวๆ อยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีกฎเช่นนี้แล้ว เหตุใดตอนที่มั่วเวิ่นฉิงขึ้นรับตำแหน่งถึงไม่มีใครคัดค้าน ทว่าเวลานี้กับคิดคัดค้านกระทั่งบีบมั่วเวิ่นฉิงจนไม่มีที่ซุกหัวนอนเช่นนี้เล่า มองจากมุมนี้แล้วต่อให้เย่าหวังกู่จะมีบุญคุณที่ชุบเลี้ยงมั่วเวิ่นฉิงมาแต่ก็ออกจะไร้เยื่อใยเกินไปหน่อยกระมัง
มู่ชิงอีเล่นปอยผมที่ตกลงมาตรงทรวงอกพลางครุ่นคิดบางอย่างแล้วเอ่ย “แต่…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากลนักนะ”
“ไม่ชอบมาพากล?” ไท่สื่อเหิงเอ่ยอย่างฉงนใจ หลายวันมานี้เขาไม่คิดสงสัยในสติปัญญาของมู่ชิงอีเลย แต่เขามองไม่ออกจริงๆ ว่ามีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลใดหรือเปล่า คนของเย่าหวังกู่แค่เห็นว่าหมดประโยชน์เลยถีบหัวส่งไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ต่อให้ลูกเลี้ยงจะเก่งกาจมากเพียงใดก็สู้ลูกแท้ๆ ไม่ได้อยู่ดี
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ ชั่วขณะนั้นนางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพียงแค่หมุนตัวหันไปเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการเอา”
ฮั่วซูเอ่ยยิ้มๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “แม่นางวางใจได้ มีอู๋ซินกับเทียนเฉวียนอยู่ หากคิดจะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนแย่งชิงหญ้าเซียนเก้าเมฆามาคงไม่ใช่ปัญหาแน่นอน” ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีทหารฝีมือดีอีกหกสิบคน ขอแค่คนเหล่านี้ปลอมตัวสักหน่อยก็คงไม่ต่างอะไรกับทหารในกองทัพจริงๆ บัดนี้ในเมืองเผิงมีเพียงสองคนที่นำทหารในราชสำนักติดตามมาด้วย พอเวลานั้นต่อให้สงสัยแค่ไหนก็สาวมาไม่ถึงพวกเขาแน่นอน
การจับปลาในน้ำขุ่น[1]ช่างมีความสุขเสียจริง
เวลาเพียงวันเดียวก็ทำเอาทั่วทั้งเมืองเผิงเกิดเหตุนองเลือดไม่ขาดสาย ในฐานะที่ปู้อวี้ถังเป็นผู้ว่าเมืองเผิงย่อมเกรี้ยวโกรธมากเป็นธรรมดา คนในยุทธภพจะทำเกินไปแล้ว ระยะนี้ก่อเรื่องวุ่นวายอึกทึกครึกโครมทั่วทั้งเมืองเผิงยังไม่พอ แต่ยังทำเอาประชาชนทั่วทั้งเมืองเผิงอกสั่นขวัญแขวนกันไปหมด
เขาอาศัยช่วงที่ซุนเจ๋อหลิงยังไม่กลับยืมกองทัพทหารราวพันคนและทหารที่เดิมทีประจำการอยู่ในเมืองเผิงปิดเมือง คนในยุทธภพออกได้แต่ห้ามเข้า หากกล้าตุกติกทำอะไรในเมืองเผิงก็ฆ่าตายสถานเดียว
ปู้อวี้ถังที่อยู่ในสภาวะเดือดดาลปฏิเสธแม้แต่คำร้องขอกองกำลังหนุนของสององค์ชาย ถึงขนาดส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงานว่าสององค์ชายร่วมปะทะกับคนในยุทธภพในคืนวันเดียวกัน แถมก่อเหตุชุลมุนนองเลือดจนวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดินอีกต่างหาก
ในคืนนั้นคนชุดดำที่เลือดอาบเต็มร่างกอดกล่องหยกสีขาววิ่งหนี ดวงตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาในเดิมทีก็แปรเปลี่ยนเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งและหวาดระแวง ทอประกายอารมณ์ดุดันดั่งสัตว์ร้ายราวกับหากใครมาขวางเขาไว้ก็จะถูกกัดทึ้งตายอย่างไร้ความปรานี
กระทั่งในที่สุดก็วิ่งมาถึงสถานที่ปลอดภัย เขาถึงชะงักฝีเท้าลงพลางหายใจหอบถี่ ปากก็พึมพำว่า ‘หญ้าเซียนเก้าเมฆา…หญ้าเซียนเก้าเมฆา’ ไม่หยุด ความปิติคลุ้มคลั่งทอประกายผ่านดวงตาในท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดขับให้น่ากลัวเป็นพิเศษ มืออันสั่นเทาของเขาหมายจะเปิดกล่องหยกในมือออก ยามเห็นรอยเลือดบนกล่องหยกมือที่สั่นเทาในเดิมทีของเขาก็ยิ่งสั่นแรงมากกว่าเดิม นี่เป็นสิ่งที่เขาช่วงชิงมาจากลูกพี่ลูกน้องของเขาเองกับมือ เลือดสีสดที่ย้อมไปทั่วกล่องหยกก็คือเลือดของลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเขานั่นเอง
“หญ้าเซียนเก้าเมฆา…” ในที่สุดเขาก็ได้มันมา ขอแค่ทานมันเข้าไป จากนี้เขาก็จะกลายเป็นยอดฝีมือแกร่งกล้าในใต้หล้าอย่างหันเวิ่นเทียน จากนั้นไม่ว่าชื่อเสียง อำนาจ เงินทอง สาวงาม อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น
แต่พอยิ่งใจร้อนก็เหมือนกล่องนั้นจะยิ่งเล่นตัวจนเปิดไม่ออกสักที กระทั่งเขาแทบอยากหยิบหินข้างกายมากระแทกใส่ภายใต้อารมณ์ฉุนเฉียวด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาที่อยู่ด้านในจะพลอยเสียหายไปด้วย ขณะที่เหงื่ออาบชุ่มศีรษะก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นกลางป่าเขาอันมืดมิด “เจ้าดูไม่ออกหรือว่าด้านบนผนึกไว้ด้วยกลอนศักดิ์สิทธิ์เจ็ดทวาร”
บุรุษผู้นั้นตกใจยกใหญ่ หยัดกายลุกขึ้นแล้วเอากล่องหยกสีขาวไปซ่อนไว้ด้านหลัง จากนั้นก็มองที่มาของเสียงด้วยท่าทีระแวง “ใครกัน ออกมานะ!”
