หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 422 ฟาดแส้ใส่ผู้ว่าการ (2)
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง” มู่ชิงอีล้วงหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งใส่ปากของเด็กสาวก่อนเอ่ยเสียงเบา “เด็กดี เชื่อฟังพี่ชายเจ้า อีกไม่นานก็ดีขึ้นแล้ว” เพราะออกมาตั้งแต่เช้า การเดินทางครั้งนี้จึงทำให้มู่ชิงอีและหรงจิ่นไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลยจริงๆ กระทั่งตอนนี้แม้แต่มื้อเที่ยงยังทานเพียงโจ๊กชามเดียวของหมู่บ้านก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
“จื่อชิง” หรงจิ่นเงยหน้ามุ่นคิ้วมองหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หิมะโปรยปรายลงบนชุดคลุมขนสัตว์ชั้นนอกที่ขาวสะอาดและดูอบอุ่นในเดิมทีจนขาดแสงเงาวาวและสัมผัสนุ่มมือ
หรงจิ่นขบคิดครู่หนึ่งก่อนลากมู่ชิงอีไปแล้วเอ่ย “จื่อชิง เราหาที่หลบกันก่อนดีกว่า”
มู่ชิงอีมองเขาด้วยความฉงน หรงจิ่นแค่นเสียงเบาก่อนมองเด็กผู้ชายจากมุมสูง “บ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านนั่นไม่พังลงมาหรือ”
เด็กผู้ชายคนนั้นชะงักไป ลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ใช่ขอรับ…บ้านของเจ้าสัวเฉินอยู่ทางฝั่งตะวันตก บ้านของพวกเขาโครงสร้างแข็งแรงทนทาน แต่…เขาไม่ให้ไปหลบหิมะที่บ้านพวกเขาหรอก เพราะบุตรสาวของเจ้าสัวเฉินเป็นอนุภรรยาของใต้เท้าผู้ว่าการเมืองหลวง”
หรงจิ่นแค่นเสียงเย็นชาอย่างไม่สบอารมณ์ เชิดคางขึ้นแล้วเอ่ย “ถ้าอยากแข็งตายก็ยืนอยู่ตรงนี้ไป แต่ถ้าไม่อยากแข็งตายก็ตามข้ามา” พอพูดจบก็ลากมู่ชิงอีเดินไปทางตะวันตกของหมู่บ้านโดยไม่สนใจใครอีก
นางถูกหรงจิ่นลากตัวไปพร้อมสับเท้าเดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หรงจิ่นจะร่างสูงใหญ่แต่ไม่ได้บึกบึนขนาดนั้น ทว่ากลับบดบังร่างบางอ้อนแอ้นของมู่ชิงอีได้เกินครึ่ง ฉะนั้นย่อมบังพายุหิมะที่พัดมากระทบร่างด้านหลังได้อย่างแน่นอน
มู่ชิงอียิ้มเอ่ยอย่างระอาใจ “องค์ชายเก้าคงไม่ได้คิดจะไปบุกบ้านของพวกเขาจริงๆ กระมัง” หรงจิ่นยิ้มเย็นชาเอ่ย “ข้าไปก็เหมือนเป็นการให้เกียรติเขามากกว่า”
มู่ชิงอีพยักหน้า “ก็จริง หากองค์ชายเก้าอยากเข้าไป อย่าว่าแต่ขอเข้าไปหลบชั่วคราวเลย ต่อให้อยากได้เจ้าสัวเฉินก็คงมอบให้ทันที เพียงแต่…เขาคงไม่ให้คนอื่นเข้าไปกระมัง”
พวกเขาเองก็ไม่ธรรมดา ขอแค่คนของตระกูลเฉินไม่ได้วางตัวสูงส่งจนไม่เห็นใครในสายตาเกินไป หากจะขอที่หลบหิมะสักหน่อยคงไม่ยาก แต่หากอยากพาชาวบ้านธรรมดาๆ เข้าไปด้วยคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากหรงจิ่นจะแสดงตัวเท่านั้น
