หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 383 ชิงอีกลับเมืองหลวง (1)
หลังจากสองมือปะทะกัน มู่หรงอวี้และอู๋ซินต่างก็เซถอยหลังกันไปคนละก้าว รอกระทั่งมู่หรงอวี้ยืนทรงตัวได้แล้ว มู่ชิงอีที่อยู่นอกประตูก็ถูกห้อมล้อมด้วยองครักษ์หลายสิบคนพร้อมธนูในมือที่ง้างลูกศรเล็งไปทางคนด้านในอย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าสำนัก อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น” หลิงซูเอ่ยโน้มน้าวเสียงขรึม
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก มู่ชิงอีที่อยู่นอกประตูคลี่ยิ้มบาง “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เจ้าสำนักจู ผู้อาวุโสหลิงซู วันหน้าพวกเราคงได้พบกันใหม่”
หลิงซูหลุบตาเอ่ยอมยิ้มน้อยๆ โดยไร้ซึ่งความโกรธ “แม่นางมู่ วันหน้าเจอกันใหม่”
ภายในจวนผู้ว่าเมืองเผิง ปู้อวี้ถังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องโถงรับแขกด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ส่วนภายในห้องมีหมอกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้หรงเซวียนอยู่
ปู้อวี้ถังแอบรู้สึกลึกๆ ว่าปีนี้เป็นปีที่โชคร้ายที่สุดในชั่วชีวิตเขาแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มคนในยุทธภพรบราเข่นฆ่ากัน กระทั่งทำเอาประเพณีชมดอกไม้ของเมืองเผิงที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีตัดจบงานอย่างรวดเร็ว เวลานี้แม้แต่ท่านอ๋องสองพระองค์ที่ฝ่าบาททรงส่งมายังสิ้นพระชนม์หนึ่งและบาดเจ็บหนึ่ง แถมล้วนเป็นองค์ชายที่มีสถานะสำคัญที่สุดอีกต่างหาก เวลานี้เขาเห็นศีรษะของตนใกล้ถูกบั่นขาดอยู่รำไรแล้ว
ไม่นานท่านหมอคนหนึ่งก็เดินออกมา ปู้อวี้ถังรีบลุกขึ้นรุดหน้าเดินไปจับเขาไว้พลันเอ่ยถาม “ท่านหมอ คนด้านในอาการเป็นเช่นใดบ้าง”
ท่านหมอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ไม่เป็นอะไรมาก พักฟื้นสักครึ่งเดือนก็หายแล้ว เพียงแต่เลือดไหลออกมามากเลยทำให้ดูอาการสาหัสก็เท่านั้น”
ปู้อวี้ถังผ่อนลมหายใจ พยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณท่านหมอมาก รบกวนท่านแล้ว” ท่านหมอพยักหน้ารับก่อนเดินออกไปต้มยา ปู้อวี้ถังเดินวนรอบห้องโถงรับแขกสองรอบพลางสบถด่าในใจ สองอ๋องออกมาด้วยกัน กระทั่งมีคนล้มตายไปไม่น้อย ทว่าอ๋องคนหนึ่งกลับสิ้นพระชนม์ ส่วนอีกคนกลับบาดเจ็บไม่ถือว่าสาหัสนัก หากบอกว่าไม่มีเงื่อนงำใดเลยใครจะเชื่อเล่า
ปู้อวี้ถังไม่มีอารมณ์มาสนใจการช่วงชิงระหว่างเหล่าองค์ชาย เพราะในเมื่อบัดนี้เหล่าอ๋องล้วนบาดเจ็บล้มตายกันในถิ่นของเขา ถึงอย่างไรเขาก็หนีไม่รอด ปู้อวี้ถังหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปเขียนหนังสือขอรับโทษในห้องหนังสือ
หากครั้งนี้เขารอดไปได้ก็ถือว่าโชคดี แต่หากต้องจบชีวิตลงเขาคงทำได้แค่โทษว่าตนเองชีวิตอาภัพแล้วกระมัง
ยามที่ข่าวการสิ้นพระชนม์ของจื้ออ๋องแพร่งพรายไปถึงเมืองหลวงเป็นช่วงเวลาที่หรงจิ่นกำลังนั่งเหม่อลอยเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ บนโต๊ะหนังสือไม่ไกลจากเขานักมีภาพวาดสาวงามที่เพิ่งวาดเสร็จยังไม่ทันใส่กรอบวางอยู่ ในภาพเป็นรูปสาวน้อยชุดขาวใบหน้าสะอาดหมดจดกำลังอุ้มฉินโบราณเครื่องหนึ่งนั่งอยู่ริมแม่น้ำพร้อมรอยยิ้ม รอบด้านเต็มไปด้วยดอกไม้ประหลาดงามสะพรั่ง บนกระแสน้ำเบื้องหน้าประดับประดาด้วยดอกบัวสีแดงสด สีสวยงดงามสะดุดตาแต่มิอาจกลบความงามของสาวน้อยชุดขาวได้เลย ทว่ากลับชวนให้ละสายตาไม่ได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นมากกว่า ราวกับสาวน้อยชุดขาวผู้นั้นเป็นความงดงามเพียงหนึ่งเดียวในโลกท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นวุ่นวายทั้งสิ้น
