หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 428 อำนาจของฮ่องเต้ (1)
หรงไหวอัดอั้นตันใจ ครั้นเห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก
มีขุนนางราชสำนักอายุราวห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินออกมาจากอีกฝั่งแล้วเอ่ย “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไป ถึงแม้ฉินอ๋องจะใจร้อนไปบ้าง แต่ก็เพราะคิดแทนฝ่าบาท ถึงแม้อวี้อ๋องบอกว่าทำไปเพื่อราษฎร แต่ทรัพย์สินเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเฉินหามาเอง มิได้ขโมยแก่งแย่งใครมาแต่อย่างใด ทว่าอวี้อ๋องกลับบอกให้เขาบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งก็ออกจะดูไม่งามเท่าไร อีกทั้งก่อนหน้านี้อวี้อ๋องยังกักขังบริเวณคนตระกูลเฉินไว้หลังเรือน แถมไม่ให้ข้าวกิน หากอ๋องทั้งสามไปไม่ทันเวลา ไม่แน่…”
ผู้เฒ่าท่านนี้สวมชุดตำแหน่งอัครเสนาบดีทั้งร่าง ซึ่งเขาก็คืออัครเสนาบดีโจว น้องชายของฮองเฮาหรืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั่นเอง ถือศักดิ์เป็นปู่ของฉินอ๋อง ฉะนั้นเขาย่อมช่วยฉินอ๋องพูดอยู่แล้ว
“ฉินอ๋องพูดจาบุ่มบ่ามไปก็เพียงเพราะกังวลว่าชื่อเสียงของฝ่าบาทจะเสื่อมเสีย ฝ่าบาททรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คนมีความรู้ช่างพูดจาเป็นเสียจริง พูดนิดหน่อยก็โยนความผิดให้หรงจิ่นทั้งหมดแล้ว หรงจิ่นจงใจทำให้คนตระกูลเฉินอดตายหรือไม่ย่อมไม่มีใครรู้ แต่ยามที่พวกหรงเซวียนไปถึง คนของตระกูลเฉินกลับถูกกักบริเวณ อีกทั้งยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำสักนิดเลยจริงๆ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าขึงขังพลางเหลือบมองอัครเสนาบดีโจวและหรงไหวด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามหรงจิ่นว่า “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นเองก็สีหน้าขรึมลงเช่นกัน ขณะที่อยากเปิดปากพูด มือซ้ายก็ถูกใครบางคนรั้งไว้โดยไม่มีใครเห็น มู่ชิงอีที่อยู่ข้างกายเขาอมยิ้มพลางเหลือบมองเขาก่อนจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท กู้หลิวอวิ๋นมีเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ชั่ววินาทีนั้นสายตาของทุกคนต่างหันจับจ้องไปทางมู่ชิงอี ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองหนุ่มน้อยชุดสีขาวที่เผยสีหน้าสงบเบื้องล่าง พยักหน้าน้อยๆ ตรัสว่า “เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”
มู่ชิงอีหันไปมองหรงไหวที่กำลังจ้องหรงจิ่นตาเขม็งด้านข้างแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “ฉินอ๋องไม่พอใจอวี้อ๋องมากอย่างนั้นหรือ”