หรงจิ่นยิ้มเย้ย “ก็แค่บ้านอนุของผู้ว่าการเมืองหลวงเท่านั้นมิใช่หรือ ข้าไปก็ถือเป็นการให้เกียรติเขามากแล้ว! พอดีเลย…ถือโอกาสเจอผู้ว่าการเมืองหลวงที่เสด็จพ่อทรงมอบตำแหน่งให้ด้วยว่าเป็นคนเก่งกาจมากแค่ไหนกันเชียว”
พอมู่ชิงอีหันไปก็เห็นเด็กผู้ชายคนนั้นจูงมือน้องสาวเดินตามหลังพวกเขามาช้าๆ ครั้นเห็นนางหันไปเด็กสาวตัวน้อยก็รีบคลี่ยิ้มไร้เดียงสาให้มู่ชิงอีทันที
ครั้นเด็กผู้ชายเห็นนางมองมาเลยเต๊ะท่าโกหกออกไปอย่างเก้ๆ กัง ๆ ว่า “ข้ากลัวว่าพวกท่านจะหลงทางต่างหาก” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ขอบใจเจ้ามาก เช่นนั้นเจ้ามานำทางเป็นอย่างไรเล่า”
เด็กผู้ชายมองนางอย่างเหนือความคาดหมาย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วจูงมือพาน้องสาวเดินนำหน้าไป
จวนของเจ้าสัวเฉินโอ่อ่าอย่างมาก ไม่น้อยหน้าไปกว่าจวนเหล่าตระกูลมั่งคั่งในเมืองหลวงเลย พอจวนมาตั้งอยู่ตรงหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้เลยขับให้ดูใหญ่โตเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าหิมะด้านนอกหรือภัยพิบัติภูเขาถล่มลงมาก็ไม่ส่งผลใดกับคนของตระกูลเฉินเลยสักนิด แถมยังมีคนนั่งหลับเฝ้าตรงหน้าประตูจวนอีกต่างหาก ถึงแม้เหล่าชาวบ้านที่ไร้บ้านจะเดินวนเวียนไปมาละแวกนี้ ทว่ากลับไม่มีกล้าเข้าไปใกล้จวนสักคน
หรงจิ่นลากมู่ชิงอีเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ทว่าเพิ่งเดินมาถึงตรงบันไดก็ถูกคนเฝ้าประตูขวางไว้ก่อน “เจ้าเป็นใคร”
หรงจิ่นเอ่ย “มาขอที่หลบหิมะ”
คนเฝ้าประตูผู้นั้นโบกมือไล่อย่างรำคาญใจ “ไปๆ ไม่ดูเอาเสียเลยว่าที่นี่คือที่ใด ที่นี่เป็นที่ที่ใครก็เข้ามาหลบหิมะได้อย่างนั้นหรือ ยังไม่รีบไปให้พ้นอีก” หรงจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “หืม มีคนอื่นอยากเข้ามาหลบหิมะที่นี่อีกหรือ”
คนเฝ้าประตูแค่นเสียงเบาอย่างหัวเสีย “แน่นอน คนชั้นต่ำพวกนั้นคู่ควรหรือ หากย่างกรายเข้ามาจะไม่แปดเปื้อนจวนของนายท่านหรืออย่างไร ดูแล้วพวกเจ้าเองก็แต่งตัวไม่เลวนี่ ยังไม่รีบไปอีก พวกเราจะได้ไม่ต้องไล่ให้เสียเวลา”
มู่ชิงอีก้มหน้าขำ จากนั้นก็เงยหน้ามองหรงจิ่นด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม หรงจิ่นวางตัวผยองเย่อหยิ่งในเมืองหลวงจนเคยตัว แต่ไม่เคยเจอใครกล้าผยองเท่าเขาขนาดนี้มาก่อนเลย หรงจิ่นกวาดตามองคนเฝ้าประตูทีหนึ่งก่อนยกยิ้มมุมปากเอ่ย “น่าสนใจดีนี่…ใครก็ได้มานี่!”
