หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 393 พระราชโองการศักดิ์สิทธิ์ (4)
หรงเหยี่ยนดื่มชาแล้วถอนหายใจแล้วเอ่ย “ครั้งนี้ตอนที่พี่ใหญ่ออกไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการจากลาตลอดไป…น้องเก้าออกไปครั้งนี้ไม่พบอันตรายอะไรใช่หรือไม่”
หรงจิ่นยิ้มเยาะในใจ เลิกคิ้วเอ่ย “อันตราย? ใครหน้าไหนไม่มีตากล้ามาหาเรื่องข้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะชอบความครึกครื้น ใช่ว่าที่ไหนครึกครื้นก็ไปที่นั่น”
หรงเหยี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกหรงจิ่นพูดจาเสียดแทง ยิ้มเอ่ย “น้องเก้าพูดถูกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามต่อไปเมื่อออกไปก็ควรจะระวังไว้ดีกว่า เพราะภายนอกไม่ได้ปลอดภัยเท่าในเมืองหลวง”
แม้ว่าเรื่องของหรงหวงอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหรงจิ่น แต่หรงเหยี่ยนยังคงกังวลในใจเล็กน้อยเมื่อหรงจิ่นหายตัวไปในทันทีที่ออกจากเมืองหลวง คนในราชวงศ์มักจะชอบที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือของพวกเขาเอง บางครั้งหากมีสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมก็จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หรงจิ่นแค่นเสียงยิ้มเยาะ “ขอบคุณพี่สี่ที่เป็นห่วง แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำจนวิ่งออกไปหาเรื่องอยู่ด้านนอก”
สีหน้าของบรรดาองค์ชายดูแปลกไปเล็กน้อย นึกถึงคำพูดที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ดุพวกเขาตอนที่หรงจิ่นออกจากเมืองหลวงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ความหมายทั้งหมดในคำพูดของเสด็จพ่อก็คือเป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้บีบคั้นหรงจิ่น ทำให้เขาออกนอกเมืองหลวงไปเพราะความโกรธเคือง ทันใดนั้นบรรดาองค์ชายก็รู้สึกว่าถูกใส่ร้ายทันที ต่อให้พวกเขามีความคิดที่จะบีบบังคับหรงจิ่น แต่วันนั้นพวกเขายังไม่ทันได้บีบบังคับ หรงจิ่นก็หนีไปเสียแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อพวกเขาได้รับข่าว ในเมืองหลวงก็ได้มีการถกเถียงข่าวลือกันไปต่างๆ นาๆ แล้ว แต่องค์ชายเก้ากลับโบกมือลาแล้วหายตัวไปในทันที กลายเป็นบรรดาพวกเขาพี่น้องเหล่านี้ที่ถูกใส่ความว่าเป็นคนร้าย
“กราบทูลท่านอ๋องทุกท่าน มีขันทีจากในวังมา พระชายาเชิญบรรดาท่านอ๋องออกไปรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลจวนจื้ออ๋องรีบมารายงาน ทุกคนต่างก็ตกใจ อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันด้วยความคิดที่แตกต่างกันไปต่างๆ นาๆ เจี่ยงปินพึ่งจะถ่ายทอดพระราชโองการแล้วกลับวังไป เหตุใดถึงได้กลับมาอีก หรือว่าเสด็จพ่อมีความคิดอะไรอีก?
