หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 425 จบเรื่องกลับเมือง (2)
หรงเซวียนที่นั่งอยู่เลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าสัวเฉิน เจ้าจะให้ทวงความยุติธรรมใดให้เจ้าหรือ”
“คือว่า…” เจ้าสัวเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ชั่ววินาทีนี้เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร
ผู้ว่าราชการเอ่ยด้วยความโมโห “ยังไม่รีบทำความเคารพท่านอ๋องอีก นี่คือจวงอ๋อง ตวนอ๋อง อวี้อ๋องและฉินอ๋อง”
หลังจากเจ้าสัวเฉินได้ยินสถานะของหรงจิ่นก็ขาอ่อนยวบลงพื้นทันที ถึงแม้หมู่บ้านชุ่ยอวิ๋นจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงพอสมควร ทว่ากลับเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของหรงจิ่นมาบ้าง จากที่เผยท่าทีเดือดดาลในเดิมทีก็พลันหน้าซีดเซียวลงยิ่งกว่าผู้ว่าราชการเสียอีก เขาคุกเข่านั่งลงบนพื้นเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ “กระหม่อม…กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ อวี้อ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “ไว้ชีวิตหรือ เจ้าทำสิ่งใดถึงอยากให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าเล่า”
เจ้าสัวเฉินยื่นตั๋วเงินที่ได้จากมู่ชิงอีครั้งก่อนให้ด้วยมืออันสั่นเทา เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “กระหม่อม…กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ กระทั่งล่วงเกินท่านอ๋องและคุณชายผู้นี้…ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย”
หรงจิ่นรับตั๋วเงินมาก่อนจะส่งให้มู่ชิงอีแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “จื่อชิง เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
มู่ชิงอีเก็บตั๋วเงินใส่แขนเสื้อด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันไปเอ่ยถามผู้ว่าราชการที่คุกเข่าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสัวเฉินบนพื้นว่า “ใต้เท้า ในแคว้นเย่ว์…คนที่เจตนาร้ายถือโอกาสขึ้นราคาของในช่วงมีภัยพิบัติ มีโทษเช่นใดหรือ”
ผู้ว่าราชการลอบสะดุ้งพลันคิดเอ่ยคัดค้านว่าเจ้าสัวเฉินไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ขึ้นราคาของหรือยังไม่ทันทำเช่นนั้น แต่การขายข้าวสารอาหารแห้งให้อวี้อ๋องในราคาที่แพงกว่าสามเท่าแบบนี้…สุดท้ายผู้ว่าราชการจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมร่างอันสั่นเทาภายใต้สายตาดุดันของอวี้อ๋องว่า “ตัดหัว…”
เจ้าสัวเฉินตกใจจนร่างฟุบลงกับพื้น ปากก็พูดไม่หยุดว่า “ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต…ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย”
มู่ชิงอีหันไปมองหรงจิ่นแวบหนึ่ง หรงจิ่นยู่ปากอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เห็นแก่ว่าเจ้ายังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎร…เช่นนั้นก็เอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของเจ้ามาช่วยเหลือคนยากไร้เพื่อชดใช้โทษนี้แล้วกัน คงไม่มีปัญหาใดกระมัง”
“ไม่…ไม่มีปัญหา กระหม่อมยินดีสละทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านชุ่ยอวิ๋น” เวลานี้อย่าว่าแต่สละทรัพย์สินของเขาครึ่งหนึ่งเลย ต่อให้ต้องสละทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเขาก็ไม่คิดลังเลใจสักนิด ขอแค่หนีรอดความตายจากเงื้อมมือของอวี้อ๋องได้ก็นับว่าบรรพบุรุษคุ้มครองเขาแล้ว เขายังคิดจะอ้อนวอนขอสิ่งใดอีกเล่า
