หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 410 ลอบสังหารในพระราชวัง (2)
ตอนนี้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์รู้สึกสบายใจที่กู้หลิวอวิ๋นอยู่กับหรงจิ่น
ท่ามกลางความสนใจของทุกคน มู่ชิงอีเดินกลับไปอยู่ข้างหรงจิ่น ถือพัดไม้จันทน์แกะสลักดอกไม้เล่นอยู่ในมือ หรงจิ่นเลิกคิ้ว เหลือบมองด้วยรอยยิ้ม “สมแล้วที่เป็นสิ่งของของสำนักเย่าหวังกู่ จื่อชิงถือพัดชิ้นนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
มันคือพัดที่ไม่เลวจริงๆ แต่คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวพัด แต่อยู่ที่จี้พัดที่ดูไม่โดดเด่น จี้พัดร้อยจากไข่มุกสีเขียวมรกตสองเม็ด ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา หรงจิ่นสูดลมหายใจเข้า เขายิ้มเอ่ย “เครื่องหอมของสำนักเย่าหวังกู่ ตำนานบอกว่ามันสามารถถอนพิษยาแฝดได้”
หลิงซูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยชื่นชม “อวี้อ๋องช่างชาญฉลาดเสียจริงเพคะ นี่คือเครื่องหอมของสำนักเย่าหวังกู่จริงๆ”
มู่ชิงอีดมด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้จิตใจสงบและสดชื่นจริงๆ มู่ชิงอีเองก็เชี่ยวชาญเรื่องการปรุงเครื่องหอม แค่ไม่กี่วินาทีนางก็สามารถแยกส่วนผสมของเครื่องหอมนี้ได้ แต่ในเครื่องหอมของสำนักเย่าหวังกู่มีสมุนไพรพิเศษ คงต้องขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ บางทีนางอาจทำเครื่องหอมนี้ขึ้นมาเองได้
เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เขาเหลือบมองหลิงซูด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม จากนั้นก็ดึงมู่ชิงอีมาอยู่ข้างกาย
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มองดูบรรดาองค์ชายและพระสนมที่มีสีหน้าอิจฉา เขาจึงตรัสขึ้นว่า “พวกเจ้าเองก็มาเลือกสิ่งของที่พวกเจ้าชอบไปคนละชิ้นเถิด”
ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ รีบพากันกล่าวขอบพระทัย ใช่ว่าพวกเขาเห็นคุณค่าของสิ่งของเหล่านี้ แต่พวกเขาให้ความสำคัญกับความหมายที่ฮ่องเต้ประทานสิ่งของให้ตัวเองต่างหาก
“ทรราช ตายซะ!” มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา ฉับพลันเงาดำข้างนอกก็พุ่งเข้ามาในห้องหน่วนเก๋อราวกับลูกธนู และพุ่งตรงเข้าไปหาฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ
หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีเข้ามาหลบอยู่ข้างตัวเอง นักฆ่าพุ่งผ่านหน้าเขาไป แต่เขากลับไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย เห็นนักฆ่ากำลังพุ่งเข้าไปหาฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ ทุกคนจึงได้สติกลับมาแล้วร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนก หรงเหยี่ยน หรงเซวียนและองค์ชายคนอื่นๆ รีบวิ่งเข้าไปปกป้องฮ่องเต้ทันที
ฝีมือของนักฆ่าคนนั้นไม่ธรรมดา เขาสามารถรับมือกับองค์ชายสองสามคนได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่ช่วยอะไรไม่ได้ก็พากันหลบอยู่ข้างๆ มีคนตะโกนเสียงดังว่ามีนักฆ่า ทันใดนั้น พระราชวังที่เดิมทีกำลังครึกครื้นก็อลหม่านขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่ามีคนชุดดำมาจากไหนตั้งมากมาย พวกเขาพุ่งขึ้นไปบนห้องหน่วนเก๋อและทางเดินห้องหน่วนเก๋อ พุ่งเข้าไปหาบรรดาขุนนางและฮูหยินที่กำลังดูดอกไม้ไฟ
ห้องหน่วนเก๋อที่คับแคบเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีไปข้างหลัง ท่ามกลางความโกลาหล มู่ชิงอีตกใจที่เห็นฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ที่เป็นเป้าหมายหลักของการลอบสังหารครั้งนี้ยังคงนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะ ไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจว่านักฆ่าพวกนั้นทำอะไรเขาไม่ได้แน่นอน
ในขณะนี้เอง มู่ชิงอีจึงต้องยอมรับว่าฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์สมควรแล้วที่เป็นหนึ่งในฮ่องเต้ที่มีอำนาจมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเย่ว์มา แค่ความนิ่งเมื่อเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ ใช่ว่าคนทั่วไปจะมีได้
ทันใดนั้นก็มีองครักษ์วังหลวงวิ่งเข้ามาปกป้องฮ่องเต้ พาบรรดาพระสนมที่อ่อนแอออกไปจากห้องหน่วนเก๋อ พาพวกนางไปยังที่ปลอดภัย และกู้หลิวอวิ๋นกับอวี้อ๋องที่ทำอะไรไม่ได้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ว่าตอนนี้ ทั้งวังล้วนวุ่นวายไปหมด ไม่มีที่ไหนคือที่ที่ปลอดภัยจริงๆ ทันทีที่ออกมา ก็มีสตรีตระกูลไหนก็ไม่รู้ถูกดาบฟันล้มลงบนพื้น ทำให้ผู้คนกรีดร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง
หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีอย่างใจเย็น ออกไปจากห้องหน่วนเก๋อโดยการปกป้องจากองครักษ์ จากนั้นก็หยุดอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้คนและไม่เป็นที่สนใจ
“ทำไมถึงหยุดตรงนี้เล่า” มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว หรงจิ่นเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ห้องหน่วนเก๋อเล็กเกินไป ประเดี๋ยวพวกเขาก็ออกมา”
เป็นเหมือนที่เขาพูดจริงๆ ผ่านไปไม่นาน ผู้คนที่ต่อสู้กันในห้องหน่วนเก๋อก็พากันออกมาข้างนอก ออกมาต่อสู้กันต่อบนพื้นหิมะ
“พี่เก้า!” บนเสื้อคลุมสีขาวของตงฟังซวี่นั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาถือดาบที่เปื้อนเลือดวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ยิ้มเอ่ย “จื่อชิง พวกเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
หรงจิ่นกระแอมเบาๆ “พวกข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต่างหาก…ไม่ไปปกป้ององค์หญิงเซียงเฉิง มาทำอะไรตรงนี้”
ตงฟังซวี่ยิ้มเอ่ย “ท่านแม่มีท่านพ่อคอยปกป้องอยู่แล้ว ไม่ต้องการข้าหรอก พี่เก้าไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ข้ามาปกป้องพวกท่านไง” มู่ชิงอีรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่หรงจิ่นไม่สะดวกที่จะเปิดเผยฝีมือการต่อสู้ของตัวเอง ดูเหมือนว่าตงฟังซวี่จะสนิทสนมกับหรงจิ่นไม่น้อย รู้ความลับของหรงจิ่นตั้งมากมายแต่กลับยังไม่ถูกฆ่าปิดปาก “เช่นนั้นคงต้องรบกวนคุณชายตงฟังแล้วขอรับ”
ตงฟังซวี่แกว่งดาบพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จื่อชิงไม่ต้องห่วง การปกป้องหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคือหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
พวกเขาสามคนเอนหลังพิงหินในสวนดอกไม้ เพราะเป็นเวลากลางคืน จึงไม่ค่อยมีใครสังเกต มองดูแสงดาบสะท้อนไปมาในสวนดอกไม้ กลิ่นเลือดจางๆ คละคลุ้งไปทั่วทั้งงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า
ผ่านไปไม่นาน องครักษ์วังหลวงก็มาถึง จับบรรดานักฆ่าเอาไว้ ถึงแม้นักฆ่าเหล่านั้นจะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายสองหมัดก็เอาชนะสี่มือไม่ได้ จากนั้นหนานกงเจวี๋ยก็เข้ามามีส่วนร่วม เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีเจอกับหนานกงเจวี๋ย บนพื้นหิมะอันกว้างใหญ่ นางเห็นแค่ชายชรารูปร่างผอมบางที่สวมชุดสีเงิน เคราสีขาว กำลังถือดาบราวกับเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าดาบในมือของหนานกงเจวี๋ยคือดาบที่เอามาจากคนอื่น สิ่งที่หนานกงเจวี๋ยเชี่ยวชาญไม่ใช่การใช้ดาบ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ดาบยาวธรรมดาที่อยู่ในมือของเขาก็ร่ายรำราวกับปรมาจารย์ แม้แต่มู่ชิงอีที่ไม่มีศิลปะการต่อสู้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“ท่านสู้เขาไม่ได้” หลังจากนั้นไม่นาน มู่ชิงอีก็กระซิบเบาๆ ข้างหูหรงจิ่น
มู่ชิงอีไม่เข้าใจเรื่องศิลปะการต่อสู้ แต่มู่ชิงอีรู้สึกถึงพลังอันแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นหรงจิ่น เกอซูฮั่นหรือเนี่ยอวิ๋น พวกเขาล้วนแต่สู้หนานกงเจวี๋ยไม่ได้ แต่ด้วยอายุของหรงจิ่น เขาไม่จำเป็นต้องเทียบกับหนานกงเจวี๋ย เพราะตอนที่หนานกงเจวี๋ยอายุสิบแปดสิบเก้าปี ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็คงเทียบหรงจิ่นตอนนี้ไม่ได้
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะแต่ก็ไม่ได้เถียง เขายอมรับว่าตัวเองสู้หนานกงเจวี๋ยไม่ได้
เพราะมีหนานกงเจวี๋ยอยู่ด้วย ผ่านไปไม่นานสถานการณ์เลยถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ เมื่อดาบของหนานกงเจวี๋ยจี้ตรงคอของนักฆ่าคนสุดท้าย หนานกงเจวี๋ยก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ใครกันที่กล้าเข้ามาลอบสังหารในวัง!”
แต่กลับคิดไม่ถึงว่านักฆ่าคนนั้นจะหัวเราะเยาะ เบิกตามองไปที่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ทรราช! ครั้งนี้ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ครั้งต่อไปจะเป็นวันตายของเจ้า!” ทันทีที่เอ่ยจบ นักฆ่าก็พุ่งตัวเข้าใส่คมดาบในมือของหนานกงเจวี๋ย เป็นการฆ่าตัวตายในท้ายที่สุด
บรรยากาศในสวนดอกไม้พลันเงียบสงัด
เจี่ยงปินประคองฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เดินออกมา มองดูคราบเลือดที่กระจัดกระจายเต็มพื้นหิมะ ในฐานะฮ่องเต้ ชีวิตหนึ่งถูกลอบสังหารสองสามครั้งไม่ใช่เรื่องแปลก และสองสามปีมานี้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็ทำแต่เรื่องผิดทำนองคลองธรรม แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเจอเหตุการณ์ลอบสังหารมาไม่น้อย ดังนั้นเหตุการณ์ในคืนนี้จึงไม่อยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