ไม่มีเวลามาคิดมาก ทุกคนรีบจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปรับราชโองการ
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา หรงไหวบุตรชายพระชายาเอกคนโตของรัชทายาท ซึ่งเป็นหลายชายคนโตของเรา คุณธรรมสูงส่ง ฉลาดเฉลียวกตัญญู วันนี้รัชทายาทจากไป ด้วยความสงสาร จึงแต่งตั้งเป็นอ๋อง นามว่าฉิน…จบราชโองการ!” เมื่อเจี่ยงปินอ่านราชโองการจบก็ม้วนเก็บ แล้วมอบให้จื้ออ๋องซื่อจื่อกับพระชายาจื้อด้วยความเคารพ ยิ้มเอ่ย “ฉินอ๋อง ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จื้ออ๋องซื่อจื่อรับพระราชโองการมาทั้งน้ำตา “หลานขอบพระทัยเสด็จปู่ที่เมตตา ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เจี่ยงปินรีบพยุงเขาลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าแม้ว่าองค์รัชทายาทจะสิ้นพระชนม์ แต่ฉินอ๋องยังมีเสด็จปู่กับเสด็จย่าอยู่ ท่านอ๋องควรกตัญญูต่อพระชายาองค์รัชทายาท แบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทและแคว้นเย่ว์”
“หลานจะปฏิบัติตามคำสอนของเสด็จปู่” จื้ออ๋องซื่อจื่อ ซึ่งนับตั้งแต่นี้ต่อไปควรถูกเรียกว่าฉินอ๋องตอบด้วยความนอบน้อม
เจี่ยงปินไม่กล้าอยู่นาน กล่าวแสดงความยินดีสองสามประโยคก่อนจะหันหลังกล่าวลา
ในจวนจื้ออ๋องเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของบรรดาองค์ชายดูแย่เล็กน้อย บุตรชายรัชทายาทที่ล่วงลับไปแล้ว ซ้ำยังเป็นหลานชายคนโตอย่างสมเหตุสมผลของฮ่องเต้ เป็นหลานชายคนแรกที่ได้ขึ้นเป็นอ๋อง บรรดาศักดิ์เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้หรงไหวเทียบกับองค์ชายคนใดก็ได้ อย่าลืมว่าไม่เพียงแต่บรรดาหลานๆ แม้แต่ในบรรดาบุตรชายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ องค์ชายสิบกับองค์ชายสิบเอ็ดยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องเลยด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากจวนจื้ออ๋อง หรงจิ่นกับมู่ชิงอีก็เดินอยู่ข้างกันบนถนนใหญ่ที่ว่างเปล่า มู่ชิงอีหันไปมองหรงจิ่น ยิ้มเอ่ย “เป็นอะไรไป ไม่พอใจหรือเพคะ”
หรงจิ่นสบถเบาๆ มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ท่านมีอะไรให้ไม่พอใจกัน ท่านอายุเพียงสิบเก้าปีก็ได้แต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว หรงไหวอายุสามสิบกว่าปีแล้วกว่าจะได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง บิดาของเขาเป็นองค์รัชทายาท แต่บิดาของท่านเป็นถึงฮ่องเต้เชียวนะ” บรรดาองค์ชายเหล่านี้มีความต้องการมากเกินไปแล้ว หากคนอื่นมีมากกว่าพวกเขาเพียงนิดเดียวก็รู้สึกไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพวกเขาได้รับมากกว่าคนอื่นเสียอีก
หรงจิ่นถอนหายใจเบาๆ มองไปที่มู่ชิงอีอย่างไม่พอใจเอ่ย “ชิงชิงคิดว่าข้าไม่พอใจเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ” มู่ชิงอียักไหล่ ยิ้มเอ่ย “หรือว่าไม่ใช่เล่า ท่านไม่พอใจตั้งแต่ออกมาจากจวนจื้ออ๋องแล้วไม่ใช่หรือ”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่สนเสียหน่อยว่าเขาจะแต่งตั้งหรงไหวเป็นอะไร ข้ากำลังคิดว่า…ไม่ควรหวังในเรื่องอันใดทั้งนั้น!” มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ ไม่แปลกใจเลยที่หรงจิ่นแอบเลี้ยงทหารม้าไว้ทำการก่อกบฏ ตั้งแต่เริ่มแรกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่เคยเห็นหรงจิ่นเป็นหนึ่งในตัวเลือกผู้สืบทอด ไม่คิดแม้แต่จะให้โอกาสเขา ดังนั้นแม้ว่าหรงจิ่นจะเข้าราชสำนักแล้ว แม้ว่าหรงหวงจะเสียชีวิต ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ต้องการใครสักคนมาคานสมดุลอำนาจ แต่กลับไม่ได้นึกถึงหรงจิ่น แล้วเลือกที่จะสนับสนุนหรงไหวผู้ที่น่าจะล้มลงไปแล้ว
