หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 466 ปะทะกันในพระตำหนัก (1)
หรงจิ่นกระชากจดหมายในมือมาแล้วดึงนางมาตรงหน้าเพื่ออ่านจดหมายไปพร้อมกัน ขมวดคิ้วเอ่ย “ก่อนหน้านี้คิดจะเอาเรื่องเมืองเผิงมาใช้ต่อกรกับหรงเซวียน วิธีการนี้ก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดจะวางยาพิษได้เล่า หากไม่ฆ่าหรงเซวียนให้ตาย ต่อให้เขามีข้ออ้างใหญ่โตก็ซวยอยู่ดี” ในฐานะที่เป็นหลานแต่กลับคิดทำร้ายอา ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะยอมอภัยให้เขา แต่เหล่าขุนนางในราชสำนักไม่มีทางให้อภัยเขาแน่นอน ยิ่งพวกตระกูลขุนนางมีความรู้ยิ่งแล้วใหญ่
เพียงแต่น่าเสียดายที่หรงไหวไม่รู้ว่าเฝิงจื่อสุ่ยแอบควบคุมเมืองเผิงได้ตั้งนานแล้ว หรงไหวหลงคิดว่าข่าวคราวที่ตนสืบได้เป็นเรื่องที่คนอื่นอยากให้เขารู้ด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “บางทีอาจเพราะรอไม่ได้แล้วกระมัง ฉินอ๋องใจร้อนเกินไป” คนที่อยู่ในตำแหน่งฉินอ๋อง ถ้ามีความคิดสักหน่อยควรซ่อนศักยภาพไว้ก่อน รอหลังจากคุ้นเคยและควบคุมทุกอย่างได้หมดแล้วค่อยทำอย่างอื่น แต่อาจเพราะเรื่องการตายของหรงหวงมีผลต่อฉินอ๋องมาก หรือบางทีการเปลี่ยนสถานะอย่างกะทันหันทำให้เขายากเกินกว่าจะปรับตัวได้เลยทำให้หน้ามืดตามัวไปหาเรื่องยั่วยุหรงเซวียนหรือท่านอาที่คลุกตัวอยู่ในราชสำนักมานานถึงยี่สิบปี
จากนั้นเขาก็โยนจดหมายในมือทิ้งไปก่อนจะประทับรอยจูบลงบนหว่างคิ้วของมู่ชิงอีอย่างอารมณ์ดี ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รอดูจุดจบของหรงไหวอย่างสบายใจเถิด”
มู่ชิงอีพิงข้างกายเขาอย่างเกียจคร้าน เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าคงไม่ใช่แค่หรงไหว”
หรงจิ่นแววตาหม่นลง แค่นเสียงเย็นชา “หรงเหยี่ยน”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ความจริง…หม่อมฉันคิดว่าหรงเหยี่ยนช่างคล้ายคนๆ หนึ่งเหลือเกิน”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว มู่ชิงอีเอ่ย “มู่หรงอวี้”
หรงเหยี่ยนนั้นคล้ายคลึงมู่หรงอวี้อย่างมาก เพราะเขามีมารดามาจากตระกูลธรรมดาๆ และมีความสามารถโดดเด่นเหมือนกัน เพียงแต่สิ่งที่ต่างกันก็คือฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้มีองค์รัชทายาทที่เก่งกาจ ไม่มีขุนนางชั้นสูงอย่างตระกูลกู้ และไม่มีคนโง่เขลาอย่างกู้อวิ๋นเกอ
ดังนั้นหรงเหยี่ยนจึงทำได้แค่พึ่งพาความสามารถของตนจนมีตำแหน่งและอำนาจได้อย่างในวันนี้ ดูแล้วน่าชื่นชมยิ่งกว่ามู่หรงอวี้ที่อาศัยอำนาจของฐานะองค์ชายและตระกูลกู้เพื่อทำให้ตนแข็งแกร่งเสียอีก ในขณะเดียวกันก็น่าเกรงขามเช่นกัน
หรงจิ่นหลุบตาลง ขนตาหนาเป็นแพรปกปิดไอเย็นยะเยือกในดวงตา “หรงเหยี่ยนน่ะหรือ เหอะๆ…ต่อให้เขาคอยวางอุบายลอบทำร้ายลับหลัง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง!”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดเห็นเช่นใด”