“คารวะองค์ชาย!” องครักษ์ด้านหลังไม่กี่คนปรากฏตัวอย่างเงียบๆ พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม
หรงจิ่นโบกมือ “โยนหมาพวกนี้ไปแช่ในหิมะเสีย เหลือแค่ลมหายใจเพียงนิดเดียวก็พอ” ครั้นพูดจบ องครักษ์ก็เข้าไปกุมตัวคนเฝ้าประตูที่วางท่าผยองเมื่อครู่ไว้ พริบตาเดียวก็ถูกโยนลงท่ามกลางหิมะ องครักษ์ข้างกายหรงจิ่นแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นดีที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงคัดสรรมาเองทั้งสิ้น ถึงแม้จะสู้อู๋ซินกับอู๋ฉิงไม่ได้ แต่ย่อมสู้คนเฝ้าประตูของจวนเศรษฐีธรรมดาๆ พวกนี้ได้อยู่แล้ว
หรงจิ่นลากตัวมู่ชิงอีพลางหันไปกวาดตามองชาวบ้านที่ล้อมอยู่ด้านหลังพวกเขารอบทิศ เอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าอยากหลบหิมะก็เข้ามา”
พอเหล่าชาวบ้านที่ขลาดกลัวในเดิมทีเห็นพวกเขาสองคนเดินเข้าไปแล้วก็สบตามองหน้ากันอย่างระแวดระวัง แต่สุดท้ายก็ทนลมหิมะไม่ไหวเลยเดินตามพวกเขาสองคนเข้าไปด้านใน
ภายในจวนเฉิน เจ้าสัวเฉินกำลังนั่งล้อมกองไฟอยู่ในโถงใหญ่พร้อมขยับดีดลูกคิดในมือเสียงดัง หิมะตกสิดี ยิ่งเขาถล่มลงมายิ่งดีเข้าไปใหญ่ ตระกูลเฉินค้าขายไม้และข้าวสารอาหาร รอหิมะหยุดแล้วคงถึงเวลาหาเงินก้อนโตสักที ปีนี้เป็นปีที่ดีเสียจริง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน!” เสียงตกใจดังขึ้นนอกประตู เจ้าสัวเฉินมุ่นคิ้ว เขายังไม่ทันพูดอะไรก็มีชายสวมชุดขาวและดำสองคนเดินเข้ามาแล้ว ควรกล่าวว่าเป็นบุรุษสวมชุดสีดำคนหนึ่งกับหนุ่มน้อยใบหน้าสะอาดหมดจดสวมชุดสีขาวคนหนึ่งมากกว่า
เจ้าสัวเฉินมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยน “พวกเจ้าเป็นใครกัน”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนสัญจรมาขอยืมสถานที่พักผ่อนก็เท่านั้น”
ใช่ว่าเจ้าสัวเฉินจะโง่เขลาจนไม่รู้อะไรเลยเสียทีเดียว พวกเขาสองคนวางท่ากล้าเดินเข้ามาในนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน เขาจึงเก็บใบหน้าเกรี้ยวโกรธก่อนส่งยิ้มให้ “ไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งสองเป็นแขกจากแดนไกล ข้าจะให้ผู้ดูแลพาพวกเจ้าไปส่งที่ห้องรับแขกก็แล้วกัน”
หรงจิ่นเล่นกำไลหยกบนข้อมือด้วยท่วงท่าสบายๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าคงไม่พอ เพราะต้องขอที่พักสำหรับคนอื่นด้วย อีกเรื่อง…ข้าได้ยินมาว่าร้านค้าของเจ้าสัวเฉินมีข้าวสารอาหารแห้งไม่น้อย ข้าขอเหมาหมดก็แล้วกัน”
เจ้าสัวเฉินขมวดคิ้ว แต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “คุณชายจะซื้อข้าวหรือ แบบนี้คุยกันง่ายเลย ราคาข้าวขายยี่สิบเหวินต่อหนึ่งลิตร ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการเท่าใดหรือ”
“ยี่สิบเหวิน?” มู่ชิงอีที่อยู่ด้านข้างมุ่นคิ้วก่อนเอ่ยถาม “แล้วเจ้าสัวเฉินมีเท่าไร”
เจ้าสัวเฉินแอบดีใจ ยิ้มเอ่ยเชิงโอ้อวดว่า “ขอแค่มีเงิน ข้าวสารอาหารแห้งก็มีถมไป ท่านทั้งสองอยากได้เท่าไรก็มีมากเท่านั้น”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ดีมาก เช่นนั้นข้าเอาแสนลิตรก่อน นี่ตั๋วเงิน แต่…เรื่องราคาเราคุยกันอีกทีได้ใช่หรือไม่”
ครั้นเห็นตั๋วเงินปึกหนาที่หนุ่มน้อยชุดขาวล้วงออกมาจากแขนเสื้อ ดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าสัวเฉินก็ลุกวาวพลันยิ้มเอ่ย “คุณชายทั้งสอง ราคาที่ข้าให้ถือว่าราคาเป็นธรรมแล้ว”