หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 381 พระโพธิสัตว์อสุรา (3)
เขาร้อนใจอยากเปิดกล่อง แต่เพราะการผนึกปิดของกลอนศักดิ์สิทธิ์เจ็ดทวารเลยทำให้เปิดไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
ไท่สื่อเหิงหัวเราะเย้ยทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างหดหู่ เขาอยู่ในแวดวงยุทธภพมานานจนคิดว่าตนมองเรื่องในยุทธภพทะลุปรุโปร่งทุกเรื่อง ทว่าวันนี้เขาเพิ่งมองทุกอย่างกระจ่างอย่างแท้จริงว่าคนในยุทธภพสกปรกและต่ำทรามมากเพียงใด ถึงขั้นฆ่าอาจารย์ ฆ่าศิษย์ ฆ่าพ่อ ฆ่าลูกเพียงเพราะหญ้าเซียนเก้าเมฆา กระทั่งยอมทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนคนเบื้องหลังที่ก่อเรื่องทุกอย่างกลับยังคงสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิม ฉับพลันรอยยิ้มของเขาก็จางลง เพราะเหตุนี้สองมือเรียวงามดั่งหยกคู่นั้นของนางจึงไม่แปดเปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว
ไท่สื่อเหิงถอนหายใจมองหญิงสาวในชุดสีขาวที่อยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่แวบหนึ่ง พลันลอบเอ่ยในใจว่า อวิ๋นเกอ น้องสาวของเจ้าใจเหี้ยมกว่าเจ้านัก แต่แบบนี้ก็ดี…เพราะบนโลกนี้ คนที่ใจเหี้ยมต่างหากถึงจะอยู่รอด
“อย่าเปลืองแรงอีกเลย นั่นเป็นกล่องที่ทำขึ้นจากหยกเย็นพันปี บัดนี้คนในใต้หล้าที่สามารถสะเดาะกลอนศักดิ์สิทธิ์เจ็ดทวารภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ความเป็นมาได้มีอยู่ไม่ถึงห้าคน เจ้าวางกล่องลงพื้นแล้วไปจากที่นี่เสียเถิด” สู้เจ้ากลับไปจัดการเรื่องหลังจากนี้จะดีกว่า ครั้นเห็นท่าทีหวาดกลัวจนใกล้บ้าเต็มทีเช่นนั้นของเซวียเจี้ยน ไท่สื่อเหิงก็เอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างอดไม่ได้
น่าเสียดายที่เซวียเจี้ยนไม่รับน้ำใจนั้น “ไม่…พวกเจ้าอย่าได้คิดจะแย่งสมบัติข้าไปเชียว” ใช่ว่าเซวียเจี้ยนจะบ้าเสียทีเดียว เขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใครหลายๆ คน ดังนั้นเขาเลยหมุนตัวกระโจนเข้าใส่ไท่สื่อเหิงที่อ่อนแอที่สุดในนั้นแทน
ทั้งๆ ที่กล่าวโน้มน้าวด้วยเจตนาอันดีแต่กลับประสบหายนะเสียได้ ไท่สื่อเหิงเองก็โมโหไม่น้อย ถึงแม้วิทยายุทธของเขาจะไม่ได้เรื่องแต่วิชาตัวเบากลับดีไม่หยอก ครั้นเห็นเซวียเจี้ยนกระโจนใส่ก็รีบเตะเท้าพุ่งตัวไปหาเทียนเฉวียนทันที “ช่วยด้วย สหายเทียนเฉวียน”
เทียนเฉวียนมองไท่สื่อเหิงด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง เพียงยกลูกคิดในมือขึ้นเขวี้ยงไปทางเซวียเจี้ยน เดิมทีท้องฟ้าก็มืดมิดอยู่แล้ว อีกทั้งลูกคิดนั้นก็พุ่งใส่อย่างฉับพลันและรวดเร็ว เซวียเจี้ยนยกกล่องหยกในมือขึ้นบังไว้ตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็มีลูกธนูปักลงบนข้อมือของเขาเสียงดัง สวบ! เซวียเจี้ยนกรีดร้อง “อ๊าก!” อย่างเจ็บปวด จากนั้นกล่องหยกในมือพลันตกลงพื้นทันที หลังจากมีเงาคนแวบปรากฏ กล่องหยกที่อาบไปด้วยเลือดสดก็ถูกเทียนเฉวียนช่วงชิงมาไว้ในมือเรียบร้อย
“ไม่นะ…คืนมาให้ข้า! คืนมาให้ข้า!” เซวียเจี้ยนดวงตาแดงก่ำเพราะโมโหอย่างสุดขีดแล้วกระโจนเข้าหาเทียนเฉวียนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นมีเสียงดัง สวบ! พร้อมสายลมเบาๆ พัดผ่าน จากนั้นก็ปรากฏลูกธนูที่แฝงนัยยะตักเตือนยิงลงมาปักไขว้ขวางหน้าเขาไว้พอดี
เทียนเฉวียนเช็ดรอยเลือดบนกล่องจนเกลี้ยงเกลาด้วยท่าทีแน่นิ่ง จากนั้นก็อุ้มกล่องหยกเดินไปตรงหน้ามู่ชิงอีแล้วมอบให้ด้วยท่าทีนอบน้อม “แม่นาง”
มู่ชิงอีโบกไม้โบกมือเป็นเชิงว่าให้เขาเก็บไว้เอง ทว่าเซวียเจี้ยนที่ไม่คิดล้มเลิกและโดนลูกธนูไปสองดอกกลับเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ตกลงพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ หญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นของข้า พวกเจ้าอย่าได้คิด! อย่าได้คิดจะเอาไปเชียว!”