หรงจิ่นเอียงศีรษะ ยิ้มบางพลางมองใบหน้าสะอาดหมดจดของนาง “ถึงแม้จะเกลียดหรงเซวียนยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่รองของข้า เตือนสักหน่อยก็ถือว่าเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องมากแล้ว ส่วนมู่หรงอวี้นั่น…รีบตายไปเร็วๆ เสียจะดีกว่า หากรอดไปถึงปลายปีนี้คงทำเอาข้าผิดสัญญากับสหายเซี่ยได้”
มู่ชิงอีฉงนใจ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมู่หรงอวี้ด้วยหรือเพคะ”
หรงจิ่นพึมพำเสียงเบา “หากไม่มีมู่หรงอวี้คอยยุแยง คนสมองอย่างหรงไหวจะคิดเรื่องวางยาฆ่าหรงเซวียนได้ที่ไหนกัน ต่อให้เขาคิดจะฆ่าหรงเซวียนจริงๆ ยาพิษในเมืองหลวงมีอยู่ไม่เท่าไร นอกจากจะยัดเข้าปากหรงเซวียนต่อหน้า มิเช่นนั้นใครจะวางยาพิษฆ่าเขาให้ตายได้”
แต่พอมีมู่หรงอวี้ก็เปลี่ยนไป ในตอนนั้นยาพิษที่อยู่ในร่างเซี่ยซิวจู๋ทำเอาหรงจิ่นเปลืองแรงไปไม่น้อย ทั้งยังหายาชั้นดีให้เขาราวกับไม่ต้องเสียเงินตำลึงก็มิปาน เซี่ยซิวจู๋ถึงจะรอดมาได้ แถมพิษนั้นยังถือว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าใดด้วย ใครจะรู้ว่าเย่าหวังกู่จะมีของเด็ดอะไรอยู่อีกหรือไม่
มู่ชิงอีหลุบตาพลันเงียบไปครู่หนึ่ง ด้วยนิสัยของมู่หรงอวี้แล้วไม่มีทางจงรักภักดีต่อหรงไหวแน่นอน มู่หรงอวี้ยุแยงให้หรงไหววางยาหรงเซวียน เกรงว่าคงแฝงความคิดจะทำลายทั้งฉินอ๋องและจวงอ๋องไปพร้อมกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไปสุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือ…หรงเหยี่ยนและหรงจัง
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการปลุกปั่นหรงจิ่น มู่ชิงอีจึงไม่ได้พูดถึงหรงจัง เพียงแค่ยิ้มเอ่ย “ตวนอ๋องวางอุบายได้ไม่เลวเลย ไม่ง่ายเลยที่มู่หรงอวี้และเย่าหวังกู่จะตกเป็นเครื่องมือใช้งานของเขาได้”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยหยัน “มู่หรงอวี้ตกเป็นเครื่องมือใช้งานของเขาก็จริง แต่เย่าหวังกู่ตกเป็นเครื่องมือใช้งานหรือไม่ เกรงว่าคงพูดยาก”
ครั้นเห็นสีหน้าของเขาขรึมลงชั่วขณะ มู่ชิงอีก็อมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือคลึงใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วยิ้มกล่าว “เย่าหวังกู่ถูกใครหลอกใช้งานแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยเล่า ขอแค่ไม่ส่งผลกับเราก็พอแล้วมิใช่หรือ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา สื่อว่าเห็นด้วยกับคำพูดของมู่ชิงอี ตั้งแต่สุขภาพของหรงจิ่นดีขึ้น หรงจังก็ไม่ส่งใครมารบกวนเขาอีก กระทั่งไม่ก้าวก่ายเรื่องของหรงจิ่น จึงทำให้หรงจิ่นที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟค่อยๆ สงบลงได้ในที่สุด จากนั้นก็แค่โยนเรื่องนี้ทิ้งไปตามระเบียบ
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้หยอกล้อหรงจิ่น เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลอกตัวเอง เรื่องพวกนี้ซับซ้อนยากจะตัดเยื่อใยได้ ในเมื่อทำไม่ได้ก็สู้ปล่อยไปดีกว่า