“ไท่สื่อเหวินหวา ตระกูลผู้รอบรู้ในยุทธภพ” บนต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลนัก ไท่สื่อเหิงหันหลังพิงกิ่งไม้พลางยิ้มตาหยีมองคนด้านล่าง
“คุณชายเหวินหวา” เพียงแวบเดียวเขาก็จำไท่สื่อเหิงได้ เอ่ยเสียงติดเย็นชา “เจ้าก็คิดจะแย่งข้าด้วยหรือ” ในเมื่อเขาสามารถช่วงชิงหญ้าเซียนเก้าเมฆาและหลุดพ้นจากคนมากมายที่ตามรังควานเขาได้ย่อมบ่งบอกว่าฝีมือไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็พอรับมือกับคนที่มีวิชาตัวเบากระจอกๆ อย่างไท่สื่อเหิงได้แน่นอน
ราวกับไท่สื่อเหิงสัมผัสไอสังหารของเขาไม่ได้ ทว่ากลับเอียงศีรษะมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนเอ่ย “เซวียเจี้ยน เจ้าสำนักหุบเขาหมิงเจี้ยน คิดไม่ถึงว่าคนสุดท้ายจะเป็นเจ้าเสียได้” มีคนในยุทธภพที่ฝีมือเก่งกาจกว่าเขาอยู่ไม่น้อย เหตุที่เซวียเจี้ยนรอดมาเป็นคนสุดท้ายได้น่าจะเป็นเพราะเขาทำตัวสงบเสงี่ยม เพราะน้องชายของเขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออันดับต้นๆ รุ่นใหม่ในยุทธภพ อีกทั้งวิทยายุทธก็เหนือกว่าเขาอยู่มาก
“คนที่มาหาเจ้าไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นพวกเขาต่างหาก” ไท่สื่อเหิงชี้ไปยังรอบด้าน
เวลานี้เซวียเจี้ยนถึงค้นพบว่าจุดที่ตนอยู่ถูกคนล้อมไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว มีบุรุษสวมชุดดำพร้อมหน้ากากปิดหน้ากำลังยืนพิงใต้ต้นไม้มองเขาอยู่ไม่ไกลนักอย่างเงียบเชียบ ส่วนอีกฝั่งมีบุรุษหนุ่มสวมชุดบัณฑิตกำลังนั่งดีดลูกคิดด้วยท่วงท่าผ่อนคลายอยู่บนโขดหินใหญ่ แต่ในเมื่อเขาสามารถปรากฏตัวตรงนั้นได้โดยไร้สุ่มไร้เสียงก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าไม่ใช่บัณฑิตธรรมดาๆ แน่นอน
ห่างจากด้านหลังเขาไปเล็กน้อยมีหญิงสาวชุดดำใบหน้างดงามคนหนึ่ง ส่วนด้านหลังสาวชุดดำผู้นั้นก็มีหญิงสาวในชุดสีขาวพร้อมผ้าปิดหน้ายืนอยู่ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือมีบุรุษชุดดำถือธนูในมือยืนล้อมพวกนางสองคนไว้ด้วย อีกทั้งยังง้างคันธนูเตรียมปล่อยลูกศรแล้วทุกคัน ลูกศรที่เล่นแสงวิบวับต่างหันหัวพุ่งตรงมาที่เขา
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใครกัน”
เซวียเจี้ยนเอ่ยเสียงสั่นเครือ
ฮั่วซูยิ้มบางเอ่ย “พวกเราเป็นใครเจ้าไม่ต้องสนใจหรอก เพียงแค่วางของในมือลง เจ้าก็รอดไปจากที่นี่ได้”
“อย่าได้คิดเชียว!” เซวียเจี้ยนกอดกล่องหยกขาวไว้ในอ้อมอกอย่างหวาดกลัว เขาฆ่าคนตั้งมากมาย แถมยังฆ่าน้องชายของตนไปด้วย หากไม่ได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาไว้ในครอบครอง ต่อให้รอดไปได้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้ว ไม่สิ อนาถกว่าตายแล้วด้วยซ้ำ
[1]จับปลาในน้ำขุ่น สำนวนแปลว่า ฉกฉวยเอาผลประโยชน์ในช่วงเวลาชุลมุน