สาวน้อยชุดขาวย่อมเป็นมู่ชิงอี เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากมู่ชิงอีก็คือหว่างคิ้วของสาวน้อยผู้นั้นมีสัญลักษณ์สีทองขับให้ดูโดดเด่นราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน
หรงจิ่นมองภาพวาดบนโต๊ะด้วยท่าทีรักใคร่ ถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ไม่เจอชิงชิงมาหลายวันแล้วสินะ”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…” เซวียเริ่นพุ่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ กระทั่งลืมรายงานตัวก่อนด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่หรงจิ่นใจกว้างต่อคนที่ไว้วางใจเลยแค่เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอันใด”
เซวียเริ่นหายใจหอบถี่ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นมีแต่ความตื่นตระหนก “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ภายนอกต่างเล่าลือกันว่าจื้ออ๋อง…จื้ออ๋องทรงสิ้นพระชนม์แล้ว”
หรงจิ่นชะงักพัดในมือเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ เอ่ยเสียงเรียบ “ตายก็ตายไปสิ เกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า”
“ท่านอ๋องโปรดระวังคำพูดด้วย” เซวียเริ่นเอ่ยเตือนอย่างใจเย็น “ท่านอ๋องเริ่มเข้าไปฟังงานในราชสำนักแล้วย่อมไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไป คำพูดเหล่านี้ห้ามเอาไปพูดข้างนอกเด็ดขาด จื้ออ๋อง…เป็นถึงพี่ชายแท้ๆ ของท่านอ๋อง อีกทั้งเป็นโอรสของฮองเฮาแห่งราชสำนักด้วย”
หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยเชิงเกียจคร้าน “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
เซวียเริ่นชะงักไปแล้วรีบเอ่ย “ท่านอ๋อง ถึงแม้พระศพของจื้ออ๋องจะยังส่งมาไม่ถึงเมืองหลวง แต่จวนจื้ออ๋องได้จัดเตรียมโถงตั้งพระศพไว้แล้ว ตามหลักการท่านอ๋องต้องแวะไปกราบไหว้ก่อน” เซวียเริ่นก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องนี้ควรโทษใครดี ยามที่ท่านอ๋องควรเรียนรู้ขนบประเพณีและมารยาทในช่วงวัยเยาว์กลับถูกกักขังไว้ในตำหนักเหมย แถมไม่มีใครสนใจเขาด้วย จนกระทั่งเติบใหญ่มาก็มักประชวรอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาทเองก็ทรงโปรดปรานเขามากจนไม่มีใครกล้าแตะ จึงเป็นผลให้บัดนี้ท่านอ๋องแทบไม่เห็นขนบธรรมเนียมใดในสายตาเลย หากว่าด้วยสติปัญญาของท่านอ๋องก็น่าจะพอมองทุกอย่างออกนี่นา บางเรื่องก็ควรสอนตั้งแต่เด็กจริงๆ ถ้าวันใดท่านอ๋องถูกฝ่าบาทตัดหางปล่อยวัดเพราะไม่รู้ขนบธรรมเนียมเหล่านี้ วันหน้าเขาตายไปจะบอกพระสนมเหมยอย่างไร
ครั้นเห็นท่าทีเหมือนเซวียเริ่นจะสาธยายอีกยาว หรงจิ่นก็เหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งเอ่ย “หุบปาก! ข้าไปก็ได้!” ไม่รู้ว่าตาแก่นี่ชอบอ้างว่า ‘ถ้าหัวหน้าผู้ดูแลกู้รู้เข้าล่ะก็…’ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร…ใช้คนที่มีอิทธิพลมาข่มขู่เขาหรือ เดี๋ยวรอชิงชิงกลับมาจะเฉดหัวไล่กลับไปใช้ชีวิตยามแก่ที่บ้านเสียเลย!