“ชิงชิงส่งคนไปบอกหนานกงอี้หน่อยเถิด ยาพิษของเย่าหวังกู่ไม่ธรรมดา หรงเซวียนจะได้ไม่เผลอไผลถูกหรงไหวฆ่าตายเอาได้” หรงจิ่นเอ่ยเสียงไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
“หม่อมฉันทราบแล้ว” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “ประเดี๋ยวหม่อมฉันให้อวี้ถังส่งคนไปบอกเพคะ”
“เหอะ! ข้าเกลียดคนเรื่องเยอะที่สุด! ในเมื่อเขาอยากให้หรงเซวียนตายนัก เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เขาไม่ตาย!” หรงจิ่นเอ่ยอย่างผยอง ส่วนมู่ชิงอีก็ก้มหน้าแอบขำอย่างหยุดไม่ได้
หลังจากตระกูลหนานกงและหรงเซวียนได้รับข่าวจากมู่ชิงอีแล้วจะโกรธมากเพียงใดไม่มีใครรู้ได้ แต่งานประชุมในราชสำนักเช้าวันต่อมาสีหน้าของหรงเซวียนกลับย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในราชสำนัก มู่ชิงอียืนอยู่ในจุดที่ไม่เตะตาใครระหว่างขุนนางระดับสามซึ่งค่อนไปทางด้านหลัง นางถือโอกาสตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังไม่มากวาดตาสำรวจคนในพระตำหนัก หนานกงอี้เดินตามหนานกงเจวี๋ยและหรงเซวียนเข้ามาด้านใน เพียงแต่คนในพระตำหนักต่างคุ้นชินกับสีหน้าเคร่งขรึมของหนานกงเจวี๋ยอยู่แล้ว ทว่าถึงแม้จะน่าเกรงขาม แต่คนที่สุภาพอย่างหรงเซวียนกลับแผ่รังสีอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งทำเอาขุนนางชั้นผู้น้อยแอบถอยกรูดไปด้านหลังตามๆ กัน ในใจพลันลอบคิดว่าวันนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่
หนานกงอี้ที่เดินข้างกายหรงเซวียนพยักหน้าเล็กน้อยให้มู่ชิงอีเชิงขอบคุณ มู่ชิงอีเผยสีหน้าสดใสแต่ในใจกลับแอบกลอกตาใส่ หากคิดจะลากนางซวยไปด้วยก็อย่าตรงไปตรงมานักเลย ต่อให้อวี้อ๋องไม่บอกหรงเซวียน ก็ใช่ว่าหรงเซวียนจะสืบไม่ได้ ในเมื่อคนที่รู้เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่จวนอวี้อ๋องกับจวนจวงอ๋องเท่านั้น
“น้องเก้า” ยากนักที่จะมีคนเป็นฝ่ายทักทายอวี้อ๋องในราชสำนักก่อนเช่นนี้ สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คืออวี้อ๋องไม่ได้เยาะเย้ยหรือประชดประชันแต่อย่างใด ถึงแม้จะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่องค์ชายเก้าก็ยังพยักหน้าให้ ถือว่าเป็นการขานรับจวงอ๋องเช่นกัน
ทุกคนในพระตำหนักต่างสูดลมหายใจเข้า เรียกได้ว่าสถานการณ์ดูประหลาดมากทีเดียว แต่พอนึกถึงความขัดแย้งระหว่างพวกจวงอ๋องกับพวกฉินอ๋องแล้ว หรือว่า…วันนี้จะเกิดเรื่องขึ้นอีก แต่ดูท่าทางอวี้อ๋องจะยืนข้างจวงอ๋องมากกว่า แต่เรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ ในเมื่อฉินอ๋องเคยล่วงเกินอวี้อ๋องมาก่อน หากอวี้อ๋องไม่รีบฉวยโอกาสนี้เหยียบซ้ำล่ะก็คงแปลกน่าดู
ในสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าองค์ชายคนอื่นที่อยู่ด้านข้างต่างขบคิดไปต่างๆ นาๆ เวลาที่เหมาะเจาะเช่นนี้แต่กลับไม่มีใครปริปากพูดคุยอะไรสักนิด เหล่าขุนนางด้านหน้ามู่ชิงอีต่างอดฉวยโอกาสนี้ไถ่ถามขึ้นมาไม่ได้ “ใต้เท้ากู้ วันนี้ท่านอ๋อง…”