หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 394 ความรักจากฮ่องเต้ที่ยากจะได้รับ (1)
มู่ชิงอีไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ในคืนที่มืดมิด รอยยิ้มอันงดงามของชายหนุ่มชุดดำและใบหน้าละเอียดอ่อนที่โดดเด่นของสตรีวัยสาวที่สวมชุดสีขาว ทำให้ถนนที่ว่างเปล่าดูงดงามยิ่งขึ้น
“อวี้อ๋องโปรดช้าก่อน” ด้านหลังมีใครบางคนรีบวิ่งตามมา เมื่อทั้งสองหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นขันทีและองครักษ์ในวัง คนที่เดินนำหน้าเอ่ยด้วยความเคารพว่า “อวี้อ๋อง ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ฟ้ามืดแล้ว ยังจะเข้าวังทำไมอีก ไม่ไป!”
คนที่มาเอ่ยด้วยความลำบากใจ “นี่…นี่คือรับสั่งของฝ่าบาท ขอองค์ชายโปรดเข้าใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่นถอนหายใจพลางเอ่ย “ข้าเหนื่อยแล้ว รู้สึกไม่สบาย!” พูดจบก็ดึงมู่ชิงอีเดินมุ่งหน้าไปยังจวนอวี้อ๋องอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะมีสีหน้าอย่างไร บรรดาคนที่อยู่ข้างหลังถึงกับพูดไม่ออก ‘บอกว่ารู้สึกไม่สบาย แต่องค์ชายเก้ายังสามารถวิ่งได้เร็วเช่นนี้ หากร่างกายแข็งแรงจะไม่สามารถบินได้เลยหรือ’
แต่พวกเขาไม่กล้าใช้กำลังกับองค์ชายเก้าผู้นี้ จึงทำได้เพียงหันหลังกลับวังไปรายงาน
ในห้องตำราหลวง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง เมื่อได้ยินองครักษ์กลับมารายงาน ก็ตรัสเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรารู้แล้ว พวกเจ้าถอยออกไปเถิด”
ทุกคนรีบถอยออกไปด้วยความเคารพ ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกทอดถอนใจกับความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อองค์ชายเก้า การที่กล้าหลบเลี่ยงรับสั่งเข้าเฝ้าของฮ่องเต้เช่นนี้ถือได้ว่ามีโทษที่ขัดต่อราชโองการโดยไม่ให้ความเคารพ แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้กริ้วเลยแม้แต่น้อย ปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าทุกคนถอยออกไปแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็จ้องมองตำหนักที่สวยงามอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา ถอนหายใจพลางตรัสถาม “เจี่ยงปิน จิ่นเอ๋อร์กำลังโกรธเราอยู่หรือ”
เจี่ยงปินมองดูสีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว องค์ชายเก้าทรงมีพลานามัยไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ คาดว่าพระองค์คงจะประชวรจริงๆ พรุ่งนี้องค์ชายเก้าจะต้องเข้าวังมาคารวะฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแก้ตัวแทนเขา มีหรือที่เราจะไม่รู้นิสัยของจิ่นเอ๋อร์ คาดว่าคงเป็นเพราะเราแต่งตั้งฉินอ๋องจึงทำให้เขาไม่พอใจ” เจี่ยงปินแอบถอนหายใจพลางลอบบ่นในใจ ‘หากท่านกังวลว่าองค์ชายเก้าจะไม่พอใจ เหตุใดจึงแต่งตั้งฉินอ๋องเล่า หากท่านตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะแต่งตั้งฉินอ๋อง แล้วเหตุใดจึงต้องสนใจว่าองค์ชายเก้าจะพอใจหรือไม่ด้วยเล่า’