ครั้นเห็นหรงจิ่นลุกขึ้นด้วยสีหน้าถมึงทึง เซวียเริ่นก็เปิดปากหมายจะเอ่ยเตือนอีกสักหน่อย แต่พอขบคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าปล่อยให้หน้าบูดบึ้งเช่นนี้ไปแล้วกัน หากองค์ชายเก้าไปเคารพพระศพจื้ออ๋องด้วยรอยยิ้ม…นั่นต่างหากที่เรียกว่าถึงคราวซวย
ถึงแม้ข่าวจะแพร่สะพัดมาได้ไม่นาน แต่ภายในจวนจื้ออ๋องกลับเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้โศกเศร้าพร้อมแขวนผ้าสีขาวทั่วทั้งจวน เหล่าบ่าวรับใช้ในจวนต่างสวมชุดไว้อาลัย โถงตั้งพระศพถูกจัดวางสิ่งของอย่างเหมาะสม โลงศพที่ทำจากไม้หนานมู่สีทองพร้อมลวดลายอุ้งเท้ามังกรสีทองถูกวางอยู่ภายในโถง เวลานี้รอเพียงพระศพของจื้ออ๋องส่งกลับมาแล้ววางลงไปเท่านั้น
“อวี้อ๋องเสด็จ!”
เสียงแหลมสูงดังขึ้น ไม่ว่าเสียงร่ำไห้คร่ำครวญหรือเสียงเอ่ยเตือนแผ่วเบาต่างก็ชะงักลงทั้งสิ้น จากนั้นทุกคนก็มองไปทางประตูด้วยท่าทีหวาดผวา จื้ออ๋องล่วงลับไปแล้ว อวี้อ๋องยังคิดจะมาป่วนงานถึงที่อีกหรือ
พระชายาจื้อที่อายุล่วงเลยมาถึงสี่สิบปีดูชราลงเป็นสิบปีในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ครั้นได้ยินเช่นนั้นสีหน้าที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็ยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ นางประคองซื่อจื่อน้อยลุกขึ้นพลางมองไปทางองค์ชายชุดดำที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“น้องเก้า ช้าก่อน” พระชายาจื้อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วรุดหน้าเดินเข้ามาขวางหรงจิ่นไว้ ท่านอ๋องทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ถึงแม้พระศพจะยังมาไม่ถึงแต่สถานที่อย่างโถงตั้งศพแห่งนี้ก็ห้ามใครเข้ามาก่อกวนเด็ดขาด
หรงจิ่นมองพระชายาจื้อด้วยท่าทีงุนงง “พี่สะใภ้กำลังจะทำอะไร”
พระชายจื้อพยายามฝืนร่างกายที่กำลังโงนเงนไปมาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว น้องเก้าโปรดให้ท่านอ๋องจากไปอย่างสงบด้วยเถิด” ครั้นพูดถึงตรงนี้ พระชายาจื้อก็อดปาดน้ำตาไม่ได้ ถึงแม้ท่านอ๋องของนางจะไม่ใช่องค์ชายคนโปรดของฝ่าบาท แต่กระนั้นก็เป็นถึงโอรสของฮองเฮา ขอแค่เขายังอยู่ย่อมไม่มีใครกล้าดูแคลนจวนจื้ออ๋องแน่นอน ทว่าบัดนี้เหลือเพียงพวกเขาแม่ลูกเท่านั้น
หรงจิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “ข้ามาจุดธูปไหว้เสด็จพี่ แบบนี้ถือว่าข้าไม่ให้เสด็จพี่จากไปอย่างสงบอย่างไรหรือ” ช่างน่าฉงนสิ้นดี เป็นเพราะเซวียเริ่นรั้นให้เขามาแท้ๆ แต่พวกเขาดันไม่ให้เขาเข้าไปเสียอย่างนั้น!
“มาจุดธูปไหว้หรือ” พระชายาจื้อยังไม่ทันได้สติดี
หรงจิ่นเอ่ยหน้านิ่ง “เช่นนั้นข้าจะมาทำไมเล่า” จะให้ก่อความวุ่นวายในโถงตั้งศพ? ระหว่างเขากับหรงหวงไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งขนาดนั้นเสียหน่อย