“ดีมาก” หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็หันไปออกคำสั่งกับปู้อวี้ถังว่า “พาคนไปช่วยเจ้าสัวเฉินจัดการเรื่องเงินในจวน แล้วก็ขนเสบียงและเงินทองไปให้ประชาชนยากไร้ ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องทนหิวและทนหนาว”
ปู้อวี้ถังขานรับอย่างชอบใจ จากนั้นก็คว้าตัวเจ้าสัวเฉินที่ขาอ่อนแรงเดินออกไปข้างนอก
ภายในห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบ หรงเซวียนและหรงเหยี่ยนนั่งจิบชาด้วยท่าทีสงบ ส่วนหรงไหวจับจ้องหรงจิ่นตาเขม็ง ทว่าหรงจิ่นกลับหันไปสนทนากับมู่ชิงอีอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ราวกับเขาสัมผัสสายตาพิฆาตที่ใกล้แผดเผาเขาเต็มทีของหรงไหวนั้นไม่ได้เลยสักนิด ทว่าคนซวยดันเป็นผู้ว่าราชการที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ขยับ เพราะเดิมทีเขามีบาดแผลเต็มร่าง บวกกับพื้นเย็นเฉียบ อีกทั้งมีอ๋องทั้งสี่คอยข่มเขาอยู่ ผู้ว่าราชการเลยได้แต่โทษที่ตัวเองสุขภาพดีเกินไปจนไม่ล้มหมดสติลงไปสักที
สุดท้ายมู่ชิงอีเลยเอ่ยเสียงเรียบว่า “พื้นเย็น ใต้เท้าจะไม่สบายเอาได้”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเอ่ย “ยังไม่รีบไปจัดการอีก รอข้าเชยชมเจ้าอยู่หรืออย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้ว่าราชการก็พลันโล่งอกรีบกล่าวขอบคุณก่อนจะรีบวิ่งออกไปสุดแรง ครั้นเห็นเงาเขารีบพุ่งออกไปเช่นนั้น มู่ชิงอีก็ยกยิ้มบางที่มุมปาก ในฐานะผู้ว่าราชการ อย่างน้อยเขาย่อมมีความสามารถติดตัวบ้าง พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดว่าเขาคงไม่กล้าอู้งานหรือทำเรื่องที่ไม่สมควรทำอีกต่อไปแล้ว ส่วนหลังจากจบเรื่องนี้แล้วชะตาชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรคงไม่เกี่ยวกับนาง
สีหน้าของหรงไหวที่นั่งอยู่อีกฝั่งหม่นลง เมื่อก่อนขณะที่เขาเป็นเพียงจื้ออ๋องซื่อจื่อยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร ทว่าเวลานี้ฉินอ๋องเพิ่งค้นพบว่าตอนนั้นบิดาของเขาอดทนต่อการมีตัวตนของหรงจิ่นได้ดีเหลือเกิน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“อาเก้า เสด็จปู่ให้ข้าและอาสองกับอาสี่มาจัดการเรื่องนี้แล้วมิใช่หรือ” หรงไหวเอ่ยเสียงขึงขัง ซึ่งแฝงนัยยะว่าหรงจิ่นยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่องตามคาดนั่นเอง
หรงจิ่นเหลือบมองเขาก่อนยิ้มเยาะเอ่ย “เสด็จพ่อให้เจ้ามาจัดการเรื่องนี้หรือ เช่นนั้นข้าอยากถามว่าฉินอ๋องจัดการเรื่องใดบ้างเล่า หรือแค่ให้เขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นหรือ”
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าฟาดแส้ใส่เขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น เขาคงไปจัดการธุระนานแล้ว!” หรงไหวตวาดอย่างโมโห เห็นได้ชัดว่าเขามีปมในใจเรื่องใช้แส้ของหรงจิ่นอย่างมาก
“ไร้เหตุผลหรือ” หรงจิ่นเลิกคิ้ว จากนั้นก็มองไปทางหรงเซวียนและหรงเหยี่ยน หรงเซวียนขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “ไหวเอ๋อร์ เจ้าบ้านั่นสมควรโดนตี”