หรงไหว หรงเซวียน หรงเหยี่ยนยังคงอยู่ในสามอำนาจที่ตรงข้ามกัน ตั้งแต่แรกเริ่มฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ได้กีดกันหรงจิ่นออกจากอำนาจแล้ว
“อำนาจสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ” มู่ชิงอีอดถามเบาๆ ไม่ได้
หรงจิ่นจับมือนางอย่างเปิดเผย ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “แน่นอนว่าสำคัญ หากอำนาจไม่สำคัญ…ชิงชิง เหตุใดตระกูลกู้ถึงได้ถูกทำลาย เหตุใดเจ้ากับข้าถึงต้องคอยก้าวเดินอย่างระมัดระวังจนไม่มีอิสระเช่นนี้” หากมีอำนาจ ตอนนั้นเสด็จแม่ก็คงไม่ต้องเข้าวัง นางก็คงไม่ต้องจากไปเร็ว ถ้าหากมีอำนาจ เขาคงพูดได้ชัดก่อนที่จะอายุเจ็ดแปดขวบ หลังจากอายุแปดขวบก็เขาคงไม่ต้องดิ้นรนต่อความตายครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบขาดใจ และในเวลานี้เขาก็คงไม่ต้องรู้สึกผิดที่ต้องให้ชิงชิงเปลี่ยนชื่อแซ่แต่งตัวเป็นชายเพื่ออยู่ข้างกายตัวเอง
เขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างและลึกล้ำดั่งภูเขา เห็นอำนาจเหมือนเป็นขยะ เขาเป็นองค์ชายแห่งโอรสสวรรค์ คำว่าอำนาจได้ถูกฝังลึกไว้ในหัวใจของเขาตั้งแต่เขารู้ความ หากไม่มีอำนาจเขาก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำไม่ได้ ไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองต้องการปกป้องได้ สักวันหนึ่งเขาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้า เหยียบย่ำทุกคนด้วยฝ่าเท้าของเขา
มู่ชิงอีหรี่ตาเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่หรงจิ่นพูดนั้นถูกต้อง แม้ว่าจะไม่มีหรงจิ่น นางก็จะไม่ละทิ้งความเกลียดชังไว้ข้างหลังแล้วเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่งไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลกเหมือนพี่ใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมากู้อวิ๋นเกอก็เป็นคนเรียบง่ายมาตลอด ดังนั้นนางจึงได้มาอยู่กับหรงจิ่น เมื่อนึกถึงความโหดร้ายของตัวเองที่มีต่อคนในยุทธภพเหล่านั้นและหรงหวงในเมืองเผิง ทันใดนั้นมู่ชิงอีก็รู้สึกว่าความสงสารของตัวเองนั้นช่างน่าขันเสียจริง
“ชิงชิงเสียใจหรือ” หรงจิ่นเอ่ยถาม
มู่ชิงอีส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ บุญคุณที่ท่านช่วยหม่อมฉันแก้แค้น หม่อมฉันจะช่วยท่านไปสู่ความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบได้ และช่วยสนับสนุนความทะเยอทะยานของท่าน” หรงจิ่นไม่ใช่คนรักความสงบ หากเขาเป็นคนรักความสงบก็จะไม่มีอวี้อ๋อง เจ้าเมืองเทียนเชวีย และคุณชายอวิ๋นอิ่นในวันนี้ ในโลกนี้ก็มีทั้งพ่อแม่พี่น้อง แต่ก็ไม่มีใครดีกับนางไปกว่าหรงจิ่น นางเต็มใจที่จะสนับสนุนอุดมการณ์ของเขา
เดิมทีบนถนนใหญ่ก็ไม่มีคน แต่เสียงพูดของมู่ชิงอีนั้นเบาราวกับเสียงกระซิบ หากไม่ใช่เพราะหรงจิ่นยืนอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะไม่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่มู่ชิงอีกล่าวนั้นทำให้เขามีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กระทั่งความรู้สึกหดหู่เพราะฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แต่งตั้งหรงไหวอย่างกะทันหันจนทำให้แผนที่วางไว้วุ่นวายในเมื่อครู่ก็ได้หายไปจนสิ้น
“ชิงชิงพูดถึงบุญคุณอะไรกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ” หรงจิ่นยิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าเป็นของชิงชิง และชิงชิงก็เป็นของข้า แน่นอนว่าต้องอยู่กับข้า”