มู่ชิงอีมองคนร่างกายสกปรกมอมแมมบนพื้นแวบหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ หมุนตัวแล้วเอ่ย “ไปกันเถิด”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ แม่นาง” หลังจากผ่านวันนี้ไปเทียนเฉวียนและฮั่วซูยอมจำนนต่อมู่ชิงอีอย่างแท้จริงแล้ว คนนอกอาจมองเห็นไม่ชัดแจ้ง แต่คนที่อยู่ข้างกายนางอย่างพวกเขากลับมองเห็นอย่างชัดเจนจนกระจ่าง สาวน้อยชุดขาวตรงหน้าที่ดูอ่อนโยนเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ทว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถวางอุบายทำเอาคนทั่วทั้งยุทธภพเข่นฆ่ากันชุลมุนเพียงเพราะหญ้าเซียนเก้าเมฆาของปลอมนี้ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งนอกและในเมืองเผิงวันนี้เรียกว่าแทบล้มอิทธิพลในยุทธภพของแคว้นเย่ว์ แคว้นหวา กระทั่งแคว้นเป่ยฮั่นหกถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียวอ
อีกทั้งเมืองเทียนเชวียยังสามารถฉกฉวยยามที่ยุทธภพชุลมุนวุ่นวายนี้เข้ามามีอิทธิพลในยุทธภพได้ด้วย
“เทียนเฉวียน อีกสองวันข้ากับฮั่วซูจะกลับเมืองหลวง เรื่องในยุทธภพคงต้องมอบหมายให้เจ้าต่อแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยออกคำสั่งเสียงเรียบระหว่างที่ย่างกรายช้าๆ อยู่ในป่าเขา
เทียนเฉวียนพยักหน้ารับอย่าเชื่อฟัง “ขอรับ ข้าน้อมรับคำสั่ง”
มู่ชิงอีพยักหน้าก่อนหันไปมองพวกเขาสามคนข้างกายแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็เลื่อนไปจับจ้องที่ร่างไท่สื่อเหิงพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไท่สื่อเหิง ท่านกลัวข้าหรือ”
ไท่สื่อเหิงผงะไปก่อนลูบจมูกปอยๆ ทว่ารอยยิ้มดูเจื่อนลงเล็กน้อย เขายอมรับว่าเขานึกกลัวสาวน้อยชุดขาวผู้นี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่ละม้ายคล้ายอวิ๋นเกอเหลือเกิน…แต่ว่า…
มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจเขา เพียงเอ่ยว่า “หากไม่อยากอยู่ต่อ ก็ไปได้ทุกเมื่อ” ต่อให้ตอนนี้นางบอกเขาว่านางคือกู้อวิ๋นเกอ ไท่สื่อเหิงคงยังไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำกระมัง เพราะเวลานี้มู่ชิงอีกลับไปเป็นกู้อวิ๋นเกออย่างในวันวานหรือกระทั่งแม่นางหว่านอวิ๋นในหอนางโลมชุ่ยหงไม่ได้อีกแล้ว
ไท่สื่อเหิงมองมู่ชิงอีที่เดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่จู่ๆ ก็หลุดหัวเราะเสียงเบาขึ้นมาพลางเร่งสับเท้าไล่ตามไป เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าหากติดตามแม่นางมู่ไปคงสนุกกว่าร่อนเร่อยู่ในยุทธภพเป็นไหนๆ ไม่แน่วันใดข้าอาจจะเขียนตำราประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใครออกมาได้สักเล่มก็เป็นได้”
ฮั่วซูเอ่ยชื่นชมอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “วิธีการของแม่นางสุดยอดจริงๆ เวลานี้คนในยุทธภพคงไม่มีเรี่ยวแรงใดตามรังควานเจ้าสำนักมั่วอีกแล้ว”