หรงเหยี่ยนเองก็พยักหน้ากล่าว “พี่รองพูดถูก ไหวเอ๋อร์ ถึงแม้อาเก้าจะอายุน้อยกว่าเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็มีศักดิ์อาวุโสกว่า หากลองฟังความคิดเห็นของเขาบ้างคงไม่เป็นไรกระมัง เรื่องครั้งนี้หากไม่ได้น้องเก้า…ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะย่ำแย่ไปถึงขั้นไหน” ครั้นพูดถึงเรื่องนี้หรงเหยี่ยนก็แอบอารมณ์เสีย ยามที่ได้ยินเรื่องภัยพิบัตินอกเมืองก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเสียทีเดียว
แต่เพราะบางทีด้วยสถานะของพวกเขา หากพลาดแม้แต่ก้าวเดียวคงไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้ การช่วยเหลือคนทุกข์ยากเป็นเรื่องง่าย หากเรื่องนี้จบลงด้วยดีย่อมแสดงให้เห็นว่าตวนอ๋องใส่ใจปวงชนแค่ไหน แต่หากเรื่องนี้เลวร้ายขึ้นมาอาจเสื่อมเสียชื่อเสียงจนถูกกล่าวหาว่าพยายามซื้อใจคนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเสด็จพ่อคิดต่างคงไม่ดี ในทางกลับกันคนที่ทำตัวเรื่อยเปื่อยไม่สนใจเรื่องใดอย่างหรงจิ่นกลับได้รับคำเชยชมจากเสด็จพ่อ ทรงตรัสชมว่าองค์ชายเก้าโตแล้วและรู้จักเป็นห่วงเป็นใยประชาชน นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หรงไหวโมโหขนาดนี้
พวกตนทุ่มเทแทบตายแต่กลับทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง แต่พอเขาทำอะไรนิดหน่อยก็ได้รับความดีความชอบจากเสด็จพ่อแล้ว เป็นใครไม่โกรธบ้างเล่า
หรงไหวแค่นเสียงแล้วตีหน้านิ่งไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายังโมโหอยู่ หรงจิ่นกลับไม่ได้สนใจว่าเขาจะยังโกรธอยู่หรือไม่ เขาเลิกคิ้วมองหรงเซวียนและหรงเหยี่ยนแวบหนึ่งก่อนพูดว่า “ในเมื่อพี่รองกับพี่สี่มาแล้ว เช่นนั้นข้ามอบเรื่องนี้ให้พวกท่านจัดการต่อแล้วกัน ข้าจะไปล่ะ”
หรงเหยี่ยนรู้สึกเหนือความคาดหมาย “น้องเก้าไม่อยู่ต่อหรือ” ควรรู้ว่าหากรอจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ตอนกลับไปเสด็จพ่อคงตบรางวัลอย่างงามแน่นอน ดังนั้นคนที่โผล่มาถึงก่อนอย่างหรงจิ่นย่อมได้รับความดีความชอบมากที่สุด ทว่าตอนนี้หรงจิ่นกลับบอกว่าจะไป เช่นนี้ก็เท่ากับว่าทิ้งทุกอย่างไว้กลางทาง
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยอย่างหัวเสีย “มีคนมาแล้วจะให้ข้าอยู่ต่อทำไมเล่า เห็นว่าข้าชอบยุ่มย่ามเรื่องพวกนี้มากหรืออย่างไร หากไม่ใช่เพราะจื่อชิงใจอ่อนล่ะก็ พวกเรากลับกันเถิด!” ครั้นพูดจบเขาก็ลากตัวมู่ชิงอีเดินจากไปอย่างไม่คิดอาลัยอาวรณ์สักนิด ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนหรงเหยี่ยนว่า “พี่สี่ อย่าลืมส่งเงินค่าข้าวสารอาหารแห้งไปให้ที่จวนอวี้อ๋องด้วย”
“สกุลเฉินนั่นคืนเงินเจ้าแล้วมิใช่หรือ” ในที่สุดหรงไหวก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
ไม่เพียงแค่คืนเงินเท่านั้น อีกทั้งข้าวสารอาหารแห้งที่ไว้ช่วยชาวบ้านในตำบลนี้ต่างได้รับบริจาคจากเจ้าสัวเฉินทั้งสิ้น เท่ากับว่าเขาไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียว ทว่าอยู่ดีๆ ก็ติดหนี้หรงจิ่นเสียอย่างนั้น
หรงเหยี่ยนกลับเผยท่าทีสงบดังเดิม ส่ายศีรษะอมยิ้มกล่าว “เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจะถือสาน้องเก้าไปทำไมเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…ครั้งนี้กลับไปเสด็จพ่อคงไม่ประทานให้เพียงเงินเล็กน้อยแค่นั้นแน่นอน เดี๋ยวกลับไปกราบทูลเสด็จพ่อสักหน่อยก็ได้แล้ว”