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์วางพู่กันลง ถอนหายใจพลางตรัสขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร เราก็ยังคงหวังว่าจิ่นเอ๋อร์จะมีชีวิตที่สงบสุขและมั่นคง ไม่เข้าไปพัวพันกับเรื่องขัดแย้งเหล่านี้” เพียงแต่บุตรชายกลับยากที่จะเข้าใจความคิดของพ่อ เมื่อถึงวัยอันสมควรก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องอำนาจ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายหน้า หยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน ตรัสถามขึ้นมาว่า “จวงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินมาว่าสลบไปตอนอยู่ที่จวนจื้ออ๋องไม่ใช่หรือ ฟื้นแล้วหรือยัง”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เจี่ยงปินก็รู้ว่าฮ่องเต้ไม่พอพระทยจวงอ๋องเล็กน้อย แม้ว่าจะทำเพื่อปัดเป่าข่าวลือด้านนอก แต่การที่ทั้งคุกเข่าทั้งสลบไปในจวนจื้ออ๋องนั้นดูเหมือนแสดงละครมากเกินไป จึงไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้จะไม่พอพระทัย
เจี่ยงปินเอ่ยอย่างเคารพ “กราบทูลฝ่าบาท คนจากจวนจวงอ๋องมารายงานว่าองค์ชายฟื้นแล้ว อาการบาดเจ็บก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้าพลางตรัส “เราก็เดาว่าเขาคงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก จริงสิ เจ้าเด็กตระกูลหนานกงผู้นั้น…นามว่าหนานกงอวี้ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าเขาอยากจะไปประจำการที่ชายแดนหรือ”
หนานกงเจวี๋ยตระกูลหนานกงมีบุตรชาย หนานกงอี้บุตรชายคนโตปีนี้อายุสามสิบสองปีแล้ว แทนที่จะติดตามหนานกงเจวี๋ยผู้เป็นพ่อ แต่กลับเข้ารับราชการโดยสอบจอหงวนจนได้เป็นขุนนางพลเรือน ส่วนหนานกงอวี้บุตรชายคนที่สองพึ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี แต่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับหนานกงเจวี๋ยมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่านิสัยของเขาแตกต่างจากคนในตระกูลหนานกงเล็กน้อย หรือเอ่ยได้ว่าเขาค่อนข้างเหมือนหนานกงเจวี๋ยตอนวัยหนุ่ม
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นว่า “กลับไปถ่ายทอดคำสั่งแก่กระทรวงขุนนางให้แต่งตั้งหนานกงอวี้เป็นแม่ทัพระดับสาม ประจำการอยู่ที่…ชิงโจว” แม่ทัพรักษาการณ์ของชิงโจวคือซุนเจ๋อหลิง ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาการของหนานกงเจวี๋ย การส่งหนานกงอวี้ไปฝึกฝนที่นั่นนั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว หากสำเร็จ ในภายภาคหน้าแคว้นเย่ว์ก็จะมีแม่ทัพเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
พิธีพระศพขององค์รัชทายาทเต้ากง บรรดาผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์ในเมืองหลวงล้วนมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ตระกูลโจวซึ่งเป็นตระกูลเดิมของฮองเฮานั้นเป็นพรรคพวกของจื้ออ๋อง ซึ่งตอนนี้ควรจะเรียกได้ว่าเป็นตระกูลของฉินอ๋อง กับพรรคพวกของจวงอ๋องนำโดยตระกูลหนานกงคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ หลังจากพิธีพระศพขององค์รัชทายาทผ่านพ้นไปแล้ว ถึงจะเป็นช่วงเริ่มต้นการต่อสู้ที่แท้จริง
เนื่องจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว ทั้งแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมเป็นรัชทายาท ทั้งแต่งตั้งเป็นฉินอ๋อง อำนาจของจวนจื้ออ๋องโดยพื้นฐานแล้วเลยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และฉินอ๋องที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งก็ได้ไปถวายงานอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ให้ความสำคัญกับฉินอ๋อง เมื่อเทียบกันแล้วองค์ชายเก้าที่ก่อเรื่องจนทำให้คนตื่นตระหนกก่อนหน้านี้กลับไม่ได้เป็นที่สะดุดตาแล้ว แม้ว่าจะเข้าประชุมราชสำนักแต่กลับไม่ได้มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่ประชุมราชสำนักก็ยังขอลาบ้างเป็นครั้งคราว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้สนใจ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตำหนิองค์ชายเก้าก็ยังคงไม่ออมมือเช่นกัน มีคนคิดว่าองค์ชายเก้ากำลังจะสูญเสียความโปรดปรานแล้วจึงลองฟ้องร้องกล่าวโทษ แต่ไม่ถึงสองวันฝ่ายตรวจการณ์ที่เอ่ยโทษก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง
อีกด้านหนึ่ง ฮองเฮาสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไป ในวังหลวงจึงเริ่มระส่ำระส่าย ฮองเฮาทำทุกอย่างเพื่อกดดันหนานกงเสียนเต๋อเฟย แต่หนานกงเสียนเกิดในตระกูลทหารจึงไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียว ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งราชสำนักทั้งวังหลังต่างก็เกิดความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้หรงจิ่นจึงได้นั่งดูละครพลางฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน
ในห้องตำราหลวง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองดูบรรดาบุตรชายและหลานชายที่ยืนอยู่ด้านล่าง สายตาเย็นชาและห่างเหินราวกับว่านั่นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ว่าดวงตาคู่นั้นถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกที่ร้อยเส้นลูกปัดสีทอง ทำให้ไม่สามารถเห็นสีหน้าที่แท้จริงของเขาได้
“เรื่องของปู้อวี้ถังผู้ว่าราชการเมืองเผิง พวกเจ้าคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร” เดิมทีผู้ว่าราชการเล็กๆ ระดับห้าอย่างปู้อวี้ถังไม่จำเป็นต้องนำมาหารือในราชสำนัก แต่ว่าปู้อวี้ถังเป็นข้าราชการในเผิงโจวมาหลายปีได้รับความชื่นชมจากราษฎรไม่น้อย ครั้งนี้หลังจากถูกควบคุมตัวเข้าเมืองหลวงก็มีราษฎรจำนวนไม่น้อยจากเมืองเผิงมาเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ปู้อวี้ถัง แม้ว่าราชวงศ์จะสูงส่งในใต้หล้า แต่กลับไม่สามารถละเลยความรู้สึกของราษฎรได้ ดังนั้นปู้อวี้ถังผู้ซึ่งควรถูกประหารชีวิตในทันที จึงมีชีวิตอยู่จนกระทั่งพิธีพระศพของหรงหวงสิ้นสุดลง
หรงเซวียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดปิดปากเงียบ ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด หากขอร้องแทนปู้อวี้ถัง คนนอกก็จะคิดว่าเขาเป็นพรรคพวกเดียวกันกับปู้อวี้ถังและร่วมมือกันฆ่าหรงหวง หากขอร้องให้มีการลงโทษอย่างรุนแรง เกรงว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาต้องการฆ่าปิดปาก
หรงไหวฉินอ๋องก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ปู้อวี้ถังบกพร่องในการคุ้มกันองค์ชาย เป็นเหตุให้บิดาของข้าถึงแก่ความตาย ถือเป็นความประมาทเลินเล่อ หลานขอร้องเสด็จปู่ให้ประหารปู้อวี้ถัง เพื่อปลอบโยนวิญญาณของบิดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอ๋องพึ่งจะสูญเสียบิดา สำหรับเรื่องของปู้อวี้ถังแล้ว ต่อให้เขาบอกว่าจะหั่นปู้อวี้ถังเป็นหมื่นชิ้นก็จะไม่มีใครว่าอะไร
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่ตอบอะไร กวาดตามองบรรดาองค์ชายที่อยู่ข้างล่างแล้วตรัสเอ่ยว่า “ตวนอ๋อง เจ้าว่าอย่างไร”
ตวนอ๋องขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความนอบน้อม “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการที่ปู้อวี้ถังละเลยหน้าที่นั้นมีความผิด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้มีผลงานในการปกครองเมืองเผิงเป็นอย่างดี แม้ว่าจะนำผลงานมาหักล้างไม่ได้ แต่ขอให้เสด็จพ่อไว้ชีวิตเขาเพื่อเห็นแก่ราษฎรเมืองเผิงด้วยเถิด”