ไท่สื่อเหิงเหลือบมองฮั่วซูด้วยสายตาแปลกใจแวบหนึ่ง ยัยเด็กคนนี้ใสซื่อขนาดไหนกันถึงเชื่อเพียงว่าแม่นางมู่ทำสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะไม่ให้ใครไปวุ่นวายกับมั่วเวิ่นฉิงเท่านั้น
มู่ชิงอีทอดถอนหายใจเสียงเบา ก่อนแหงนหน้ามองแสงดาวบนท้องฟ้าอันมืดมิด “วันนี้…คงทำบาปไปไม่น้อย เห็นทีวันหน้าคงต้องทำเรื่องดีๆ หน่อยแล้ว เทียนเฉวียน เจ้าเอาของไปส่งให้จื้ออ๋องเถิด ระหวังหน่อยล่ะ อย่าถูกจื้ออ๋องลอบวางแผนทำร้ายเอา”
เทียนเฉวียนเก็บกล่องหยกไว้อย่างดี เอ่ยเสียงนอบน้อม “รับทราบแล้ว”
ณ หอที่มีแสงอรุณส่องผ่านเข้ามาในเมืองเผิง มั่วเวิ่นฉิงกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบๆ หากเป็นเมื่อหลายวันก่อนเขาคงไม่มีเวลาว่างมานั่งดื่มสุราในหอมู่หวาอย่างผ่อนคลายเช่นนี้ แต่วันนี้แตกต่างออกไป เพราะไม่มีใครในเมืองเผิงมาตามวุ่นวายเขาสักคน กระทั่งหอมู่หวาที่มีคนเหล่าสำนักดังในยุทธภพอาศัยกันแน่นหนายังเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด คนเหล่านี้ออกนอกเมืองไปตั้งแต่เมื่อวาน มั่วเวิ่นฉิงรู้ดีว่าพวกเขาคงไม่กลับมาแล้ว
อาศัยแค่กลิ่นอ่อนๆ และยากระตุ้นอารมณ์ฮึกเหิมเล็กน้อย นักสู้ทั่วทั้งยุทธภพก็พร้อมพลีชีพเพื่อกล่องหยกงดงามอย่าง ‘หญ้าเซียนเก้าเมฆา’ แล้ว
มั่วเวิ่นฉิงยกแก้วสุราขึ้นจิบพลันนึกถึงข้อเสนอของสาวน้อยชุดขาว ต่อให้กำลังกล่าวถึงความเป็นความตายของชีวิตคนมากมาย แต่หว่างคิ้วของสาวน้อยคนนี้กลับไม่แผ่ไอสังหารออกมาเลยสักนิด กระทั่งระหว่างที่กลอกดวงตาสุกใสไปมา เขากลับเห็นความเศร้าสร้อยและน่าสงสารที่เก็บซ่อนอีกต่างหาก
รูปโฉมดั่งพระโพธิสัตว์แต่จิตใจโหดเหี้ยมดั่งอสุรา ยามเมตตาโลกหล้าเหมือนเกิดใหม่ แต่ยามโหดร้ายขึ้นมาก็พร้อมทำให้โลกหล้าพังพินาศได้เช่นกัน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวลกำลังเดินขึ้นบันไดมา มู่ชิงอีก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ ครั้นเห็นมั่วเวิ่นฉิงก็ไม่แสดงท่าทีตกใจแต่อย่างใด เพียงแค่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าสำนักมั่วดูผ่อนคลายไม่น้อย”
“มั่วเวิ่นฉิง” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ เวลานี้เขาไม่ใช่เจ้าสำนักของเย่าหวังกู่แล้ว หว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นเย็นชาในเดิมทีก็คลายลงและสงบลงกว่าเมื่อก่อน เห็นได้ชัดว่าสำหรับเขาแล้วตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ไม่ใช่ตำแหน่งอันทรงเกียรติแต่เป็นภาระเสียมากกว่า
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางคลี่ยิ้มบาง เอ่ยรับคำอย่างรวดเร็ว “มั่วเวิ่นฉิง”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าเอ่ย “คนที่เจ้าอยากให้ข้าช่วย หากได้เจอกันข้าก็จะช่วยเจ้าเลย แต่หากไม่ได้เจอกัน เจ้าก็ส่งคนไปตามข้าเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้ารับ “ขอบคุณมาก”
“แล้วเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆา…” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดมั่วเวิ่นฉิงก็เปิดปากถามขึ้น