หรงไหวยิ้มเยาะโดยไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธใดๆ แต่ทุกคนที่เห็นท่าทีของเขาต่างรู้ในทันที หรงไหวไม่พอใจหรงจิ่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กระทั่งเกือบเรียกได้ว่าอาฆาตเสียด้วยซ้ำ มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้หวังให้เขาตอบกลับ เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าท่าทีเกลียดชังตำหนิเช่นนี้ของฉินอ๋องเป็นการเอาเรื่องงานมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวหรือไม่”
หรงไหวตวาดขึ้นว่า “ข้าเอาเรื่องงานมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวตั้งแต่เมื่อใดกัน”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ตอนนี้มิใช่หรือ” ครั้นเห็นว่าหรงไหวจะโต้กลับ มู่ชิงอีก็ชิงตัดบทเขาด้วยท่าทีเฉยเมยเอ่ยขึ้นว่า “หากฉินอ๋องไม่ได้มีความเกลียดชังใดอวี้อ๋อง เช่นนั้นในฐานะที่อวี้อ๋องทรงเป็นเสด็จอาของท่านและอายุน้อยกว่ามาก หากฉินอ๋องทำไปเพราะคิดแทนฝ่าบาทดั่งที่พูด ฉินอ๋องที่รู้ว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานอวี้อ๋องมากย่อมต้องปกปิดเรื่องนี้แทนอวี้อ๋อง กระทั่งแอบช่วยพูดโน้มน้าวด้วยซ้ำ แต่เหตุใดเวลานี้กระหม่อมถึงไม่เห็นฉินอ๋องพูดจาโน้มน้าวสักคำเลย ทว่าฉินอ๋องกลับทำเรื่องนี้ให้ลุกลามใหญ่โต เช่นนี้ไม่เป็นการบีบให้ฝ่าบาทลงโทษอวี้อ๋องหรอกหรือ”
หรงไหวหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ กัดฟันเอ่ยเสียงเคียดแค้น “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าก็แค่เอาเรื่องจริงกราบทูลรายงานเสด็จปู่ก็เท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ไปกราบทูลส่วนตัวแต่รั้นจะป่าวประกาศต่อหน้าเหล่าอ๋องและขุนนางในราชสำนักเล่า” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงไหวพูดไม่ออก มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ฉินอ๋องทรงกระพือข่าวเรื่องนี้ให้ทุกคนรับรู้ก็เพื่อบีบบังคับให้ฝ่าบาทลงโทษอวี้อ๋อง ต่อให้ฝ่าบาทจะโปรดปรานอวี้อ๋องจนไม่อยากลงโทษ แต่ในเมื่อใต้เท้าในราชสำนักต่างรู้แล้วว่าอวี้อ๋องใช้แส้เฆี่ยนตีขุนนาง วันหน้าใครจะกล้าเข้าใกล้อวี้อ๋องอีก นี่ก็ถือว่าสมหวังดั่งใจฉินอ๋องแล้ว เพียงแต่กระหม่อมขอบังอาจถามอีกประโยคว่า…ระหว่างอวี้อ๋องกับฉินอ๋องมีความแค้นใดกันหรือ เป็นเพราะครั้งก่อนอวี้อ๋องโมโหแล้วหักหน้าฉินอ๋องเพราะอารมณ์ชั่ววูบอย่างนั้นหรือ”
หรงไหวจ้องมู่ชิงอีด้วยความเคียดแค้น หากเวลานี้ไม่ได้อยู่ในพระตำหนัก เกรงว่าเขาคงกระโจนเข้าไปฆ่าหนุ่มน้อยตรงหน้าแล้ว ถึงแม้เสด็จปู่จะยังไม่ได้ตรัสอะไร แต่หรงไหวกลับสัมผัสได้ถึงสายตาไม่พอพระทัยของเสด็จปู่อย่างชัดเจน กระทั่งสายตาฉงนใจของเหล่าขุนนางตรงหน้ากวาดมองมายังเขา
“กู้หลิวอวิ๋น อย่านึกว่าเจ้ามีอวี้อ๋องคอยหนุนหลังแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ ต่อให้ข้าจะไม่พอใจในตัวอวี้อ๋อง แต่สิ่งที่ข้าพูดก็คือเรื่องจริง!”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามเล็กน้อย ยิ้มบางกล่าว “ฉินอ๋องยอมรับว่าไม่พอใจอวี้อ๋องก็ดี เช่นนั้นจากนี้เรามาคุยกันเรื่องพฤติกรรมความจริงกัน ท่านบอกว่าใช้แส้เฆี่ยนตีขุนนางใหญ่?”
หรงไหวเชิดคางขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปทางผู้ว่าการที่นั่งตัวสั่นบนพื้นกล่าว “ตอนนี้บาดแผลบนร่างกายเขายังอยู่ เรียกหมอหลวงมาตรวจดูอาการตอนนี้เลย เจ้าจะบอกว่าอวี้อ๋องไม่ได้เป็นคนเฆี่ยนตีเขาแล้วข้ากุเรื่องโทษเขาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีมองผู้ว่าการแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เปล่า กระหม่อมจะบอกว่าคนแบบนี้…อวี้อ๋องเฆี่ยนตีก็ถูกแล้ว ทำได้ดีด้วย เสียดายที่ไม่ได้เฆี่ยนมากกว่านี้สักหน่อย”
“สามหาวนัก!” หรงไหวเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดพลันลอบยิ้มร่าในใจ กระทั่งนึกว่าจับจุดอ่อนเขาได้แล้ว “ถึงกระนั้นเขาก็เป็นผู้ว่าการที่เสด็จปู่ทรงแต่งตั้งเองกับมือ เฆี่ยนตีขุนนางในราชสำนักจนถึงแก่ชีวิตนั้นมีโทษหนักถึงฆ่ายกครัวทีเดียว”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ยอย่างมีเลศนัย “ฆ่ายกครัวหรือ” ตระกูลหรงจิ่นเป็นใคร ก็พวกคนที่อยู่ในพระตำหนักนี้มิใช่หรืออย่างไร
องค์ชายทั้งหลายด้านข้างมองท่าทีกระฟัดกระเฟียดของหรงไหวด้วยสีหน้าหดหู่ หากกล่าวว่าหรงไหวประสบการณ์น้อยผ่านการเจียระไนมาไม่มากเลยเทียบกับเหล่าอาๆ ทั้งหลายไม่ติดก็ยังพอว่า ทว่าแม้แต่หนุ่มน้อยอายุสิบสี่สิบห้าปียังปั่นหัวเขาได้ พี่ใหญ่ที่ทรงเสด็จสวรรคตไปแล้วจะไม่รู้สึกว่าเลี้ยงเสียข้าวสุกหรอกหรือ
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้ เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าคนผู้นี้สมควรโดนเฆี่ยนตีเล่า” หรงเหยี่ยนลอบสูดลมหายใจแล้วชิงแทรกถามขึ้นก่อนหลานชายจะเอ่ยปากอะไรอีก เพื่อช่วยคลี่คลายบรรยากาศ
มู่ชิงอีเงยหน้ามองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด้านบนด้วยท่าทีนอบน้อมกล่าว “โบราณว่าไว้ราษฎรสำคัญที่สุด บ้านเมืองสำคัญรองลงมา เหล่ากษัตริย์สำคัญน้อยที่สุด อีกทั้งยั้งมีคำโบราณกล่าวไว้อีกด้วยว่า “หากได้ใจประชาชนถึงจะปกครองทั่วทั้งใต้หล้าได้ ใต้เท้าผู้นี้ได้รับเมตตาจากฝ่าบาทให้ดูแลราษฎร ทว่ากลับไม่เห็นความเป็นความตายของราษฎรในสายตา อีกทั้งยังรังแกคนไปทั่ว นอกจากจะไม่ทูลรายงานแล้วยังไม่คิดจัดการอันใด ราษฎรทั่วใต้หล้าไม่รู้ว่าฝ่าบาทถูกข้าหลวงปกปิด พวกเขาหลงคิดว่าเป็นเพราะฝ่าบาททรงไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา แบบนี้เป็นการสร้างเรื่องน่าอับอายต่อฝ่าบาท อีกทั้งยังทำลายชื่อเสียงข้าหลวงทั้งหลายของฝ่าบาทด้วย ในฐานะโอรสอย่างอวี้อ๋องเห็นเช่นนั้นแล้วจะทนดูดายไม่ช่วยสั่งสอนแทนฝ่าบาทได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วตรัส “ดังนั้นเจ้าหมายความว่าจิ่นเอ๋อร์ทำไปเพราะกตัญญูต่อเราอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากกล่าวว่าอวี้อ๋องนิสัยโหดเหี้ยมชอบเฆี่ยนตีคนอื่น คนในเมืองหลวงมีไม่พอให้อวี้อ๋องเฆี่ยนตีหรือถึงต้องดิ้นรนไปเฆี่ยนตีขุนนางคนหนึ่งที่อยู่ไกลหลายสิบลี้เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้อวี้อ๋องเองก็ได้ส่งคนไปบอกเขาแล้วว่าให้รีบมาจัดการกับเรื่องภัยพิบัตินอกเมือง แต่…ใต้เท้าผู้นี้เพิ่งโผล่มาวันที่สอง อวี้อ๋องเห็นคนในหมู่บ้านชุ่ยอวิ๋นล้มตายนับไม่ถ้วนเลยโมโหขึ้นมาชั่วขณะ ถึงแม้ท่านอ๋องจะเฆี่ยนตีจริงก็ใช่ว่าจะลงไม้ลงมืออย่างหนักเลยเสียทีเดียว”
“ฉินอ๋อง กู้หลิวอวิ๋นพูดถูกหรือไม่” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสถามหรงไหว
หรงไหวกัดฟันด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ ผ่านไปนานถึงเอ่ย “ยังมีเรื่องที่อวี้อ๋องแย่งที่พักอาศัยของคนอื่นด้วย”
มู่ชิงอียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนั้นมีคนแก่เด็กเล็กมากมายไร้บ้าน หากไม่หาที่หลบพักพิง หลังจากผ่านลมหนาวหนึ่งคืนจะเป็นเช่นไรฉินอ๋องคงรู้ดีกระมัง”
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ การแย่งที่พักอาศัยของคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่ดี”